ในขณะนี้รอบตัวเรา ข้อมูลข่าวสาร สื่อต่างๆหรือแม้กระทั่งในพันทิป ก็มีแต่พูดถึงเรื่องการค้าขายที่ฝืดเคือง, อสังหาย่ำแย่, หุ้น Sideway down, การส่งออกชะลอตัว, ค่าเงินอ่อนค่า, GDP หดตัว กันเต็มไปหมด
ตัวอย่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://pantip.com/topic/33979864
http://pantip.com/topic/33976964
http://pantip.com/topic/33967859
http://pantip.com/topic/33964124
วันนี้ผมจะขอไม่หยิบยกถึงประเด็นต่างๆที่เกริ่นมาข้างต้นว่าปัญหาหรือสาเหตุนั้นเกิดจากอะไร ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาล, เศรษฐกิจโลก, นายทุน, นักการเมือง, หรือชนชั้นบน-กลาง-ล่าง เพราะผมคิดว่าพูดไปเดี๋ยวจะยาวหรือบางทีก็มีแต่จะทำให้ทะเลาะเกิดเป็นดราม่ากันเสียเปล่าๆ อย่างที่เราเห็นในกระทู้พันทิปทุกๆวันนี้
แต่ที่ผมอยากให้ทุกคนโฟกัสและหันมามองจุดที่สำคัญที่สุด คือ “การแก้ปัญหา” ไม่ใช่มัวมองหรือพูดถึงแต่ “ที่มาของปัญหา” นั้นว่าเกิดจากอะไร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วมันไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ เราทำได้เพียงแค่เรียนรู้, เตรียมพร้อมรับมือและอย่าให้เหตุการณ์แบบนี้กลับมาเกิดขึ้นได้อีก เหมือนที่ในอดีตบางคนอาจเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นมาเช่น วิกฤตต้มยำกุ้งปี 40, วิกฤตซับไพรม์ เป็นต้น
แล้วสิ่งที่เราทำได้ในวันนี้หละคืออะไร???? - การปรับตัวไงครับ เราทุกคนต้องอย่ามัวรอแต่ให้โชคเข้าข้างเหมือนการถูกหวย หรือฝันลมๆแล้งๆว่าวันพรุ่งนี้จะดีขึ้น มันจะเป็นวันของเรา ผมบอกได้เลยครับ มันไม่มีวันนั้นอย่างแน่นอน!!!
เราลองมาคิดกันดูว่า ถ้าหากวันนี้เราเป็นฝ่ายที่หยุดเดินไม่มองหาโอกาสใหม่ๆหรือหยุดการพัฒนาตัวเราเองแล้ว คิดหรอครับว่าคนอื่นเค้าจะหยุดไปกับคุณ ในโลกแห่งความเป็นจริงจากที่คุณเคยเป็นใหญ่มาก่อน ก็อาจจะกลายเป็นจุดเล็กๆและล้มหายตายจากก็เป็นได้ เพราะทุกวันนี้โลกเรามันหมุนไปไวมาก จนบางครั้งคนเรามักหลงระเริงกับสิ่งที่เป็นปัจจุบันมากเกินไป(บางคนยัง Slow life) คิดว่ามีเพียงพอแล้ว จนลืมการให้ความสำคัญถึงอนาคตว่าแท้จริงแล้วในอีก 10 20 30 ปีข้างหน้าของพวกคุณจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่หรือมโนกันไปเองว่าต้องได้อย่างแน่นอน
พูดกันมามากแล้ว ขอเข้าถึงวิธีการปรับตัวเลยดีกว่า สำหรับวิธีของผมนั้นขอแยกออกมาเป็น 2 วิธีหลักๆ
1.ลดค่าใช้จ่าย
ผมเชื่อว่าวิธีแรกนี้ คงมีคนพูดสอนกันมาเยอะแล้ว คงไม่มีอะไรต้องอธิบายมาก เพราะจริงๆสามารถศึกษาหาข้อมูลหรืออ่านวิธีมากมายกันตาม Internet ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่งว่าคนส่วนใหญ่มักทำกันไม่ได้ เพราะอะไรทราบไหมครับ
เพราะคนส่วนใหญ่ตัดสินใจด้วย “อารมณ์” มากกว่า “เหตุผล”
และคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ เชื่อว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่มันดีถูกต้องแล้ว แต่แท้จริงมันก็แค่คำกล่าวที่นั่งหลอกตัวเองไปวันๆ อย่างบางคนผมเห็นยังใช้จ่ายฟุ่มเฟือย, ติดหรู, หน้าบางกลัวคนอื่นจะมาดูถูกว่าไม่มีของแบรนด์เนม ไม่มีรถขับ จริงๆมันก็แค่ใช้จ่ายเพื่อตอบสนองอารมณ์ความอยาก หาใช่ว่ามีเหตุผลมารองรับกันทั้งสิ้น
สิ่งที่ควรต้องทำคือ คิดก่อนใช้ให้ถี่ถ้วนหาเหตุผลมารองรับ ไม่ใช่ใช้ไปแล้วค่อยกลับมาคิด มีหวังตกอับแก่ตัวไปลำบากแน่นอน
2. เพิ่มรายได้
สามารถแบ่งได้ 2 แนวทางคือ เพิ่มรายได้จากช่องทางเดิมหรือมองหารายได้จากช่องทางใหม่
ซึ่งถ้าให้มองลึกลงไป การที่จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นนั้น สิ่งที่เหมือนกันของทั้งสองแนวทางคือ ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ พัฒนาทักษะและประสบการณ์ของตัวเราเอง ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไรก็ตามแต่ ล้วนต้องมีการฝึกฝนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น สังเกตกันไหมครับ ยิ่งอาชีพหรือธุรกิจที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะส่วนใหญ่จะได้รายรับค่อนข้างมาก อาทิ แพทย์, สถาปนิก, วิศวะ, เจ้าของธุรกิจ(ยิ่งเป็น SME เล็กๆนี่ต้องทำเป็นแทบทุกอย่าง) ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราได้ไปถึงจุดนั้นได้คือ
คุณต้องรู้จักมองหา “โอกาส” ให้เป็น อย่ามองมันเป็นเพียง “อากาศ” ที่จับต้องไม่ได้
หากเราอยากอยู่รอดต้องการมีรายได้เพิ่ม ก็ควรพลิกวิกฤตในตอนนี้ ให้เป็นโอกาสสิครับ อย่ามัวแต่พูดว่าเศรษฐกิจมันซบเซา ขายไม่ดี เพราะนั้นมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ในทุกปัญหามันมีทางออกเสมอครับ แต่อยู่ที่เราจะอดทนและพยายามกับมันมากพอแล้วหรือยัง….เพราะนี่คือบททดสอบในชีวิตจริง
ในระหว่าง 2 วิธีที่ผมบอกไปข้างต้น ผมขอให้ความสำคัญในเรื่องของการ “เพิ่มรายได้” มากๆๆๆๆถึงมากที่สุดเลยครับ เพราะว่าหากเรามาลองคิดกันดีๆ เวลาเราลดค่าใช้จ่ายลงในแต่ละเดือน สุดท้ายมันจะมี Limit หรือขั้นต่ำว่าไม่สามารถลดลงไปได้มากกว่านี้แล้ว เพราะในทุกๆเดือนของเราจะมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเกิดขึ้น (Fixed Cost) อย่างอาหารการกิน, ค่าเดินทาง, ค่าที่พัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ล้วนขาดไม่ได้ แต่ในทางกลับกันถ้าหากเราสามารถหารายได้เพิ่มได้มากขึ้นมันจะไม่มี Limit หรือเพดานอีกเลย นั้นหมายความว่ามันสามารถเริ่มได้ตั้งแต่หลักศูนย์ หลักล้าน สิบล้าน พันล้าน ก็ว่ากันไปตามความสามารถและประสบการณ์ของแต่ละคน
ซึ่งโดยส่วนตัวของผมนั้นเรื่องการลดค่าใช้จ่ายผมก็ทำเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่มากหรือน้อยเกินไป ใช้จ่ายแต่พอดีตามเหตุผลสมควรและความเหมาะสม แต่ผมจะไปเน้นดูในส่วนของการหารายได้ 3 ทางของผม
- ธุรกิจส่วนตัว : ยอดยังไม่ตกเท่าไหร่ เหมือนแนวโน้มจะดีมากขึ้นด้วยซ้ำ
- ลงทุนในหุ้น : ลดพอร์ตการลงทุนมาซักระยะแล้ว ตอนนี้ตลาดดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
- อสังหาริมทรัพย์ : สิ่งที่ผมถนัดมากที่สุด ซึ่งผมยังมองเห็นโอกาส เดินหน้าเพิ่มการลงทุนเปลี่ยนจากหุ้นมาเป็นคอนโดมากขึ้นอีกด้วย อ่านเพิ่มเติมได้ที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ถาม-ตอบ : ตอนนี้อสังหา “ฟองสบู่” แล้วหรือยัง? (จากคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้) http://pantip.com/topic/33763358
และยังพยายามมองหาโอกาสอื่นๆอีกเพิ่มเติม เพราะผมเชื่อว่าตอนนี้อายุผมยังน้อย (25 ปี) ยังมีแรงให้ทำอีกมาก มีโอกาสให้ลองผิดลองถูก ที่สำคัญตอนนี้ผมยังไม่มีภาระที่ต้องแบกรับอีกมากมายเหมือนอย่างคนอื่นเค้า ไม่ว่าจะเป็น ค่าผ่อนรถ, ผ่อนบ้าน, ค่าเทอมลูก, ค่ารักษาพยาบาล, ค่าเลี้ยงดูพ่อ-แม่ยามท่านเกษียณ(อันนี้สำคัญมาก) และค่าจิปาถะต่างๆ
เพราะผมเชื่อว่าการออมเงินไม่ได้ช่วยให้เราอยู่รอดได้เสมอไป แต่หากเน้นไปที่การ “เพิ่มรายได้” นี่สิจะทำให้เราอยู่รอดได้อย่างแท้จริง เพราะยิ่งหาได้มากเท่าไร เราก็จะเป็นอิสระเร็ว ไม่ต้องตกเป็น “ทาส” ของคำว่าเงินมากขึ้นเท่านั้น
แต่บางคนอาจจะเห็นต่าง บอกว่าไม่จริงพูดแบบนี้ใครก็พูดได้ มันเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำโคตรยากเลย ลองพูดถึงตอนขาดทุนบ้างสิ คนรอบตัวเศรษฐกิจตอนนี้มันจะไปทำอะไรได้ – ผมบอกตรงนี้ไว้เลยนะครับ ตัวผมเองเคยผ่านการเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อน ลองผิดลองถูกค้าขายมาก็ตั้งหลายอย่าง มันเป็นเรื่องยากนะครับที่อยู่ดีๆทิ้งรายได้ที่มั่นคง ยอมออกมาจาก Comfort zone ที่ว่า ซึ่งวันนี้ถึงแม้ผมจะยังไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ แต่ในช่วงอายุเพียงเท่านี้สามารถหาเงินล้านได้ ผมเชื่อว่าความสำเร็จมันจะไม่ไกลเกินเอื้อมตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอน
ผมอยากเตือนสติทุกคนว่าอย่าตามืดบอดมองเห็นแต่ทางตัน จงมองไปที่ “โอกาส” และการลงมือทำ ส่วนตัวผมเชื่อว่า
ทุกๆคนล้วนมีศักยภาพที่เท่าเทียมกันหมด แต่แตกต่างตรงที่ความอดทนและพยายาม เพราะนั้นคือสิ่งที่จะทำให้คุณรุ่งหรือร่วงในหน้าที่การงานของคุณนั้นเอง ลองคิดกันดูว่าคนสมัยก่อนหรือรุ่นพ่อแม่ของเรา บางคนเค้าไม่มีโอกาสได้เรียนสูงๆ ส่วนใหญ่จบป.4 หรือไม่ได้มีโอกาสเรียนเลยด้วยซ้ำ ก็ต้องออกมาใช้แรงงานกันตั้งแต่เด็ก กว่าจะไต่เต้าจนมาเป็นเจ้าของกิจการหรือมีชีวิตที่ไม่ต้องยึดติดกับ “หาเงิน” เพียงอย่างเดียวยังต้องใช้เวลานานหลายสิบปี ล้มแล้วลุกหลายรอบ ผ่านอุปสรรคมาเป็นพันๆครั้งเลยครับ แล้วพวกเราหละบางคนยังทำได้ไม่ถึงครึ่งของเค้าเหล่านั้น ก็ท้อกันหมดแล้ว มัวแต่มานั่งโทษสิ่งรอบตัวกันอยู่ตลอด.....ทำไมไม่หันมามองสิ่งที่เราทำได้ คือ การปรับแก้และพัฒนาที่ตัวเองกันดูก่อนหละครับ
สุดท้ายนี้หวังว่าสิ่งที่ผมพูดมาจะเป็นแรงฮึดสู้ให้กับพวกเราทุกคน มีหน้าที่การงานที่ดีมากยิ่งขึ้น และใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารัก มีความสุขกันไปนานๆนะครับ
“เราจะรู้ได้ว่าสิ่งที่เราคิดมันผิดหรือถูก ก็ต่อเมื่อสองมือได้ลงมือทำ”
Thinkvestment
ปล.ใครมีความเห็นยังไง ก็ลองมาพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกันดูนะครับ (ขอคุยกันด้วยหลักการและเหตุผลนะครับ งดดราม่า)
=====================================================================================
ติดตามข่าวสาร ศูนย์รวมความรู้-บทความเรื่องการลงทุน,อสังหา, และธุรกิจ ได้ที่
Thinkvestment Fanpage :
https://www.facebook.com/thinkvestment
=== เศรษฐกิจแบบนี้ จะมัวบ่นและโทษกันอยู่ทำไม - รีบปรับตัวกันสิครับ!!! (สาระล้วนไม่มีดราม่า) ===
ในขณะนี้รอบตัวเรา ข้อมูลข่าวสาร สื่อต่างๆหรือแม้กระทั่งในพันทิป ก็มีแต่พูดถึงเรื่องการค้าขายที่ฝืดเคือง, อสังหาย่ำแย่, หุ้น Sideway down, การส่งออกชะลอตัว, ค่าเงินอ่อนค่า, GDP หดตัว กันเต็มไปหมด
ตัวอย่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันนี้ผมจะขอไม่หยิบยกถึงประเด็นต่างๆที่เกริ่นมาข้างต้นว่าปัญหาหรือสาเหตุนั้นเกิดจากอะไร ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาล, เศรษฐกิจโลก, นายทุน, นักการเมือง, หรือชนชั้นบน-กลาง-ล่าง เพราะผมคิดว่าพูดไปเดี๋ยวจะยาวหรือบางทีก็มีแต่จะทำให้ทะเลาะเกิดเป็นดราม่ากันเสียเปล่าๆ อย่างที่เราเห็นในกระทู้พันทิปทุกๆวันนี้
แต่ที่ผมอยากให้ทุกคนโฟกัสและหันมามองจุดที่สำคัญที่สุด คือ “การแก้ปัญหา” ไม่ใช่มัวมองหรือพูดถึงแต่ “ที่มาของปัญหา” นั้นว่าเกิดจากอะไร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วมันไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ เราทำได้เพียงแค่เรียนรู้, เตรียมพร้อมรับมือและอย่าให้เหตุการณ์แบบนี้กลับมาเกิดขึ้นได้อีก เหมือนที่ในอดีตบางคนอาจเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นมาเช่น วิกฤตต้มยำกุ้งปี 40, วิกฤตซับไพรม์ เป็นต้น
แล้วสิ่งที่เราทำได้ในวันนี้หละคืออะไร???? - การปรับตัวไงครับ เราทุกคนต้องอย่ามัวรอแต่ให้โชคเข้าข้างเหมือนการถูกหวย หรือฝันลมๆแล้งๆว่าวันพรุ่งนี้จะดีขึ้น มันจะเป็นวันของเรา ผมบอกได้เลยครับ มันไม่มีวันนั้นอย่างแน่นอน!!!
เราลองมาคิดกันดูว่า ถ้าหากวันนี้เราเป็นฝ่ายที่หยุดเดินไม่มองหาโอกาสใหม่ๆหรือหยุดการพัฒนาตัวเราเองแล้ว คิดหรอครับว่าคนอื่นเค้าจะหยุดไปกับคุณ ในโลกแห่งความเป็นจริงจากที่คุณเคยเป็นใหญ่มาก่อน ก็อาจจะกลายเป็นจุดเล็กๆและล้มหายตายจากก็เป็นได้ เพราะทุกวันนี้โลกเรามันหมุนไปไวมาก จนบางครั้งคนเรามักหลงระเริงกับสิ่งที่เป็นปัจจุบันมากเกินไป(บางคนยัง Slow life) คิดว่ามีเพียงพอแล้ว จนลืมการให้ความสำคัญถึงอนาคตว่าแท้จริงแล้วในอีก 10 20 30 ปีข้างหน้าของพวกคุณจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่หรือมโนกันไปเองว่าต้องได้อย่างแน่นอน
พูดกันมามากแล้ว ขอเข้าถึงวิธีการปรับตัวเลยดีกว่า สำหรับวิธีของผมนั้นขอแยกออกมาเป็น 2 วิธีหลักๆ
1.ลดค่าใช้จ่าย
ผมเชื่อว่าวิธีแรกนี้ คงมีคนพูดสอนกันมาเยอะแล้ว คงไม่มีอะไรต้องอธิบายมาก เพราะจริงๆสามารถศึกษาหาข้อมูลหรืออ่านวิธีมากมายกันตาม Internet ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่งว่าคนส่วนใหญ่มักทำกันไม่ได้ เพราะอะไรทราบไหมครับ
และคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ เชื่อว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่มันดีถูกต้องแล้ว แต่แท้จริงมันก็แค่คำกล่าวที่นั่งหลอกตัวเองไปวันๆ อย่างบางคนผมเห็นยังใช้จ่ายฟุ่มเฟือย, ติดหรู, หน้าบางกลัวคนอื่นจะมาดูถูกว่าไม่มีของแบรนด์เนม ไม่มีรถขับ จริงๆมันก็แค่ใช้จ่ายเพื่อตอบสนองอารมณ์ความอยาก หาใช่ว่ามีเหตุผลมารองรับกันทั้งสิ้น
สิ่งที่ควรต้องทำคือ คิดก่อนใช้ให้ถี่ถ้วนหาเหตุผลมารองรับ ไม่ใช่ใช้ไปแล้วค่อยกลับมาคิด มีหวังตกอับแก่ตัวไปลำบากแน่นอน
2. เพิ่มรายได้
สามารถแบ่งได้ 2 แนวทางคือ เพิ่มรายได้จากช่องทางเดิมหรือมองหารายได้จากช่องทางใหม่
ซึ่งถ้าให้มองลึกลงไป การที่จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นนั้น สิ่งที่เหมือนกันของทั้งสองแนวทางคือ ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ พัฒนาทักษะและประสบการณ์ของตัวเราเอง ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไรก็ตามแต่ ล้วนต้องมีการฝึกฝนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น สังเกตกันไหมครับ ยิ่งอาชีพหรือธุรกิจที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะส่วนใหญ่จะได้รายรับค่อนข้างมาก อาทิ แพทย์, สถาปนิก, วิศวะ, เจ้าของธุรกิจ(ยิ่งเป็น SME เล็กๆนี่ต้องทำเป็นแทบทุกอย่าง) ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราได้ไปถึงจุดนั้นได้คือ
หากเราอยากอยู่รอดต้องการมีรายได้เพิ่ม ก็ควรพลิกวิกฤตในตอนนี้ ให้เป็นโอกาสสิครับ อย่ามัวแต่พูดว่าเศรษฐกิจมันซบเซา ขายไม่ดี เพราะนั้นมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ในทุกปัญหามันมีทางออกเสมอครับ แต่อยู่ที่เราจะอดทนและพยายามกับมันมากพอแล้วหรือยัง….เพราะนี่คือบททดสอบในชีวิตจริง
ในระหว่าง 2 วิธีที่ผมบอกไปข้างต้น ผมขอให้ความสำคัญในเรื่องของการ “เพิ่มรายได้” มากๆๆๆๆถึงมากที่สุดเลยครับ เพราะว่าหากเรามาลองคิดกันดีๆ เวลาเราลดค่าใช้จ่ายลงในแต่ละเดือน สุดท้ายมันจะมี Limit หรือขั้นต่ำว่าไม่สามารถลดลงไปได้มากกว่านี้แล้ว เพราะในทุกๆเดือนของเราจะมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเกิดขึ้น (Fixed Cost) อย่างอาหารการกิน, ค่าเดินทาง, ค่าที่พัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ล้วนขาดไม่ได้ แต่ในทางกลับกันถ้าหากเราสามารถหารายได้เพิ่มได้มากขึ้นมันจะไม่มี Limit หรือเพดานอีกเลย นั้นหมายความว่ามันสามารถเริ่มได้ตั้งแต่หลักศูนย์ หลักล้าน สิบล้าน พันล้าน ก็ว่ากันไปตามความสามารถและประสบการณ์ของแต่ละคน
ซึ่งโดยส่วนตัวของผมนั้นเรื่องการลดค่าใช้จ่ายผมก็ทำเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่มากหรือน้อยเกินไป ใช้จ่ายแต่พอดีตามเหตุผลสมควรและความเหมาะสม แต่ผมจะไปเน้นดูในส่วนของการหารายได้ 3 ทางของผม
- ธุรกิจส่วนตัว : ยอดยังไม่ตกเท่าไหร่ เหมือนแนวโน้มจะดีมากขึ้นด้วยซ้ำ
- ลงทุนในหุ้น : ลดพอร์ตการลงทุนมาซักระยะแล้ว ตอนนี้ตลาดดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
- อสังหาริมทรัพย์ : สิ่งที่ผมถนัดมากที่สุด ซึ่งผมยังมองเห็นโอกาส เดินหน้าเพิ่มการลงทุนเปลี่ยนจากหุ้นมาเป็นคอนโดมากขึ้นอีกด้วย อ่านเพิ่มเติมได้ที่[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และยังพยายามมองหาโอกาสอื่นๆอีกเพิ่มเติม เพราะผมเชื่อว่าตอนนี้อายุผมยังน้อย (25 ปี) ยังมีแรงให้ทำอีกมาก มีโอกาสให้ลองผิดลองถูก ที่สำคัญตอนนี้ผมยังไม่มีภาระที่ต้องแบกรับอีกมากมายเหมือนอย่างคนอื่นเค้า ไม่ว่าจะเป็น ค่าผ่อนรถ, ผ่อนบ้าน, ค่าเทอมลูก, ค่ารักษาพยาบาล, ค่าเลี้ยงดูพ่อ-แม่ยามท่านเกษียณ(อันนี้สำคัญมาก) และค่าจิปาถะต่างๆ เพราะผมเชื่อว่าการออมเงินไม่ได้ช่วยให้เราอยู่รอดได้เสมอไป แต่หากเน้นไปที่การ “เพิ่มรายได้” นี่สิจะทำให้เราอยู่รอดได้อย่างแท้จริง เพราะยิ่งหาได้มากเท่าไร เราก็จะเป็นอิสระเร็ว ไม่ต้องตกเป็น “ทาส” ของคำว่าเงินมากขึ้นเท่านั้น
แต่บางคนอาจจะเห็นต่าง บอกว่าไม่จริงพูดแบบนี้ใครก็พูดได้ มันเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำโคตรยากเลย ลองพูดถึงตอนขาดทุนบ้างสิ คนรอบตัวเศรษฐกิจตอนนี้มันจะไปทำอะไรได้ – ผมบอกตรงนี้ไว้เลยนะครับ ตัวผมเองเคยผ่านการเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อน ลองผิดลองถูกค้าขายมาก็ตั้งหลายอย่าง มันเป็นเรื่องยากนะครับที่อยู่ดีๆทิ้งรายได้ที่มั่นคง ยอมออกมาจาก Comfort zone ที่ว่า ซึ่งวันนี้ถึงแม้ผมจะยังไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ แต่ในช่วงอายุเพียงเท่านี้สามารถหาเงินล้านได้ ผมเชื่อว่าความสำเร็จมันจะไม่ไกลเกินเอื้อมตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอน
ผมอยากเตือนสติทุกคนว่าอย่าตามืดบอดมองเห็นแต่ทางตัน จงมองไปที่ “โอกาส” และการลงมือทำ ส่วนตัวผมเชื่อว่าทุกๆคนล้วนมีศักยภาพที่เท่าเทียมกันหมด แต่แตกต่างตรงที่ความอดทนและพยายาม เพราะนั้นคือสิ่งที่จะทำให้คุณรุ่งหรือร่วงในหน้าที่การงานของคุณนั้นเอง ลองคิดกันดูว่าคนสมัยก่อนหรือรุ่นพ่อแม่ของเรา บางคนเค้าไม่มีโอกาสได้เรียนสูงๆ ส่วนใหญ่จบป.4 หรือไม่ได้มีโอกาสเรียนเลยด้วยซ้ำ ก็ต้องออกมาใช้แรงงานกันตั้งแต่เด็ก กว่าจะไต่เต้าจนมาเป็นเจ้าของกิจการหรือมีชีวิตที่ไม่ต้องยึดติดกับ “หาเงิน” เพียงอย่างเดียวยังต้องใช้เวลานานหลายสิบปี ล้มแล้วลุกหลายรอบ ผ่านอุปสรรคมาเป็นพันๆครั้งเลยครับ แล้วพวกเราหละบางคนยังทำได้ไม่ถึงครึ่งของเค้าเหล่านั้น ก็ท้อกันหมดแล้ว มัวแต่มานั่งโทษสิ่งรอบตัวกันอยู่ตลอด.....ทำไมไม่หันมามองสิ่งที่เราทำได้ คือ การปรับแก้และพัฒนาที่ตัวเองกันดูก่อนหละครับ
สุดท้ายนี้หวังว่าสิ่งที่ผมพูดมาจะเป็นแรงฮึดสู้ให้กับพวกเราทุกคน มีหน้าที่การงานที่ดีมากยิ่งขึ้น และใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารัก มีความสุขกันไปนานๆนะครับ
ปล.ใครมีความเห็นยังไง ก็ลองมาพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกันดูนะครับ (ขอคุยกันด้วยหลักการและเหตุผลนะครับ งดดราม่า)
=====================================================================================
ติดตามข่าวสาร ศูนย์รวมความรู้-บทความเรื่องการลงทุน,อสังหา, และธุรกิจ ได้ที่
Thinkvestment Fanpage : https://www.facebook.com/thinkvestment