ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะ NASDAQ มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่โดดเด่นและเห็นได้ชัดกว่าก็คือ หุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่เป็นผู้นำและมีขนาดใหญ่จำนวนประมาณ 7-10 ตัวที่นักลงทุนเรียกว่า “หุ้น 7 นางฟ้า” มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าดัชนีและหุ้นอื่น ๆ มาก
การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานโดยที่มีช่วงปรับตัวลงน้อยกว่ามากนั้น ทำให้หุ้นดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับหุ้นอื่น จนถึงนาทีนี้เราคงต้องเรียกว่าเป็น “หุ้นยักษ์” ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นสูงมาก หุ้นตัวใหญ่ที่สุดคือ NVIDIA นั้นมีมูลค่าถึงกว่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 162.5 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10 เท่าของ Market Cap. ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด 7-800 ตัวของตลาดหุ้นไทย
และถ้าเปรียบบริษัทเหมือนกับประเทศ ๆ หนึ่งในโลกที่ผลิตสินค้าและบริการให้กับโลก หุ้น NVIDIA ก็ใหญ่ขนาดที่เรียกว่าใหญ่กว่าทุกประเทศในโลกยกเว้นสหรัฐและจีนในแง่ของ GDP พูดง่าย ๆ Market Cap. ของเอนวิเดียใหญ่กว่า GDP ของประเทศเยอรมันที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกที่ประมาณ 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเช่นเดียวกัน
“หุ้นยักษ์” ที่เป็นหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวในดัชนี S&P 500 ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคทางด้าน AI กลุ่ม 7 นางฟ้าซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นเอนวิเดีย หุ้นแอปเปิล ไมโครซอฟท์ กูเกิล อะมาซอน บรอดคอม เมตา เทสลา เบิร์กไชร์ และเจพีมอร์แกน มี Market Cap. รวมกันประมาณ 25.7 ล้านล้านเหรียญนับที่วันสิ้นเดือนตุลาคม 2025 เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้นในดัชนี S&P ที่61 ล้านล้านเหรียญ ก็เท่ากับว่าหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวรวมกันมีมูลค่าเท่ากับ 42.2% ของหุ้นทั้งตลาด และหุ้น เอนวิเดียที่เป็นหุ้นตัวใหญ่ที่สุดเพียงตัวเดียวก็มีมูลค่าประมาณ 8.2% ในดัชนี S&P 500 แล้ว
พูดอย่างหยาบ ๆ ก็คือ หุ้นตัวใหญ่ที่สุดในตลาด 10 ตัวนั้น ได้ “Dominate” หรือ “ครอบงำ” ตลาด S&P500 ซึ่งเป็นตัวแทนประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว คือหุ้นอเมริกาจะขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มหุ้น 10 ตัวนี้ เป็นหลัก ตลาดหุ้นจะบูมหนักหรือเกิดวิกฤติในอนาคต ก็ขึ้นอยู่กับ “หุ้นนางฟ้า” เหล่านี้ และประเทศสหรัฐจะแพ้หรือชนะจีนในการต่อสู้แข่งขัน ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของหุ้นกลุ่มนี้
นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญต่างก็เชื่อกันว่า อนาคตของสหรัฐก็คือ การเติบโตของสินค้าบริการที่นำโดย AI ที่แทบจะ “กินรวบ” กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด เพราะถ้ามองจากสัดส่วนของ Market Cap. ที่สูงถึง 42.2% นั้นก็อาจจะแปลว่า ในอนาคต คนก็จะใช้หรือทำอะไรเกี่ยวกับ AI มากมายในชีวิตประจำวัน รายจ่ายต่าง ๆ ที่จ่ายไปก็อาจจะจ่ายให้กับ AI เกือบครึ่งหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมด โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
แต่หลายคนก็อาจจะคิดว่า จริงหรือ? จำนวนไม่น้อยก็อาจจะคิดว่า “คิดเวอร์กันไปเอง” โลกยังไปไม่ถึงจุดนั้น จริงอยู่ AI นั้นมีความสำคัญสุดยอด การปฎิวัติ AI กำลังเกิดขึ้นก็จริง แต่มันคงต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าที่มันจะมาทำงานแทนคนมากเสียจนคนเริ่มไร้ความหมายและตกงานกันไปหมด สิ่งที่เกิดขึ้นจริงตอนนี้กับหุ้นก็คือ การเก็งกำไรอย่างบ้าคลั่งที่ดันให้ราคาหุ้นขึ้นไปแบบหลุดโลกและไม่ช้าหุ้นก็อาจจะปรับตัวลงอย่างแรงจนอาจจะเกิดหายนะได้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนคนจะคิดกันว่า ตลาดหุ้นอเมริกากำลัง “กระจุกตัว” มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ อานิสงค์จากการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI ขนาดใหญ่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะ “กลืนกิน” ธุรกิจรุ่นเก่าที่แทบจะไม่โตอีกต่อไปแล้ว
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ตลาดหุ้นอื่น ๆ ในโลกก็คงไม่เหมือนอเมริกา เพราะประเทศอื่นส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีหุ้นเทค AI ที่ยิ่งใหญ่เท่า ไม่ต้องพูดถึงตลาดหุ้นไทยที่เราเป็น “เศรษฐกิจเก่า” ดังนั้น หุ้นไทยก็คง “ไม่กระจุกตัว” และหุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็คงไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับตลาด จริงไหม? ลองมาดูกัน
ตลาดหุ้นไทย ณ.ประมาณสิ้นเดือนตุลาคม 2568 มี Market Cap. ประมาณ 16.8 ล้านล้านบาท หุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวมีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 7.8 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 46.3% ซึ่งสูงกว่าตลาด S&P 500 ที่อยู่ที่ 42.2% น่าตกใจใช่ไหมครับ และหุ้นใหญ่ที่สุดตัวเดียวคือหุ้นเดลต้ามี Market Cap. 2.73 ล้านล้านบาทหรือเท่ากับ 16.2% เทียบกับหุ้นเอนวิเดียที่ 8.2% งงไหมครับ? ที่ตลาดหุ้นไทยนั้น หุ้นยักษ์ 10 ตัวก็ครอบงำตลาดหุ้นไทย และครอบงำมากกว่าตลาดหุ้นอเมริกาด้วยซ้ำ
ลองมาดูตลาดหุ้นเวียตนามที่คนไทยไปลงทุนกันมาก “อัตราการครอบงำ” ของหุ้นยักษ์ Top 10 ของเวียตนามก็คือ หุ้นยักษ์ 10 ตัว มีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 4 ล้านล้านบาท ในขณะที่ตลาดมี Market Cap. รวมประมาณ 9.33 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 42.6% หุ้นที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น VIC หรือวินกรุ๊ปมีมูลค่าประมาณ 9.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 10.2% ของตลาดทั้งหมด นี่ก็กระจุกตัวสูงกว่า S&P 500 เช่นเดียวกันแม้จะน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย
มาดูตลาดหุ้นเกาหลีที่ก็มีหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่จำนวนมากแม้ว่าจะไม่ใช่ AI มากนักยกเว้นหุ้นซัมซุง หุ้น Top 10 จำนวน 10 ตัว มี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่มูลค่าหุ้นทั้งตลาดเท่ากับ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น อัตราการกระจุกตัวของหุ้นยักษ์ก็คือ 43% สูงกว่า S&P 500 ที่ 42.2% และหุ้นซัมซุงที่ใหญ่ที่สุดมี Market Cap. 4.54 แสนล้านดอลลาร์เท่ากับ 18.53% ของตลาดหุ้นเกาหลีทั้งหมด
ตลาดหุ้นไต้หวันนั้น ถ้าจะพูดไปก็คล้าย ๆ ตลาดเกาหลีในแง่ที่มีหุ้นยักษ์ AI ระดับโลกจริง ๆ ก็คือหุ้น TSMC ที่มี Market Cap. ใหญ่มโหฬารที่ 1.52 ล้านล้านเหรียญหรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 49 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณเกือบ 3 เท่าของมูลค่าหุ้นทั้งตลาดของไทย และคิดเป็น 58.8% ของตลาดหุ้นไต้หวันที่มีมูลค่า 2.59 ล้านล้านเหรียญ
หุ้นยักษ์ 10 ตัวของไต้หวันมี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 2 ล้านล้านเหรียญ ทำให้มีสัดส่วนเท่ากับ 76.8% ของตลาดหุ้นทั้งหมด และจึงน่าจะเป็นตลาดหุ้นที่มีอัตราการกระจุกตัวสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ถ้าจะพูดไปก็คือ ตลาดหุ้นไต้หวันนั้นถูกครอบงำสมบูรณ์แบบด้วยหุ้น 10 ตัว หรือบางทีอาจจะบอกได้ด้วยว่าถูกครอบงำด้วยหุ้นตัวเดียวคือ TSMC
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นตลาดที่น่าสนใจในแง่ที่ว่าเป็นประเทศที่มีบริษัทไฮเทคจำนวนมากแต่มักอยู่ในเทคโนโลยียุคก่อนอย่างเช่น รถยนต์สันดาป เครื่องจักรกล หรืออิเลคโทรนิกส์รุ่นก่อน ๆ
หุ้นยักษ์ 10 ตัวซึ่งนำโดยโตโยต้าและหุ้นซอฟแบ้งค์ที่เป็นผู้นำทางด้านการลงทุนในธุรกิจดิจิทัลรวมถึง AI มี Market Cap. รวมกัน 1.52 ล้านล้านเหรียญ จากตลาดหุ้นทั้งหมดที่มีมูลค่าตลาดของหุ้น 5.54 ล้านล้านเหรียญ ดังนั้น อัตรากระจุกตัวจึงอยู่ที่ 27.4% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั้งหมดที่กล่าวมา หุ้นโตโยต้าที่ใหญ่ที่สุดในตลาดก็มี Market Cap. เพียง2.68 แสนล้านเหรียญหรือเท่ากับ 8.71 ล้านล้านบาท คิดเป็นแค่ 4.84% ของมูลค่ารวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นในขณะนี้ ไม่ได้มีอาการของการเก็งกำไรและการกระจุกตัวของหุ้นใหญ่แต่อย่างใด
สุดท้ายก็คือตลาดหุ้นจีนที่นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยเข้าไปลงทุน ตลาดจีนนั้นมีความซับซ้อนในแง่ที่ว่ามีตลาดหุ้นหลายแห่งรวมถึงตลาดฮ่องกงซึ่งมักจะแยกออกจากจีน และหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงที่เป็นหุ้นเทคและหุ้นขนาดใหญ่ก็มักจะไปจดทะเบียนในตลาด Nasdaq ด้วย การเปรียบเทียบต่าง ๆ เรื่องของการกระจุกตัวของหุ้นจึงเป็นเรื่องยากและไม่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ผมเองพยายามจะทำและใช้ข้อมูลแบบหยาบ ๆ เพื่อจะดูว่าตลาดหุ้นจีนนั้นเป็นอย่างไรเทียบกับตลาดอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว
หุ้น Top10 10 ตัวที่ผมเลือกนั้นเริ่มจากตัวที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น Tencent ที่มี Market Cap. 5.94 แสนล้านเหรียญ ตามด้วย อาลีบาบา และหุ้นอื่น ๆ เช่นแบ้งค์ขนาดใหญ่ หุ้นให้บริการโทรศัพท์มือถือ หุ้นปิโตรไชน่าและตบท้ายด้วยหุ้นเสียวหมี่ที่อยู่อันดับ 10 ผลรวมของ Market Cap. เท่ากับ 2.79 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตลาดหุ้นนั้นคิดจากตลาดในแผ่นดินใหญ่จีนไม่รวมฮ่องกงมีมูลค่าตลาดที่ประมาณ 11.87 ล้านล้านเหรียญ ทำให้อัตราการกระจุกอยู่ที่ 23.5% น้อยกว่าของตลาดญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ในขณะที่หุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็มีสัดส่วนแค่ 5% ของตลาดหุ้นโดยรวม
โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะมีหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเทียบกับหุ้นอื่น ๆ ในตลาดเดียวกันจนทำให้หุ้นเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมากมายแบบเหลือเชื่อ และทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวสูงในแง่ที่ว่าหุ้นแค่ 10 ตัวรวมกันมีสัดส่วนหรือมีน้ำหนักสูงมากในตลาด เช่น 40% ขึ้นไปนั้น คือตลาดหุ้นไต้หวัน ตลาดหุ้นไทย เกาหลี เวียตนาม และอเมริกาที่มา “รั้งท้าย” ไม่ใช่อันดับ 1 อย่างที่คิด
ส่วนหุ้นที่ไม่มีอาการกระจุกตัวของหุ้นเลยน่าจะเป็นตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับตลาดหุ้นจีน ที่ไม่มีหุ้นที่วิ่งขึ้นรุนแรงต่อเนื่องจนกลายเป็นหุ้นยักษ์ระดับโลกและทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่เพียง 10 ตัว ที่จะกำหนดชะตากรรมของตลาดหุ้นทั้งหมด
มองอีกด้านหนึ่งก็คือ หุ้นของตลาดที่มีการกระจุกตัวสูงอาจจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นยักษ์ 10 ตัวนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วราคาอาจจะแพงจัดเป็นฟองสบู่ที่อาจจะแตกได้ในเร็ววัน เพราะราคาขึ้นมาจากการเก็งกำไรใน “อนาคต” ของบริษัทที่อิงอยู่กับธุรกิจระดับที่ปฏิวัติโลกที่อาจจะไม่จริง หรือถึงจะจริง แต่บริษัทเหล่านั้นก็อาจจะไม่ได้กำไรมากมายอย่างที่คิดเพราะบริษัทอาจจะพ่ายแพ้ในการแข่งขันที่ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ ดังนั้น จึงเป็นความเสี่ยงสำหรับคนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นเหล่านั้น
8 พ.ย 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว : โลกในมุมมองของ Value Investor โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร