UPDATE: สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’

.
สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์' จับตาสินเชื่อ SME หดตัวหนักสุด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยโตต่ำ ธปท.มอง แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในอนาคตขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
.
วันนี้ (18 พฤศจิกายน) สมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 3 ปี 2568 โดยรวมยังหดตัวอยู่ที่ -1.0% จากระยะเดียวกันปีก่อน และนับเป็นการติดลบ 5 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว
.
โดยการหดตัวดังกล่าวมาจากสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่หดตัวหนักขึ้นจาก ติดลบ 3.3% ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ มาอยู่ที่ติดลบ 4% ในไตรมาสล่าสุด ท่ามกลางสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง
.
ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.7% ในไตรมาส 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้นจากขยายตัว 0.5% ในไตรมาสก่อนหน้า ท่ามกลางภาวะความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลง ขณะที่การชำระคืนหนี้เพิ่มขึ้น
.
🔍 ส่องสถานการณ์ ‘สินเชื่อไทย’ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจต่างๆ
.
สมชายกล่าวต่อว่า อัตราการหดตัวในปัจจุบันไม่ได้รุนแรงเท่ากับช่วงวิกฤตการเงินโลก (Global Financial Crisis) หรือช่วง ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ ในช่วงปี 2552 ซึ่งคราวนั้น สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ (ไม่รวมเครือ) หดตัวต่อเนื่อง 2 ไตรมาส (-3.2% ใน Q3/52 และ -1.7% ใน Q4/52)
.
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการหดตัวครั้งนี้จะไม่ลึกเท่า แต่ดูเหมือนจะ ‘ลากยาวกว่า’ เนื่องจาก ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มีการฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ภายในประมาณ 2 ไตรมาส
.
ส่วนเมื่อครั้ง ‘วิกฤตการเงินเอเชีย' หรือ ‘ต้มยำกุ้ง’ ในปี 2540 มีบริบทที่แตกต่างกันกับปัจจุบันโดยสิ้นเชิง โดยครั้งนั้นเป็นวิกฤตของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และกระทบภาคธนาคารไทยอย่างหนัก จากปัญหาเชิงโครงสร้างและปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน หรือเงินบาทที่อ่อนค่า
.
โดยในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งนั้น สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ (ไม่รวมเครือ) หดตัวถึง 12.1% ในปี 2541 และหดตัวต่อเนื่องถึงปี 2544
.
ขณะที่ในช่วงโควิด-19 สินเชื่อกลับมีการขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งปี 2563 2564 และ 2565 เนื่องจากมีมาตรการของภาครัฐช่วยเสริมสภาพคล่อง
.
สำหรับ แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในอนาคต สมชายมองว่า ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ส่วนการลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นประโยชน์ในเชิง ‘ต้นทุนทางการเงิน’ มากกว่า และช่วยเรื่องการฟื้นตัวของคุณภาพสินเชื่อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
.
🔳 สัดส่วน NPL เพิ่มขึ้น เหตุฐานสินเชื่อรวมแคบลง
.
สัดส่วนคุณภาพสินเชื่อ NPL (Stage 3) ที่ผิดนัดชำระเกิน 90 วัน ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.94% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 3 ปี 2568 จากระดับ 2.89% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยส่วนหนึ่งมาจาก ส่วนหนึ่งจากผลของฐานสินเชื่อที่หดตัว
.
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูที่มูลหนี้ NPL ในภาพรวมค่อนข้างทรงตัวจาก New NPL ที่ชะลอลงเป็นสำคัญ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อ Stage 3 ไตรมาส 3 ปี 2568 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 544.0 พันล้านบาท
.
เมื่อแยกเป็นรายประเภทสินเชื่อพบว่า NPL สินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ ‘ชัดเจน’ จากมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending:RL) และคุณสู้เราช่วย โดย NPL สินเชื่อบ้านลดลงจาก 3.86% เป็น 3.83% ในไตรมาส 3 ปี 2568 ส่วน NPL สินเชื่อเช่าซื้อ ลดลงจาก 2.22% เป็น 2.17%
.
ขณะที่ บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล คุณภาพสินเชื่อยังค่อนข้างทรงตัวหรือปรับขึ้นเล็กน้อย
.
📌 SM ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
.
สำหรับสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (significant increase in credit risk: SICR หรือ stage 2) หรือ SM ที่ผิดนัดชำระ 31-90 วัน ‘ปรับเพิ่มขึ้น’ ตามการจัดชั้นเชิงคุณภาพจากปัจจัยเฉพาะรายของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ และส่วนหนึ่งจากการปรับชั้นดีขึ้นของ NPL ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.24%
.
"ยังต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ SMEs และครัวเรือนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และรายได้ที่ฟื้นตัวช้า” แถลงการณ์ระบุ
.
🔗 คาดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไตรมาส 3 ลดลงต่อเนื่อง
.
สมชายกล่าวต่อว่า หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงมาเหลือ 86.8% ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 (จาก 87.1% ในไตรมาสก่อน) โดยสาเหตุหลักมาจากสินเชื่อครัวเรือนที่ชะลอลง ซึ่งเกิดจากทั้งฝั่งผู้ให้สินเชื่อที่มีการเลือกปล่อยสินเชื่อในกลุ่มลูกหนี้ที่มีศักยภาพมากขึ้น และฝั่งครัวเรือนที่ระมัดระวังการก่อหนี้เนื่องจากเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน
.
ขณะที่หนี้สินธุรกิจต่อ GDP ก็ลดลงในทิศทางเดียวกับหนี้ครัวเรือน เหลือ 81.3% (จาก 81.6%) ณ ไตรมาส 2 ปี 2568  เนื่องมาจากความสามารถในการทำกำไรภาคธุรกิจลดลงเกือบทุกประเภทธุรกิจจากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากการชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัย
.
สำหรับระยะต่อไป คาดการณ์เบื้องต้นว่า หนี้ครัวเรือนจะลดลงอย่างต่อเนื่อง หากพิจารณาจากตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 1.2% หนี้ครัวเรือนในไตรมาส 3 จะอยู่ที่ 86.6%
.
#TheStandardWealth
CR https://www.facebook.com/share/1H84qKF6D7/?mibextid=wwXIfr

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่