สวัสดีครับชาวพันทิป
ขอเล่าเรื่องนี้ในมุมผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ทำงานออฟฟิศย่านสุขุมวิทเหมือนใครหลายคน
ออฟฟิศผมไม่ใหญ่
โต๊ะเรียงชิดกันจนได้ยินเสียงถอนหายใจของกันและกัน
และผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ “ไม่ค่อยพูด”
ไม่ใช่หยิ่ง แค่เหนื่อยกับงานและปวดเมื่อยแทบทุกวัน
จนมีเธอ… ผู้หญิงโต๊ะข้าง ๆ
คนที่ชอบทักผมตอนบ่ายสามว่า
“วันนี้ไหวไหม”
คำถามสั้น ๆ แต่ทำให้ผมหยุดพิมพ์ทุกครั้ง
ผมเป็นพวกคิดว่า
เจ็บก็ทน ปวดก็ฝืน
งานต้องเสร็จ ร่างกายไว้ทีหลัง
เธอรู้ เพราะผมชอบเผลอขยับไหล่ กดต้นคอ ตอนประชุม
วันหนึ่งเธอพูดเหมือนบ่นลอย ๆ
“บางที การดูแลตัวเองก่อนงานบ้างก็ดีนะ”
ผมไม่ได้ตอบ
แต่คืนนั้นกลับไปนั่งคิดทั้งคืน
สุดท้ายผมยอมลาหยุดครึ่งวัน
ไปดูแลร่างกายที่คลินิกเล็ก ๆ แถวบ้าน
ที่ไม่ได้รีบ ไม่เร่ง และไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าแค่มาแก้ปวดชั่วคราว
มันเหมือนมีใครสักคนบอกว่า
“ร่างกายคุณเหนื่อยมานานแล้วนะ”
หลังจากวันนั้น ผมเปลี่ยนไปจริง ๆ
ไหล่เบาขึ้น หัวโล่งขึ้น
และที่แปลกคือ… ผมเริ่มยิ้มบ่อยขึ้นเวลาเธอเดินผ่านโต๊ะ
เราคุยกันมากขึ้น
จากเรื่องงาน เป็นเรื่องชีวิต
จากกาแฟแก้วเดียว เป็นมื้อเย็นเงียบ ๆ หลังเลิกงาน
ผมคิดว่ามันกำลังไปได้ดี
ดีจนผมลืมถามตัวเองว่า… ผมอยากใช้ชีวิตแบบไหน
แล้ววันหนึ่ง ผมตัดสินใจยื่นใบลาออก
ไม่ใช่เพราะงาน
ไม่ใช่เพราะเธอ
แต่เพราะผมเพิ่งรู้ว่า
ถ้ายังใช้ชีวิตแบบเดิม ต่อให้มีใครดี ๆ อยู่ข้าง ๆ ผมก็ไม่มีแรงพอจะรักษาไว้
วันสุดท้าย ผมให้ของเล็ก ๆ เธอ
พร้อมบอกว่า
“ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้ว่า การเลือกดูแลตัวเองไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว”
เธอยิ้ม
เป็นรอยยิ้มเดียวกับวันแรกที่ถามผมว่า “วันนี้ไหวไหม”
วันนี้เราไม่ได้ทำงานที่เดียวกัน
ไม่ได้คุยกันทุกวัน
แต่ทุกครั้งที่ผมดูแลร่างกายตัวเอง
ผมจะนึกถึงเธอเสมอ
บางความรักของผู้ชายออฟฟิศ
ไม่ได้ลงเอยด้วยคำว่า “แฟน”
แต่ลงเอยด้วยคำว่า
“ผมไม่ลืมคุณ และผมไม่ลืมดูแลตัวเอง”
มุมผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ทำงานออฟฟิศ
ขอเล่าเรื่องนี้ในมุมผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ทำงานออฟฟิศย่านสุขุมวิทเหมือนใครหลายคน
ออฟฟิศผมไม่ใหญ่
โต๊ะเรียงชิดกันจนได้ยินเสียงถอนหายใจของกันและกัน
และผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ “ไม่ค่อยพูด”
ไม่ใช่หยิ่ง แค่เหนื่อยกับงานและปวดเมื่อยแทบทุกวัน
จนมีเธอ… ผู้หญิงโต๊ะข้าง ๆ
คนที่ชอบทักผมตอนบ่ายสามว่า
“วันนี้ไหวไหม”
คำถามสั้น ๆ แต่ทำให้ผมหยุดพิมพ์ทุกครั้ง
ผมเป็นพวกคิดว่า
เจ็บก็ทน ปวดก็ฝืน
งานต้องเสร็จ ร่างกายไว้ทีหลัง
เธอรู้ เพราะผมชอบเผลอขยับไหล่ กดต้นคอ ตอนประชุม
วันหนึ่งเธอพูดเหมือนบ่นลอย ๆ
“บางที การดูแลตัวเองก่อนงานบ้างก็ดีนะ”
ผมไม่ได้ตอบ
แต่คืนนั้นกลับไปนั่งคิดทั้งคืน
สุดท้ายผมยอมลาหยุดครึ่งวัน
ไปดูแลร่างกายที่คลินิกเล็ก ๆ แถวบ้าน
ที่ไม่ได้รีบ ไม่เร่ง และไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าแค่มาแก้ปวดชั่วคราว
มันเหมือนมีใครสักคนบอกว่า
“ร่างกายคุณเหนื่อยมานานแล้วนะ”
หลังจากวันนั้น ผมเปลี่ยนไปจริง ๆ
ไหล่เบาขึ้น หัวโล่งขึ้น
และที่แปลกคือ… ผมเริ่มยิ้มบ่อยขึ้นเวลาเธอเดินผ่านโต๊ะ
เราคุยกันมากขึ้น
จากเรื่องงาน เป็นเรื่องชีวิต
จากกาแฟแก้วเดียว เป็นมื้อเย็นเงียบ ๆ หลังเลิกงาน
ผมคิดว่ามันกำลังไปได้ดี
ดีจนผมลืมถามตัวเองว่า… ผมอยากใช้ชีวิตแบบไหน
แล้ววันหนึ่ง ผมตัดสินใจยื่นใบลาออก
ไม่ใช่เพราะงาน
ไม่ใช่เพราะเธอ
แต่เพราะผมเพิ่งรู้ว่า
ถ้ายังใช้ชีวิตแบบเดิม ต่อให้มีใครดี ๆ อยู่ข้าง ๆ ผมก็ไม่มีแรงพอจะรักษาไว้
วันสุดท้าย ผมให้ของเล็ก ๆ เธอ
พร้อมบอกว่า
“ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้ว่า การเลือกดูแลตัวเองไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว”
เธอยิ้ม
เป็นรอยยิ้มเดียวกับวันแรกที่ถามผมว่า “วันนี้ไหวไหม”
วันนี้เราไม่ได้ทำงานที่เดียวกัน
ไม่ได้คุยกันทุกวัน
แต่ทุกครั้งที่ผมดูแลร่างกายตัวเอง
ผมจะนึกถึงเธอเสมอ
บางความรักของผู้ชายออฟฟิศ
ไม่ได้ลงเอยด้วยคำว่า “แฟน”
แต่ลงเอยด้วยคำว่า
“ผมไม่ลืมคุณ และผมไม่ลืมดูแลตัวเอง”