โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) มักถูกขนานนามว่าเป็น "ฆาตกรเงียบ" เนื่องจากเป็นภาวะที่มักไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจนในระยะเริ่มต้น แต่กลับเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลก และบั่นทอนคุณภาพชีวิตของผู้คนนับพันล้านคนอย่างต่อเนื่อง องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่านี่คือหนึ่งในความท้าทายด้านสาธารณสุขที่สำคัญที่สุดในยุคปัจจุบัน ด้วยสถิติจำนวนผู้ป่วยที่น่าตกใจและผลกระทบอันร้ายแรงต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต
ตัวเลขกำลังสะท้อนวิกฤต
สถิติและตัวเลขกำลังสะท้อนวิกฤตของโรคนี้ ปัจจุบันมีประชากรโลกช่วงอายุ 30-79 ปี ประมาณ 1.28 พันล้านคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ตัวเลขนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ทั่วโลก โดยสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ มีผู้ป่วยเกือบครึ่งหนึ่ง (ประมาณ 46%) ที่ไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะนี้ และมีเพียงประมาณ 1 ใน 5 เท่านั้นที่สามารถควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้
ในกลุ่มผู้สูงอายุ สถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก เนื่องจากความเสี่ยงของโรคเพิ่มขึ้นตามอายุอย่างมีนัยสำคัญ มีการประมาณการว่ามากกว่า 60-70% ของผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปกำลังเผชิญกับภาวะความดันโลหิตสูง การที่หลอดเลือดมีความแข็งตึงและยืดหยุ่นน้อยลงตามวัย เป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่ทำให้กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ
ภัยเงียบที่ทำลายระบบร่างกาย
สิ่งที่ทำให้ความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบคือ มันค่อยๆ ทำลายอวัยวะสำคัญต่างๆ ภายในร่างกายอย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะแสดงอาการออกมา หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและถึงแก่ชีวิตได้
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) : ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งอาจทำให้เกิดอัมพาตหรือเสียชีวิตได้
- โรคหัวใจ (Heart Disease) : เพิ่มความเสี่ยงของอาการหัวใจวาย กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลว และภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว
- โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease) : ทำลายหลอดเลือดเล็กๆ ในไต ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลงจนอาจนำไปสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้ายได้
- ปัญหาด้านสายตาและสมอง : อาจทำให้เกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อม และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์
ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต (Quality of Life - QoL)
นอกเหนือจากความเสี่ยงทางกายภาพแล้ว โรคความดันโลหิตสูงยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในหลายมิติ
- ด้านร่างกาย : ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหัว อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะ ซึ่งอาการเหล่านี้แม้จะไม่รุนแรงถึงชีวิตในทันที แต่ก็รบกวนการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก
- ด้านจิตใจ : ความกังวลเกี่ยวกับภาวะสุขภาพเรื้อรัง ความเครียดจากการต้องรับประทานยาต่อเนื่อง และความกลัวภาวะแทรกซ้อน ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาทางจิตใจ เช่น ภาวะซึมเศร้า หรือความวิตกกังวลได้ การศึกษาพบว่าผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมักมีคุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่ากลุ่มประชากรปกติ
- ด้านสังคมและเศรษฐกิจ : การเจ็บป่วยเรื้อรังอาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น สูญเสียรายได้จากการทำงาน และอาจส่งผลต่อการเข้าสังคมหรือการทำกิจกรรมต่างๆ
การจัดการและการป้องกัน
การจัดการและการป้องกันคือทางออกเดียวเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น และรู้ตัวแต่เนิ่นๆ ข่าวดีคือโรคความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันและควบคุมได้ หัวใจสำคัญคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและการเข้าถึงระบบบริการทางการแพทย์
1. การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ
การวัดความดันโลหิตเป็นประจำคือขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
2. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
- ลดเค็ม : ลดการบริโภคโซเดียม (เกลือ) ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
- ออกกำลังกาย : การมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตได้ดี
- ควบคุมน้ำหนัก : น้ำหนักตัวที่เหมาะสมช่วยลดภาระต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
- เลิกบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์: ปัจจัยเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงของโรคอย่างมีนัยสำคัญ
- การรักษาด้วยยา : สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง การรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งจำเป็นในการควบคุมความดันให้อยู่ในเป้าหมาย
สถานการณ์ในประเทศไทยไทย
กลุ่มผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดและมีอัตราความชุกของโรคสูงที่สุดในประเทศไทย ตัวเลขคือมากกว่า 60% ของผู้สูงอายุไทยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเป็นโรคความดันโลหิตสูง โดยอัตราความชุกเพิ่มขึ้นตามช่วงวัยอย่างชัดเจน
อายุ 20-39 ปี : ประมาณ 7.7%
อายุ 40-59 ปี : ประมาณ 25.6%
อายุ 60 ปีขึ้นไป : สูงถึงประมาณ 60.6%
ปัจจัยเสี่ยงและการป้องกันในบริบทไทย
ปัจจัยเสี่ยงหลักในประเทศไทยไม่ได้แตกต่างจากสากลมากนัก แต่มีประเด็นที่น่ากังวลคือ พฤติกรรมการบริโภคอาหารรสเค็ม
- การบริโภคโซเดียมเกินปริมาณที่แนะนำ (ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเกลือ 1 ช้อนชา) เป็นปัญหาสำคัญในอาหารไทยหลายชนิด
- การมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
- ภาวะน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน
- ขาดการออกกำลังกาย ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
กระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรคมีการรณรงค์ให้ประชาชนเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป เพื่อให้สามารถค้นพบผู้ป่วยรายใหม่ได้เร็วขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น โรคไตวายเรื้อรัง โรคหัวใจ และอัมพฤกษ์อัมพาต
โดยสรุปแล้วโรคความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาระดับโลกที่ซับซ้อน แต่ด้วยความตระหนักรู้ การป้องกันเชิงรุก และการจัดการที่ถูกต้อง เราสามารถหยุดยั้ง "ภัยเงียบ" นี้จากการบั่นทอนคุณภาพชีวิตของผู้คนนับล้านได้ การลงทุนในสุขภาพของตนเองตั้งแต่วันนี้ คือก้าวแรกสู่ชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ
แล้วเพื่อน ๆ สมาชิกพันทิปละครับ ตรวจวัดความดันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
ที่มา : WHO, คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, กรมควบคุมโรค, สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย, Wikipedia, Gemini
บทความความรู้รอบตัวย้อนหลัง
https://pantip.com/profile/933113/topics
ความรู้รอบตัว - EP13 : โรคความดันโลหิตสูง ภัยเงียบที่กำลังบั่นทอนคุณภาพชีวิตคนไทยและคนทั่วโลก
สถิติและตัวเลขกำลังสะท้อนวิกฤตของโรคนี้ ปัจจุบันมีประชากรโลกช่วงอายุ 30-79 ปี ประมาณ 1.28 พันล้านคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ตัวเลขนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ทั่วโลก โดยสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ มีผู้ป่วยเกือบครึ่งหนึ่ง (ประมาณ 46%) ที่ไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะนี้ และมีเพียงประมาณ 1 ใน 5 เท่านั้นที่สามารถควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้
ในกลุ่มผู้สูงอายุ สถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก เนื่องจากความเสี่ยงของโรคเพิ่มขึ้นตามอายุอย่างมีนัยสำคัญ มีการประมาณการว่ามากกว่า 60-70% ของผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปกำลังเผชิญกับภาวะความดันโลหิตสูง การที่หลอดเลือดมีความแข็งตึงและยืดหยุ่นน้อยลงตามวัย เป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่ทำให้กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ
ภัยเงียบที่ทำลายระบบร่างกาย
สิ่งที่ทำให้ความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบคือ มันค่อยๆ ทำลายอวัยวะสำคัญต่างๆ ภายในร่างกายอย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะแสดงอาการออกมา หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและถึงแก่ชีวิตได้
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) : ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งอาจทำให้เกิดอัมพาตหรือเสียชีวิตได้
- โรคหัวใจ (Heart Disease) : เพิ่มความเสี่ยงของอาการหัวใจวาย กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลว และภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว
- โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease) : ทำลายหลอดเลือดเล็กๆ ในไต ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลงจนอาจนำไปสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้ายได้
- ปัญหาด้านสายตาและสมอง : อาจทำให้เกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อม และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์
นอกเหนือจากความเสี่ยงทางกายภาพแล้ว โรคความดันโลหิตสูงยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในหลายมิติ
- ด้านร่างกาย : ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหัว อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะ ซึ่งอาการเหล่านี้แม้จะไม่รุนแรงถึงชีวิตในทันที แต่ก็รบกวนการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก
- ด้านจิตใจ : ความกังวลเกี่ยวกับภาวะสุขภาพเรื้อรัง ความเครียดจากการต้องรับประทานยาต่อเนื่อง และความกลัวภาวะแทรกซ้อน ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาทางจิตใจ เช่น ภาวะซึมเศร้า หรือความวิตกกังวลได้ การศึกษาพบว่าผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมักมีคุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่ากลุ่มประชากรปกติ
- ด้านสังคมและเศรษฐกิจ : การเจ็บป่วยเรื้อรังอาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น สูญเสียรายได้จากการทำงาน และอาจส่งผลต่อการเข้าสังคมหรือการทำกิจกรรมต่างๆ
การจัดการและการป้องกันคือทางออกเดียวเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น และรู้ตัวแต่เนิ่นๆ ข่าวดีคือโรคความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันและควบคุมได้ หัวใจสำคัญคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและการเข้าถึงระบบบริการทางการแพทย์
1. การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ
การวัดความดันโลหิตเป็นประจำคือขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
2. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
- ลดเค็ม : ลดการบริโภคโซเดียม (เกลือ) ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
- ออกกำลังกาย : การมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตได้ดี
- ควบคุมน้ำหนัก : น้ำหนักตัวที่เหมาะสมช่วยลดภาระต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
- เลิกบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์: ปัจจัยเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงของโรคอย่างมีนัยสำคัญ
- การรักษาด้วยยา : สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง การรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งจำเป็นในการควบคุมความดันให้อยู่ในเป้าหมาย
สถานการณ์ในประเทศไทยไทย
กลุ่มผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดและมีอัตราความชุกของโรคสูงที่สุดในประเทศไทย ตัวเลขคือมากกว่า 60% ของผู้สูงอายุไทยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเป็นโรคความดันโลหิตสูง โดยอัตราความชุกเพิ่มขึ้นตามช่วงวัยอย่างชัดเจน
อายุ 20-39 ปี : ประมาณ 7.7%
อายุ 40-59 ปี : ประมาณ 25.6%
อายุ 60 ปีขึ้นไป : สูงถึงประมาณ 60.6%
ปัจจัยเสี่ยงและการป้องกันในบริบทไทย
ปัจจัยเสี่ยงหลักในประเทศไทยไม่ได้แตกต่างจากสากลมากนัก แต่มีประเด็นที่น่ากังวลคือ พฤติกรรมการบริโภคอาหารรสเค็ม
- การบริโภคโซเดียมเกินปริมาณที่แนะนำ (ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเกลือ 1 ช้อนชา) เป็นปัญหาสำคัญในอาหารไทยหลายชนิด
- การมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้
- ภาวะน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วน
- ขาดการออกกำลังกาย ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
กระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรคมีการรณรงค์ให้ประชาชนเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป เพื่อให้สามารถค้นพบผู้ป่วยรายใหม่ได้เร็วขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น โรคไตวายเรื้อรัง โรคหัวใจ และอัมพฤกษ์อัมพาต
โดยสรุปแล้วโรคความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาระดับโลกที่ซับซ้อน แต่ด้วยความตระหนักรู้ การป้องกันเชิงรุก และการจัดการที่ถูกต้อง เราสามารถหยุดยั้ง "ภัยเงียบ" นี้จากการบั่นทอนคุณภาพชีวิตของผู้คนนับล้านได้ การลงทุนในสุขภาพของตนเองตั้งแต่วันนี้ คือก้าวแรกสู่ชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ
แล้วเพื่อน ๆ สมาชิกพันทิปละครับ ตรวจวัดความดันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
ที่มา : WHO, คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, กรมควบคุมโรค, สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย, Wikipedia, Gemini
บทความความรู้รอบตัวย้อนหลัง
https://pantip.com/profile/933113/topics