ภาพเก่าเล่าเรื่อง (๖๙)

กระทู้สนทนา

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๑ ผมกับพ่อเดินทางไปเที่ยวและเยี่ยมหาน้องที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยวิธีที่ชาวบ้านเขาไม่นิยมไปครับ คือรถหวานเย็นจากสถานีธนบุรี ไปนอนที่ จ.ชุมพร หนึ่งคืน แล้วต่อด้วยรถหวานเย็นไปยังหาดใหญ่ เหตุผลที่เดินทางไปอย่างนั้น เพราะเป็นครั้งแรกที่เดินทางไปภาคใต้ ต้องการเห็นสภาพชีวิตของพี่น้องชาวบ้านและภูมิประเทศอย่างทั่วถึง

ระหว่างที่ไปเที่ยวนั้น นอกจากจะไปเที่ยวปาดังเบซาร์และสุไหงโกลกแล้ว ผมยืมมอเตอร์ไซต์ของน้องไปเที่ยวตัวเมืองสงขลา และเป็นครั้งแรกที่ได้ข้ามสะพานติณสูลานนท์โดยมอเตอร์ไซต์ทั้งไปและกลับ โดยข้ามแพขนานยนต์ที่ท่าเรือเขาแดงด้วย

สะพานติณสูลานนท์ เป็นสะพานคอนกรีตที่ยาวที่สุดในประเทศไทย อยู่ใน อ.เมืองสงขลา และ อ.สิงหนคร โดยเชื่อมเกาะยอ ๒ ด้าน ระหว่างฝั่งบ้านน้ำกระจาย อ.เมืองสงขลา และบ้านเขาเขียว อ.สิงหนคร ความยาวของสะพาน ๒ ช่วง โดยช่วงแรก ๙๔๐ เมตร และช่วงที่สอง ๑.๗๐๐ เมตร ตามลำดับ รวมเป็น ๒.๖๔๐ เมตร ก่อสร้างขึ้นในสมัย ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

จุดประสงค์ของการสร้างสะพานแห่งนี้ คือ การรองรับการคมนาคมทางรถยนต์ โดยไม่ต้องรอข้ามแพขนานยนต์ซึ่งมีไม่เพียงพอกับปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การเดินทางต้องใช้เวลานาน ทั้งเมื่อข้ามฝั่งมาแล้วก็ยังทำให้การจราจรติดขัดในตัวเมืองอีกด้วย
ดังนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๒๔  รัฐบาลจึงมีนโยบายจะพัฒนา จ.สงขลา และ อ.หาดใหญ่ ให้เป็นเมืองหลัก โดยกรมทางหลวงเป็นเจ้าของโครงการ และบริษัทจากประเทศไต้หวันเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง เปิดให้ใช้เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๗

สะพานติณสูลานนท์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงหมายเลข ๔๑๔๖) ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างทางหลวงหมายเลข ๔๐๘๓ (ระโนด-เขาแดง)  (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๘ ช่วงนครศรีธรรมราช - สงขลา) กับทางหลวงหมายเลข ๔๐๗ (สงขลา-หาดใหญ่) ชาวจังหวัดสงขลานิยมเรียกสะพานนี้ติดปากว่า "สะพานป๋าเปรม" "สะพานติณ" หรือ "สะพานเปรม" และถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อของจังหวัด

และในช่วงปี พ.ศ.๒๕๓๙ ผมย้ายไปทำงานที่ จ.นราธิวาส ได้ขับรถข้ามสะพานแห่งนี้อีกหลายครั้ง และครั้งหลังสุดในช่วงปี พ.ศ.๒๕๕๔ ได้ไปเยี่ยม จ.สงขลา แต่ข้ามเพียงแค่ครึ่งสะพาน เพราะแวะชมแค่สถาบันทักษิณคดีศึกษา ซึ่งสะพานติณสูลานนท์ได้ก่อสร้างเป็นสะพานคู่แล้ว

ขากลับจากเที่ยวปักษ์ใต้ปี พ.ศ.๒๕๓๑ ได้ซื้อนาฬิกาเรือนทอง (เลียนแบบ ยี่ห้อ "คาเทียร์") ในราคาเรือนละ ๒๐๐ บาท ไปให้พี่ที่ทำงานที่เคารพกันอยู่ แกรับไปใส่ครั้งเดียวแล้วไม่ใส่อีก

ผมถามว่า "ทำไมไม่ใส่ล่ะพี่ ?"

แกตอบว่า "ฉันใส่ไปงาน มีแต่คนทักว่าซื้อมาจากที่ไหน ราคาเรือนละเท่าไหร่ ฉันเลยกลัวโจรไม่รู้ราคา เกิดฟันข้อมือขาด ชิงเอานาฬิกาไป ฉันเสียดายมือว่ะ  เลยไม่กล้าใส่อีก"

เรื่องของเรื่องคือแกมีฐานะอันจะกินครับ ถึงจะใส่ของปลอม คนทั่วไปก็คืดว่าเป็นของจริงอีกนั่นแหละ ฮิ ฮิอมยิ้ม01

....................................

ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ Wikipedia Thai มา ณ โอกาสนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่