ตถาคตวิหารธรรม การอยู่แบบ “พระพุทธเจ้า พระอรหันต์และพระเสขะ (ผู้ยังฝึก)
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า อานาปานสติ คือ วิหารธรรมขั้นสูงสุด ทั้งของพระเสขะ (ผู้ยังฝึก) และพระอรหันต์
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง “อานาปานสติ”
มีช่วงหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงหลีกเร้น 3 เดือน ไม่ให้ภิกษุเข้าไป ยกเว้นคนที่นำอาหาร หลังครบเวลา พระองค์ตรัสว่า
ถ้ามีใครถามว่า
“พระโคดมทรงจำพรรษาด้วยธรรมอะไร?”
ให้ตอบว่า
“อานาปานสติสมาธิ”
อานาปานสติ คือ วิหารธรรมชั้นสูงสุด
พระองค์ตรัสว่า สิ่งที่เรียกได้ว่า อริยวิหาร พรหมวิหาร และตถาคตวิหารอย่างแท้จริงคือ อานาปานสติสมาธิ
เพราะอานาปานสติ สำหรับพระเสขะ (ผู้ยังฝึก) ทำมากๆ ทำให้ “สิ้นอาสวะและบรรลุอรหันต์” ได้
พระอรหันต์ทำมากๆ ทำให้ “อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน มีสติสัมปชัญญะยิ่งบริบูรณ์”
“อานาปานสติสมาธิ” จึงเป็นธรรมสำคัญที่สุดของทั้งสองฝ่าย
การมีสติรู้ลมหายใจอย่างเดียว ทำถูกต้องสามารถ
พาไปถึงบรรลุพระอรหันต์และเป็นธรรมประจำใจของพระอรหันต์ด้วย
อานาปานสติ คือ วิหารธรรมที่สูงสุด พระพุทธเจ้าใช้ประจำ และนำไปสู่ความพ้นทุกข์โดยตรง
วิธีการฝึกอานาปานสติ
การตามรู้ลมหายใจ (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ที่ขณิกะ-อุปจารสมาธิ-ฌาน 1
1. หายใจเข้ายาว–ออกยาว ก็รู้ชัด รู้ว่า “ลมหายใจยาว” ไม่ต้องไปบังคับ
2. หายใจเข้าสั้น–ออกสั้น ก็รู้ชัด รู้ว่า “ลมหายใจสั้น” รู้แบบตรงไปตรงมา
3. รู้ทั่วทั้งกองลม รู้ลมหายใจทั้งหมดตั้งแต่ต้น–กลาง–ปลาย เห็นลมทั้งกาย ไม่ใช่แค่ปลายจมูก
4. ระงับกายสังขาร ทำให้ลมหายใจและร่างกาย “สงบ นุ่ม เบา” ลมหายใจละเอียดลงเอง ไม่ต้องบังคับ
ปีติ–สุข–จิตตสังขาร (เวทนานุปัสสนา) ที่ฌาน 2-3
5. รู้ปีติ เมื่อเกิดปีติ ความอิ่มเอิบ ซาบซ่าน น้ำตาไหล ตัวโยก ก็รู้ว่า “นี่คือปีติ” ไม่หลงตาม
6. รู้สุข เมื่อความสุขสงบ ความสบายเกิดขึ้น ก็รู้ว่าสุขกำลังเกิด
7. รู้จิตตสังขาร เห็นความสุข ความทุกข์ อารมณ์เฉย ๆ ของจิต เห็นอารมณ์ที่ปรุงแต่งจิตอย่างชัดเจน
8. ระงับจิตตสังขาร ปล่อยให้จิตนิ่งลง สงบชัด ไม่ปรุงแต่ง จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคตา
จิตตานุปัสสนา ฌาน 4
9. รู้จิต เห็นจิตชัดว่า ตอนนี้จิตเป็นอย่างไร
ฟุ้ง ดี ไม่ดี สงบ ไม่สงบ ตั้งมั่น หรือหดหู่
10. ทำจิตให้บันเทิง ทำจิตให้เบิกบาน แจ่มใส
อาจใช้ปีติและสุขเป็นฐานให้จิตเบิกบานขึ้น
11. ทำจิตให้ตั้งมั่น จิตแน่วแน่ ไม่ฟุ้ง ไม่ไหลออกเป็นเอกัคตาเกิดขึ้นมั่นคง
12. ทำจิตให้หลุดพ้น ปล่อยวางความยึดถือในอารมณ์ จิตว่าง โปร่ง เบา สบาย
ธัมมานุปัสสนา วิปัสสนา
13. เห็นความ “ไม่เที่ยง” พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของลม ความรู้สึก และจิต ทุกสิ่งเกิด–ดับ ไม่หยุดนิ่ง
14. เห็น “ความคลายกำหนัด” เห็นว่าสิ่งทั้งปวงไม่น่ายึด ไม่ควรหลง ใจคลายจากความอยาก ความติดในโลก
15. เห็น “ความดับ” เห็นการดับของความอยาก ความยึด ความปรุงแต่ง เห็นการดับของสังขารชัดขึ้น
16. เห็น “การสละคืน” เห็นจิตปล่อยวางสิ่งทั้งปวง ปล่อยวางจากขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ถือว่าเป็น “เรา–ของเรา” จิตจึงหลุดพ้นอย่างแท้จริง
อานาปานสติ คือ รู้ลมเข้า-ลมออก รู้ลมหยาบ-ลมละเอียดลง รู้ว่าเกิดปีติ รู้ว่าเกิดสุข จิตนิ่ง จิตตั้งมั่นเป็นเอกัคตา แล้ววิปัสสนาพิจารณาขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเพื่อให้จิตเกิดปัญญาเกิด จิตปล่อยวางและวิมุติหลุดพ้น
พระมหานามะถามว่า “เสขวิหารธรรม (ผู้ยังฝึก) กับตถาคตวิหารธรรมเหมือนกันไหม?”
ท่านพระโลมสกังภิยตอบว่า ไม่เหมือนกัน
เพราะ “พระเสขะ” ยังต้องฝึก ต้องละนิวรณ์ ต้องทำสมาธิให้บริบูรณ์
ลักษณะของ “ผู้ยังฝึก” (เสขะ)
ผู้ยังไม่เป็นอรหันต์ แต่กำลังปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม
ต้อง ละนิวรณ์ 5 ให้สงบอยู่เสมอ ได้แก่
1. กามฉันทะ คือ ความอยาก ความติดในรูปเสียงรส
2. พยาบาท คือ ความโกรธ ความไม่พอใจ
3. ถีนมิทธะ คือ ความง่วง ความเฉื่อย
4. อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน–รำคาญใจ
5. วิจิกิจฉา คือ ความสงสัย ไม่แน่ใจในธรรม
พระเสขะยัง “ละชั่วคราว” แต่ยังไม่เด็ดขาด
ยังต้องกำจัดทุกครั้งที่เกิดขึ้นยังต้องฝึกต่อเนื่อง
พระอรหันต์ทำกิจของนักบวชเสร็จแล้ว กิเลสสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดดึงจิตอีก
ลักษณะของพระอรหันต์
1. นิวรณ์ 5 “ถูกตัดรากถอนโคนแล้ว”
2. เหมือนต้นตาลที่ถูกขุดราก เหลือแต่พื้น
3. ไม่มีวันงอกใหม่
4. อยู่ด้วยความสงบ เบาสบาย มีสติสัมปชัญญะเต็มที่
ตถาคตวิหารธรรม การอยู่แบบ “พระพุทธเจ้า พระอรหันต์และพระเสขะ (ผู้ยังฝึก)
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า อานาปานสติ คือ วิหารธรรมขั้นสูงสุด ทั้งของพระเสขะ (ผู้ยังฝึก) และพระอรหันต์
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง “อานาปานสติ”
มีช่วงหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงหลีกเร้น 3 เดือน ไม่ให้ภิกษุเข้าไป ยกเว้นคนที่นำอาหาร หลังครบเวลา พระองค์ตรัสว่า
ถ้ามีใครถามว่า
“พระโคดมทรงจำพรรษาด้วยธรรมอะไร?”
ให้ตอบว่า
“อานาปานสติสมาธิ”
อานาปานสติ คือ วิหารธรรมชั้นสูงสุด
พระองค์ตรัสว่า สิ่งที่เรียกได้ว่า อริยวิหาร พรหมวิหาร และตถาคตวิหารอย่างแท้จริงคือ อานาปานสติสมาธิ
เพราะอานาปานสติ สำหรับพระเสขะ (ผู้ยังฝึก) ทำมากๆ ทำให้ “สิ้นอาสวะและบรรลุอรหันต์” ได้
พระอรหันต์ทำมากๆ ทำให้ “อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน มีสติสัมปชัญญะยิ่งบริบูรณ์”
“อานาปานสติสมาธิ” จึงเป็นธรรมสำคัญที่สุดของทั้งสองฝ่าย
การมีสติรู้ลมหายใจอย่างเดียว ทำถูกต้องสามารถ
พาไปถึงบรรลุพระอรหันต์และเป็นธรรมประจำใจของพระอรหันต์ด้วย
อานาปานสติ คือ วิหารธรรมที่สูงสุด พระพุทธเจ้าใช้ประจำ และนำไปสู่ความพ้นทุกข์โดยตรง
วิธีการฝึกอานาปานสติ
การตามรู้ลมหายใจ (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ที่ขณิกะ-อุปจารสมาธิ-ฌาน 1
1. หายใจเข้ายาว–ออกยาว ก็รู้ชัด รู้ว่า “ลมหายใจยาว” ไม่ต้องไปบังคับ
2. หายใจเข้าสั้น–ออกสั้น ก็รู้ชัด รู้ว่า “ลมหายใจสั้น” รู้แบบตรงไปตรงมา
3. รู้ทั่วทั้งกองลม รู้ลมหายใจทั้งหมดตั้งแต่ต้น–กลาง–ปลาย เห็นลมทั้งกาย ไม่ใช่แค่ปลายจมูก
4. ระงับกายสังขาร ทำให้ลมหายใจและร่างกาย “สงบ นุ่ม เบา” ลมหายใจละเอียดลงเอง ไม่ต้องบังคับ
ปีติ–สุข–จิตตสังขาร (เวทนานุปัสสนา) ที่ฌาน 2-3
5. รู้ปีติ เมื่อเกิดปีติ ความอิ่มเอิบ ซาบซ่าน น้ำตาไหล ตัวโยก ก็รู้ว่า “นี่คือปีติ” ไม่หลงตาม
6. รู้สุข เมื่อความสุขสงบ ความสบายเกิดขึ้น ก็รู้ว่าสุขกำลังเกิด
7. รู้จิตตสังขาร เห็นความสุข ความทุกข์ อารมณ์เฉย ๆ ของจิต เห็นอารมณ์ที่ปรุงแต่งจิตอย่างชัดเจน
8. ระงับจิตตสังขาร ปล่อยให้จิตนิ่งลง สงบชัด ไม่ปรุงแต่ง จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคตา
จิตตานุปัสสนา ฌาน 4
9. รู้จิต เห็นจิตชัดว่า ตอนนี้จิตเป็นอย่างไร
ฟุ้ง ดี ไม่ดี สงบ ไม่สงบ ตั้งมั่น หรือหดหู่
10. ทำจิตให้บันเทิง ทำจิตให้เบิกบาน แจ่มใส
อาจใช้ปีติและสุขเป็นฐานให้จิตเบิกบานขึ้น
11. ทำจิตให้ตั้งมั่น จิตแน่วแน่ ไม่ฟุ้ง ไม่ไหลออกเป็นเอกัคตาเกิดขึ้นมั่นคง
12. ทำจิตให้หลุดพ้น ปล่อยวางความยึดถือในอารมณ์ จิตว่าง โปร่ง เบา สบาย
ธัมมานุปัสสนา วิปัสสนา
13. เห็นความ “ไม่เที่ยง” พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของลม ความรู้สึก และจิต ทุกสิ่งเกิด–ดับ ไม่หยุดนิ่ง
14. เห็น “ความคลายกำหนัด” เห็นว่าสิ่งทั้งปวงไม่น่ายึด ไม่ควรหลง ใจคลายจากความอยาก ความติดในโลก
15. เห็น “ความดับ” เห็นการดับของความอยาก ความยึด ความปรุงแต่ง เห็นการดับของสังขารชัดขึ้น
16. เห็น “การสละคืน” เห็นจิตปล่อยวางสิ่งทั้งปวง ปล่อยวางจากขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ถือว่าเป็น “เรา–ของเรา” จิตจึงหลุดพ้นอย่างแท้จริง
อานาปานสติ คือ รู้ลมเข้า-ลมออก รู้ลมหยาบ-ลมละเอียดลง รู้ว่าเกิดปีติ รู้ว่าเกิดสุข จิตนิ่ง จิตตั้งมั่นเป็นเอกัคตา แล้ววิปัสสนาพิจารณาขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเพื่อให้จิตเกิดปัญญาเกิด จิตปล่อยวางและวิมุติหลุดพ้น
พระมหานามะถามว่า “เสขวิหารธรรม (ผู้ยังฝึก) กับตถาคตวิหารธรรมเหมือนกันไหม?”
ท่านพระโลมสกังภิยตอบว่า ไม่เหมือนกัน
เพราะ “พระเสขะ” ยังต้องฝึก ต้องละนิวรณ์ ต้องทำสมาธิให้บริบูรณ์
ลักษณะของ “ผู้ยังฝึก” (เสขะ)
ผู้ยังไม่เป็นอรหันต์ แต่กำลังปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม
ต้อง ละนิวรณ์ 5 ให้สงบอยู่เสมอ ได้แก่
1. กามฉันทะ คือ ความอยาก ความติดในรูปเสียงรส
2. พยาบาท คือ ความโกรธ ความไม่พอใจ
3. ถีนมิทธะ คือ ความง่วง ความเฉื่อย
4. อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน–รำคาญใจ
5. วิจิกิจฉา คือ ความสงสัย ไม่แน่ใจในธรรม
พระเสขะยัง “ละชั่วคราว” แต่ยังไม่เด็ดขาด
ยังต้องกำจัดทุกครั้งที่เกิดขึ้นยังต้องฝึกต่อเนื่อง
พระอรหันต์ทำกิจของนักบวชเสร็จแล้ว กิเลสสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดดึงจิตอีก
ลักษณะของพระอรหันต์
1. นิวรณ์ 5 “ถูกตัดรากถอนโคนแล้ว”
2. เหมือนต้นตาลที่ถูกขุดราก เหลือแต่พื้น
3. ไม่มีวันงอกใหม่
4. อยู่ด้วยความสงบ เบาสบาย มีสติสัมปชัญญะเต็มที่