สวัสดีครับ Silver Gaze ครับ
เชื่อไหมครับ ว่าการใช้ชีวิตในวัยทำงานเนี่ย มันเป็นอะไรที่โคตรจะแย่เลย เพราะมันเต็มไปด้วยปัญหาต่างๆ นาๆ ทั้งปัญหาชีวิต ปัญหาเรื่องความก้าวหน้า ปัญหาเรื่องที่ทำงาน รวมไปถึงปัญหาเรื่องเพื่อนบ้าน ปัญหาต่างๆ นาๆ เหล่านี้นั้นจะแบ่งจำนวนด้วยความรวดเร็วราวกับเซลล์มะเร็งที่หาประโยชน์ใดๆ ไม่ได้เลยในร่างกาย แถมสิ่งที่พอจะเยี่ยวยาจิตใจคุณได้อย่างสาวทอมบอย ผมสั้น น่ารัก คูลๆ แต่ก็มีด้านที่อ่อนโยนก็ไม่มีทีท่าว่าจะโผล่เข้ามาในชีวิตคุณเสียที
ซึ่งพอคุณต้องอยู่ร่วมกับปัญหาเหล่านี้ไปเยอะๆ คุณก็จะเริ่มไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจสภาพสังคม ไม่เข้าใจว่าความสงบที่ตัวเองต้องการทำไมมันเป็นเรื่องยากขนาดนั้นเลยเหรอ ? ไปจนถึงการพยายามถามพระเจ้าว่า ‘ผมผิดไรเนี้ย ผมแค่อยากใช้ชีวิตแบบสงบๆ พระเจ้าจะส่งปัญหาพวกนี้มาหาผมเพื่อ ?’ ทีพวกสแกมเมอร์ พ่อค้าลูกชิ้นที่ใส่แป้งมากกว่าเนื้อ หรือไม่ก็พวกนักการเมืองแย่ๆ ทำไมพระเจ้าถึงไม่ส่งปัญหาไปให้คนพวกนั้นบ้าง
หากแต่สิ่งที่เจ๋งกว่าการได้คำตอบจากพระเจ้า ก็คือการได้รู้ว่า…พระเจ้าก็งอนคุณเป็นเหมือนกัน
เพราะหลังจากที่ผมงอนพระเจ้าและเริ่มตั้งคำถามซ้ำๆ คืนหนึ่งในระหว่างที่ผมพยายามจะนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง พระเจ้าก็ตอบผมกลับมาด้วยความงอนในรูปแบบของภาพความทรงจำในสมัยเด็กจนถึงวัยรุ่นของผม และนั่นก็ถึงกับทำให้ผมหุบปากในทันที
โดยในวันนี้ผมจะมาเล่าถึงปฐมบทชีวิตอันแสนอันตรายของผม ตั้งแต่เกิดจนถึงช่วงอนุบาลให้ฟังกันครับ
1. The Birth of Devil Child
มีใครบ้านอยู่แถวแจ้งวัฒนะบ้างครับ ถ้าคุณเป็นคนที่บ้านอยู่แถวๆ แจ้งวัฒนะ คุณก็น่าจะคุ้นเคยกับเจ้าสิ่งประดิษฐ์มหัศ จ. ร. หัน การันต์ ย. ที่เรียกว่า ‘สะพานกลับรถหน้าโรงแรมมิราเคิลแกรนด์’ กันเป็นอย่างดี แต่ไม่ครับ เจ้าสะพานกลับรถนี่มันไม่ได้สร้างไม่เสร็จมานานเหมือนถนนพระราม 2 ไม่ได้มีทางที่แคบจนอันตราย หรือมีโครงสร้างที่เลวร้ายจนเหมือนว่ามันจะถล่มลงมาแต่อย่างใด มันเป็นเพียงสะพานกลับรถเล็กๆ สะพานหนึ่งที่ทำหน้าที่ของมันได้ดี
ซึ่งเป็นอะไรที่แตกต่างจากเด็กชายอายุไม่เกิน 5 ขวบคนหนึ่ง ที่อยู่ดีๆ ก็อยากเล่นซ่อนแอบขึ้นมาโดยสิ้นเชิง
คือเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แม่ผมเล่าให้ฟังนะครับ แต่เหมือนว่ามีครั้งหนึ่งที่ผมนั่งรถไปกับพ่อเพื่อไปเยี่ยมญาติแถวแจ้งวัฒนะ อยู่ดีๆ Silver Gaze ตัวน้อยก็ดันอยากเล่นซ่อนแอบขึ้นมาซะงั้น ซึ่งด้วยความที่บนรถคันนั้นมีแค่เขาและพ่อของเขา Silver Gaze ตัวน้อยก็เลย…เอ่ออออ ‘จ้ะเอ๋ ใครเอ๋ย’ แล้วเอามือไปปิดตาของพ่อของเขา ในระหว่างที่พ่อของเขา…เอ่ออออ กำลังขับรถอยู่
ซึ่งถ้าคุณคิดว่าพ่อลูกคู่นี้เขาเล่นกันระหว่างที่รถมันติดอะไรแบบนั้น ก็ต้องบอกเลยครับว่าไม่
ไม่งั้นผมจะปูเจ้าสะพานกลับรถหน้าโรงแรมมิราเคิลแกรนด์เพื่ออะไรจริงไหม ?
บอกตรงๆ ว่าถ้าตอนนั้นให้ผมไปอยู่ในร่างพ่อ แล้วให้พ่อมาอยู่ในร่างผม ตระกูล Silver Gaze คงได้สิ้นตระกูลไปเรียบร้อยแล้ว เพราะผมคงกรีดร้องเสียงหลงออกมา แล้วพาเราทั้งคู่พุ่งลงสะพานกลับรถ จากนั้นพวกเราทั้งคู่ก็น่าจะได้ไปโผล่บนข่าวหน้าหนึ่งอย่างแน่นอน
2. ผมทำได้ครับแม่
ถ้าคุณคิดว่าวีรกรรมของเด็กที่กล้าเรียกตัวเองว่า Devil Child จะจบแบบง่ายๆ ด้วยการเกือบพาพ่อตัวเองดิ่งลงสะพานกลับรถแล้วละก็ คุณคิดผิดครับ เพราะในช่วงอายุใกล้เคียงกัน Silver Gaze ตัวน้อยได้รู้จักกับสิ่งประดิษฐ์ที่น่าอัศ จ. ร. หัน การันต์ ย. ชิ้นใหม่ที่เรียกว่า “ซิปกางเกง”
5555 เดี๋ยว หยุดก่อน อย่าขำรอ
คือใช่ครับ เรื่องหลังจากนี้มันก็เป็นอย่างที่คุณคิดนั่นแหละ เนื้อเยื่อส่วนที่ Sensitive สุดๆ ของผมส่วนหนึ่งถูกเจ้าซิปกางเกงงับไปตอนเด็ก ผมร้องจ้าก ถูกส่งไปโรงพยาบาล จากนั้นผมก็เกือบจะต่อยหมอ แล้วสลบไปแบบไม่ต้องใช้ยาสลบ เพราะหมอดันหลอกผมว่า หมอจะต้องตัดเจี๊ยวผมออก
แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องซิปกางเกงของผมมันเจ๋งกว่าของคนอื่นก็คือเนื้อเรื่องก่อนที่ซิปจะติดและเนื้อเรื่องก่อนที่ทางบ้านผมจะพาผมไปโรงพยาบาลนี่แหละครับ
โดยเนื้อเรื่องก่อนที่ซิปจะติดก็คือ ผมกับพ่อแล้วก็แม่ไปเยี่ยมญาติที่บ้านแถวแจ้งวัฒนะนี่แหละครับ บ้านเดิมเลย บ้านที่ผมกับพ่อเกือบได้จุติสู่สวรรค์นั่นแหละ แล้วทีนี้ก่อนเราจะกลับบ้านเนี่ย ด้วยความที่บ้านญาติกับบ้านเรามันห่างกันพอสมควร พ่อแม่ผมก็เลยบอกให้ผมไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างทางจะได้ไม่ต้องแวะเข้าห้องน้ำตามปั้ม เพราะบ้านเรารู้กันดีครับว่าถ้าเกิดแวะปั้มขึ้นมา อย่างน้อยๆ Silver Gaze ตัวน้อยก็ต้องอ้อนพ่อแม่แวะเข้าร้านสะดวกซื้อแน่นอน
ซึ่งด้วยความที่ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ Silver Gaze ตัวน้อยสวมใส่กางเกงที่มีซิป แม่ของผมก็เลยเสนอว่าจะเป็นคนรูดซิปให้ แต่โหย เด็กผู้ชายอ่ะคุณ คุณจะมาให้พ่อแม่ทำให้มันใช่เรื่องที่ไหน แถมเป็นบ้านญาติเสียอีก Silver Gaze ตัวน้อยก็เลยตอบแม่ของเขาไปว่า ‘ไม่เป็นไรครับ ผมทำได้ครับแม่’ จากนั้นเด็กน้อยผู้เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นก็ส่งยิ้มให้แม่ของเขา แล้วหันหลังเดินเข้าห้องน้ำไปตามลำพัง
โห เชื่อเถอะครับ ว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น เวลาผมดูหนังทีไร แล้วมีฉากที่เกี่ยวกับการเตะไข่ สัมผัสไข่ หรืออะไรประมาณนั้นเมื่อไหร่ ผม

โคตรสงสารตัวละครที่โดนเลย แม้ตัวละครตัวนั้นจะเป็นตัวร้ายก็เถอะ
แต่สิ่งที่ฮากว่าของเหตุการณ์ในวันนั้นก็คือพ่อของผมครับ พ่อที่เคยพาครอบครัวรอดจากพลังการทำลายของ Devil Child มาหลายครั้งจนเริ่มมีภูมิต้านทาน อยู่ดีๆ ก็มีปณิฐานว่า ‘ซิบติดเหรอ ก็ไม่ยากนิ’ พ่อผมก็เลยหันไปหาญาติด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วถามญาติของผมด้วยเสียงจริงจังว่า ‘ที่บ้านมีค้อนกับตะปูไหม ?’
โชคดีที่วันนั้นบ้านญาติผมไม่มีค้อนกับตะปู
3. นั่งยางโชว์
สำหรับผู้ที่อยู่บนโลกนี้มานานพอสมควร หรือเรียกง่ายๆ ว่า ‘แก่’ หลายคนนน่าจะมีความทรงจำเกี่ยวกับรายการโทรทัศน์ที่มีชื่อว่า ‘นั่งยางโชว์’ กันบ้างถูกต้องไหมครับ แต่สำหรับคนที่จำไม่ได้หรือเกิดไม่ทันก็ไม่ต้องตกใจไปครับ เพราะนอกจากชื่อรายการ ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่ารายการนี้มันเกี่ยวกับอะไร
ซึ่งการที่ผมจำชื่อของรายการ ‘นั่งยางโชว์’ ได้แม่น ก็มีเหตุผลอยู่ครับ
เพราะในขณะที่บ้านผมกับบ้านญาติไปเที่ยวที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง อยู่ดีๆ ผมกับพ่อของผมก็อยากจะไปเล่นน้ำกันที่สระน้ำของทางรีสอร์ท ในขณะที่ญาติคนอื่นๆ กำลังสนุกสนานกับการเตรียมอาหาร และการทำน้ำปั่นอยู่ที่บริเวณบ้านพัก ผมกับพ่อของผมก็เลยแบกห่วงยางไปที่สระน้ำพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
แต่ด้วยอะไรสักอย่าง ในขณะที่พ่อผมกำลังจะถอดเสื้อ แล้วเอาโทรศัพท์มือถือไปวางในที่ปลอดภัย Silver Gaze ตัวน้อยก็แสดงอภินิหารแห่งความเป็น Devil Child ของเขาออกมา เขาโยนห่วงยางลงไปบนสระ ว่ายขึ้นไปนั่งบนห่วงยาง ถีบตัวเองออกจากข้างสระ จากนั้นก็หันไปตะโกนใส่พ่อเขาว่า
‘พ่อๆ เป็นไง นั่งยางโชว์~~~~’
พูดยังไม่ทันขาดคำ ห่วงยางที่ Silver Gaze ตัวน้อยกำลังนั่งอยู่ก็พลิกคว่ำ
และใช่ครับ สมัยนั้นถึงจะเป็นรีสอร์ท แต่การแบ่งระหว่างสระผู้ใหญ่กับสระเด็กก็เป็นเรื่องที่หาได้ยาก รู้ตัวอีกที Silver Gaze ตัวน้อยก็จมลงไปในความลึกระดับสระผู้ใหญ่ ไอหนุ่มนั่งยางโชว์ที่พึ่งยิ้มและหัวเราะให้พ่อตัวเองจึงสติแตกขึ้นมาทันที ในขณะที่พ่อของเขา (ที่น่าจะแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ) เลือกที่จะกระโดดลงสระน้ำลงมาช่วยลูกตัวเองไว้ หลังจากนั้นผมกับพ่อจึงได้ความรู้ใหม่มาเรื่องหนึ่งว่าการเอาโทรศัพท์มือถือเปียกน้ำไปใส่ถังข้าวสารมันช่วยได้จริงๆ นะ
เพราะงั้นจะว่า Silver Gaze ตัวน้อยผิดขนาดนั้นก็ดูจะโหดร้ายไปหน่อย เพราะมือถือก็ไม่พัง พ่อผมได้ฉากเท่ๆ อย่างการกระโดดลงไปช่วยลูก แถมพวกเราทั้งคู่ยังได้ความรู้ใหม่อีกด้วย เรียกได้ว่าผมนี่เป็นชายแห่งการตั้งคำถาม การหาความรู้ใหม่ๆ จนถึงขั้นเป็นตัวแทนแห่งวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้
เห้อออ อันนี้แค่ 3 เรื่องนะ ผมเขียนเองแล้วยังเหนื่อยแทนพระเจ้าที่เป็นคนดูแลผมเลย ให้ตายเหอะ
แต่แน่นอนครับว่าเรื่องที่พระเจ้าช่วยเตือนความจำให้ผมในคืนนั้นมีมากกว่านี้อีกเยอะ เยอะจนผมไม่รู้จะเถียงยังไงเลยล่ะ เพราะอย่างที่บอกว่านี่เป็นแค่เรื่องที่ผมอยู่ในช่วงอนุบาล ยังไม่ขึ้นชั้นประถมเลยด้วยซ้ำ ผมเลยคิดว่าบางทีเวลาที่เราเจอเรื่องแย่ๆ ในชีวิต มันอาจจะไม่ได้แปลว่ามันไม่ใครคอยช่วยเราอยู่เลยก็ได้ มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่อะไรเหล่านั้นตามความเชื่อของเราขอเวลาชาร์จพลัง แบบ ‘ให้กูได้พักบ้างเถอะ’ อะไรประมาณนั้น
เพราะงั้นก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่เถอะ ทำดีต่อไปเถอะ เชื่อในการไม่เบียดเบียนคนอื่นต่อไปเถอะ เพราะถึงมันจะเป็นเรื่องที่ยากในโลกที่แย่และเต็มไปด้วยคนที่พร้อมจะเอาเปรียบผู้อื่น ที่สุดแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึง เราก็สามารถยิ้มแล้วบอกตัวเองได้ ว่าเรานั้นพยายามใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดแล้ว
ปล. ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังถึงวีรกรรมในช่วงชีวิตอื่นๆ ที่ทำให้ผมเชื่อว่าตัวเองนั้นได้ตายไปแล้ว แถมด้วยเรื่องปัญหาที่ทำงาน ที่นอกจากผมจะได้เจอกับเพื่อนร่วมงานที่มาสายครึ่งชั่วโมง - สองชั่วโมงเป็นเรื่องปกติ หลังจากที่ผมได้มีโอกาสได้ค้นเข้าไปลึกๆ ผมยังได้เจอปัญหาที่ใหญ่มากๆ ในท่ี่ทำงานดังกล่าว จนถึงขั้นแอบคิดว่าตัวเองเป็น Miles Upshur จากเกม Outlast รวมไปถึงปัญหาศูนย์กระจายสินค้าที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในซอยแถวบ้าน หลังจากที่ผมได้มีโอกาสกลับไปอยู่ที่บ้าน แล้วพบว่าที่ประชากรที่เหลือภายในซอยดังกล่าวกลายเป็นคนชราไปเกือบหมด
ใครที่สนใจทั้งสองเรื่องก็สามารถติดตามเบื้องต้นได้ที่
https://pantip.com/topic/43573248 - มาทำงานสาย 50 นาทีมันผิดด้วยเหรอครับ ? ในเมื่อรถมันติด - Pantip
https://pantip.com/topic/43729899 - Shopping Online will make you cry in Long run - The Begining - Pantip
หวังว่าจะได้พบกันอีก
Silver Gaze
ผมนั้นได้ตายไปแล้ว
เชื่อไหมครับ ว่าการใช้ชีวิตในวัยทำงานเนี่ย มันเป็นอะไรที่โคตรจะแย่เลย เพราะมันเต็มไปด้วยปัญหาต่างๆ นาๆ ทั้งปัญหาชีวิต ปัญหาเรื่องความก้าวหน้า ปัญหาเรื่องที่ทำงาน รวมไปถึงปัญหาเรื่องเพื่อนบ้าน ปัญหาต่างๆ นาๆ เหล่านี้นั้นจะแบ่งจำนวนด้วยความรวดเร็วราวกับเซลล์มะเร็งที่หาประโยชน์ใดๆ ไม่ได้เลยในร่างกาย แถมสิ่งที่พอจะเยี่ยวยาจิตใจคุณได้อย่างสาวทอมบอย ผมสั้น น่ารัก คูลๆ แต่ก็มีด้านที่อ่อนโยนก็ไม่มีทีท่าว่าจะโผล่เข้ามาในชีวิตคุณเสียที
ซึ่งพอคุณต้องอยู่ร่วมกับปัญหาเหล่านี้ไปเยอะๆ คุณก็จะเริ่มไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจสภาพสังคม ไม่เข้าใจว่าความสงบที่ตัวเองต้องการทำไมมันเป็นเรื่องยากขนาดนั้นเลยเหรอ ? ไปจนถึงการพยายามถามพระเจ้าว่า ‘ผมผิดไรเนี้ย ผมแค่อยากใช้ชีวิตแบบสงบๆ พระเจ้าจะส่งปัญหาพวกนี้มาหาผมเพื่อ ?’ ทีพวกสแกมเมอร์ พ่อค้าลูกชิ้นที่ใส่แป้งมากกว่าเนื้อ หรือไม่ก็พวกนักการเมืองแย่ๆ ทำไมพระเจ้าถึงไม่ส่งปัญหาไปให้คนพวกนั้นบ้าง
หากแต่สิ่งที่เจ๋งกว่าการได้คำตอบจากพระเจ้า ก็คือการได้รู้ว่า…พระเจ้าก็งอนคุณเป็นเหมือนกัน
เพราะหลังจากที่ผมงอนพระเจ้าและเริ่มตั้งคำถามซ้ำๆ คืนหนึ่งในระหว่างที่ผมพยายามจะนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง พระเจ้าก็ตอบผมกลับมาด้วยความงอนในรูปแบบของภาพความทรงจำในสมัยเด็กจนถึงวัยรุ่นของผม และนั่นก็ถึงกับทำให้ผมหุบปากในทันที
โดยในวันนี้ผมจะมาเล่าถึงปฐมบทชีวิตอันแสนอันตรายของผม ตั้งแต่เกิดจนถึงช่วงอนุบาลให้ฟังกันครับ
1. The Birth of Devil Child
มีใครบ้านอยู่แถวแจ้งวัฒนะบ้างครับ ถ้าคุณเป็นคนที่บ้านอยู่แถวๆ แจ้งวัฒนะ คุณก็น่าจะคุ้นเคยกับเจ้าสิ่งประดิษฐ์มหัศ จ. ร. หัน การันต์ ย. ที่เรียกว่า ‘สะพานกลับรถหน้าโรงแรมมิราเคิลแกรนด์’ กันเป็นอย่างดี แต่ไม่ครับ เจ้าสะพานกลับรถนี่มันไม่ได้สร้างไม่เสร็จมานานเหมือนถนนพระราม 2 ไม่ได้มีทางที่แคบจนอันตราย หรือมีโครงสร้างที่เลวร้ายจนเหมือนว่ามันจะถล่มลงมาแต่อย่างใด มันเป็นเพียงสะพานกลับรถเล็กๆ สะพานหนึ่งที่ทำหน้าที่ของมันได้ดี
ซึ่งเป็นอะไรที่แตกต่างจากเด็กชายอายุไม่เกิน 5 ขวบคนหนึ่ง ที่อยู่ดีๆ ก็อยากเล่นซ่อนแอบขึ้นมาโดยสิ้นเชิง
คือเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แม่ผมเล่าให้ฟังนะครับ แต่เหมือนว่ามีครั้งหนึ่งที่ผมนั่งรถไปกับพ่อเพื่อไปเยี่ยมญาติแถวแจ้งวัฒนะ อยู่ดีๆ Silver Gaze ตัวน้อยก็ดันอยากเล่นซ่อนแอบขึ้นมาซะงั้น ซึ่งด้วยความที่บนรถคันนั้นมีแค่เขาและพ่อของเขา Silver Gaze ตัวน้อยก็เลย…เอ่ออออ ‘จ้ะเอ๋ ใครเอ๋ย’ แล้วเอามือไปปิดตาของพ่อของเขา ในระหว่างที่พ่อของเขา…เอ่ออออ กำลังขับรถอยู่
ซึ่งถ้าคุณคิดว่าพ่อลูกคู่นี้เขาเล่นกันระหว่างที่รถมันติดอะไรแบบนั้น ก็ต้องบอกเลยครับว่าไม่
ไม่งั้นผมจะปูเจ้าสะพานกลับรถหน้าโรงแรมมิราเคิลแกรนด์เพื่ออะไรจริงไหม ?
บอกตรงๆ ว่าถ้าตอนนั้นให้ผมไปอยู่ในร่างพ่อ แล้วให้พ่อมาอยู่ในร่างผม ตระกูล Silver Gaze คงได้สิ้นตระกูลไปเรียบร้อยแล้ว เพราะผมคงกรีดร้องเสียงหลงออกมา แล้วพาเราทั้งคู่พุ่งลงสะพานกลับรถ จากนั้นพวกเราทั้งคู่ก็น่าจะได้ไปโผล่บนข่าวหน้าหนึ่งอย่างแน่นอน
2. ผมทำได้ครับแม่
ถ้าคุณคิดว่าวีรกรรมของเด็กที่กล้าเรียกตัวเองว่า Devil Child จะจบแบบง่ายๆ ด้วยการเกือบพาพ่อตัวเองดิ่งลงสะพานกลับรถแล้วละก็ คุณคิดผิดครับ เพราะในช่วงอายุใกล้เคียงกัน Silver Gaze ตัวน้อยได้รู้จักกับสิ่งประดิษฐ์ที่น่าอัศ จ. ร. หัน การันต์ ย. ชิ้นใหม่ที่เรียกว่า “ซิปกางเกง”
5555 เดี๋ยว หยุดก่อน อย่าขำรอ
คือใช่ครับ เรื่องหลังจากนี้มันก็เป็นอย่างที่คุณคิดนั่นแหละ เนื้อเยื่อส่วนที่ Sensitive สุดๆ ของผมส่วนหนึ่งถูกเจ้าซิปกางเกงงับไปตอนเด็ก ผมร้องจ้าก ถูกส่งไปโรงพยาบาล จากนั้นผมก็เกือบจะต่อยหมอ แล้วสลบไปแบบไม่ต้องใช้ยาสลบ เพราะหมอดันหลอกผมว่า หมอจะต้องตัดเจี๊ยวผมออก
แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องซิปกางเกงของผมมันเจ๋งกว่าของคนอื่นก็คือเนื้อเรื่องก่อนที่ซิปจะติดและเนื้อเรื่องก่อนที่ทางบ้านผมจะพาผมไปโรงพยาบาลนี่แหละครับ
โดยเนื้อเรื่องก่อนที่ซิปจะติดก็คือ ผมกับพ่อแล้วก็แม่ไปเยี่ยมญาติที่บ้านแถวแจ้งวัฒนะนี่แหละครับ บ้านเดิมเลย บ้านที่ผมกับพ่อเกือบได้จุติสู่สวรรค์นั่นแหละ แล้วทีนี้ก่อนเราจะกลับบ้านเนี่ย ด้วยความที่บ้านญาติกับบ้านเรามันห่างกันพอสมควร พ่อแม่ผมก็เลยบอกให้ผมไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างทางจะได้ไม่ต้องแวะเข้าห้องน้ำตามปั้ม เพราะบ้านเรารู้กันดีครับว่าถ้าเกิดแวะปั้มขึ้นมา อย่างน้อยๆ Silver Gaze ตัวน้อยก็ต้องอ้อนพ่อแม่แวะเข้าร้านสะดวกซื้อแน่นอน
ซึ่งด้วยความที่ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ Silver Gaze ตัวน้อยสวมใส่กางเกงที่มีซิป แม่ของผมก็เลยเสนอว่าจะเป็นคนรูดซิปให้ แต่โหย เด็กผู้ชายอ่ะคุณ คุณจะมาให้พ่อแม่ทำให้มันใช่เรื่องที่ไหน แถมเป็นบ้านญาติเสียอีก Silver Gaze ตัวน้อยก็เลยตอบแม่ของเขาไปว่า ‘ไม่เป็นไรครับ ผมทำได้ครับแม่’ จากนั้นเด็กน้อยผู้เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นก็ส่งยิ้มให้แม่ของเขา แล้วหันหลังเดินเข้าห้องน้ำไปตามลำพัง
โห เชื่อเถอะครับ ว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น เวลาผมดูหนังทีไร แล้วมีฉากที่เกี่ยวกับการเตะไข่ สัมผัสไข่ หรืออะไรประมาณนั้นเมื่อไหร่ ผม
แต่สิ่งที่ฮากว่าของเหตุการณ์ในวันนั้นก็คือพ่อของผมครับ พ่อที่เคยพาครอบครัวรอดจากพลังการทำลายของ Devil Child มาหลายครั้งจนเริ่มมีภูมิต้านทาน อยู่ดีๆ ก็มีปณิฐานว่า ‘ซิบติดเหรอ ก็ไม่ยากนิ’ พ่อผมก็เลยหันไปหาญาติด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วถามญาติของผมด้วยเสียงจริงจังว่า ‘ที่บ้านมีค้อนกับตะปูไหม ?’
โชคดีที่วันนั้นบ้านญาติผมไม่มีค้อนกับตะปู
3. นั่งยางโชว์
สำหรับผู้ที่อยู่บนโลกนี้มานานพอสมควร หรือเรียกง่ายๆ ว่า ‘แก่’ หลายคนนน่าจะมีความทรงจำเกี่ยวกับรายการโทรทัศน์ที่มีชื่อว่า ‘นั่งยางโชว์’ กันบ้างถูกต้องไหมครับ แต่สำหรับคนที่จำไม่ได้หรือเกิดไม่ทันก็ไม่ต้องตกใจไปครับ เพราะนอกจากชื่อรายการ ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่ารายการนี้มันเกี่ยวกับอะไร
ซึ่งการที่ผมจำชื่อของรายการ ‘นั่งยางโชว์’ ได้แม่น ก็มีเหตุผลอยู่ครับ
เพราะในขณะที่บ้านผมกับบ้านญาติไปเที่ยวที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง อยู่ดีๆ ผมกับพ่อของผมก็อยากจะไปเล่นน้ำกันที่สระน้ำของทางรีสอร์ท ในขณะที่ญาติคนอื่นๆ กำลังสนุกสนานกับการเตรียมอาหาร และการทำน้ำปั่นอยู่ที่บริเวณบ้านพัก ผมกับพ่อของผมก็เลยแบกห่วงยางไปที่สระน้ำพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
แต่ด้วยอะไรสักอย่าง ในขณะที่พ่อผมกำลังจะถอดเสื้อ แล้วเอาโทรศัพท์มือถือไปวางในที่ปลอดภัย Silver Gaze ตัวน้อยก็แสดงอภินิหารแห่งความเป็น Devil Child ของเขาออกมา เขาโยนห่วงยางลงไปบนสระ ว่ายขึ้นไปนั่งบนห่วงยาง ถีบตัวเองออกจากข้างสระ จากนั้นก็หันไปตะโกนใส่พ่อเขาว่า
‘พ่อๆ เป็นไง นั่งยางโชว์~~~~’
พูดยังไม่ทันขาดคำ ห่วงยางที่ Silver Gaze ตัวน้อยกำลังนั่งอยู่ก็พลิกคว่ำ
และใช่ครับ สมัยนั้นถึงจะเป็นรีสอร์ท แต่การแบ่งระหว่างสระผู้ใหญ่กับสระเด็กก็เป็นเรื่องที่หาได้ยาก รู้ตัวอีกที Silver Gaze ตัวน้อยก็จมลงไปในความลึกระดับสระผู้ใหญ่ ไอหนุ่มนั่งยางโชว์ที่พึ่งยิ้มและหัวเราะให้พ่อตัวเองจึงสติแตกขึ้นมาทันที ในขณะที่พ่อของเขา (ที่น่าจะแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ) เลือกที่จะกระโดดลงสระน้ำลงมาช่วยลูกตัวเองไว้ หลังจากนั้นผมกับพ่อจึงได้ความรู้ใหม่มาเรื่องหนึ่งว่าการเอาโทรศัพท์มือถือเปียกน้ำไปใส่ถังข้าวสารมันช่วยได้จริงๆ นะ
เพราะงั้นจะว่า Silver Gaze ตัวน้อยผิดขนาดนั้นก็ดูจะโหดร้ายไปหน่อย เพราะมือถือก็ไม่พัง พ่อผมได้ฉากเท่ๆ อย่างการกระโดดลงไปช่วยลูก แถมพวกเราทั้งคู่ยังได้ความรู้ใหม่อีกด้วย เรียกได้ว่าผมนี่เป็นชายแห่งการตั้งคำถาม การหาความรู้ใหม่ๆ จนถึงขั้นเป็นตัวแทนแห่งวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้
เห้อออ อันนี้แค่ 3 เรื่องนะ ผมเขียนเองแล้วยังเหนื่อยแทนพระเจ้าที่เป็นคนดูแลผมเลย ให้ตายเหอะ
แต่แน่นอนครับว่าเรื่องที่พระเจ้าช่วยเตือนความจำให้ผมในคืนนั้นมีมากกว่านี้อีกเยอะ เยอะจนผมไม่รู้จะเถียงยังไงเลยล่ะ เพราะอย่างที่บอกว่านี่เป็นแค่เรื่องที่ผมอยู่ในช่วงอนุบาล ยังไม่ขึ้นชั้นประถมเลยด้วยซ้ำ ผมเลยคิดว่าบางทีเวลาที่เราเจอเรื่องแย่ๆ ในชีวิต มันอาจจะไม่ได้แปลว่ามันไม่ใครคอยช่วยเราอยู่เลยก็ได้ มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่อะไรเหล่านั้นตามความเชื่อของเราขอเวลาชาร์จพลัง แบบ ‘ให้กูได้พักบ้างเถอะ’ อะไรประมาณนั้น
เพราะงั้นก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่เถอะ ทำดีต่อไปเถอะ เชื่อในการไม่เบียดเบียนคนอื่นต่อไปเถอะ เพราะถึงมันจะเป็นเรื่องที่ยากในโลกที่แย่และเต็มไปด้วยคนที่พร้อมจะเอาเปรียบผู้อื่น ที่สุดแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึง เราก็สามารถยิ้มแล้วบอกตัวเองได้ ว่าเรานั้นพยายามใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดแล้ว
ปล. ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังถึงวีรกรรมในช่วงชีวิตอื่นๆ ที่ทำให้ผมเชื่อว่าตัวเองนั้นได้ตายไปแล้ว แถมด้วยเรื่องปัญหาที่ทำงาน ที่นอกจากผมจะได้เจอกับเพื่อนร่วมงานที่มาสายครึ่งชั่วโมง - สองชั่วโมงเป็นเรื่องปกติ หลังจากที่ผมได้มีโอกาสได้ค้นเข้าไปลึกๆ ผมยังได้เจอปัญหาที่ใหญ่มากๆ ในท่ี่ทำงานดังกล่าว จนถึงขั้นแอบคิดว่าตัวเองเป็น Miles Upshur จากเกม Outlast รวมไปถึงปัญหาศูนย์กระจายสินค้าที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในซอยแถวบ้าน หลังจากที่ผมได้มีโอกาสกลับไปอยู่ที่บ้าน แล้วพบว่าที่ประชากรที่เหลือภายในซอยดังกล่าวกลายเป็นคนชราไปเกือบหมด
ใครที่สนใจทั้งสองเรื่องก็สามารถติดตามเบื้องต้นได้ที่
https://pantip.com/topic/43573248 - มาทำงานสาย 50 นาทีมันผิดด้วยเหรอครับ ? ในเมื่อรถมันติด - Pantip
https://pantip.com/topic/43729899 - Shopping Online will make you cry in Long run - The Begining - Pantip
หวังว่าจะได้พบกันอีก
Silver Gaze