สวัสดีครับ Silver Gaze ครับ
วันนี้ด้วยความที่ผมอยู่กับการได้เห็นคนไทยโดน ‘เล่นกับใจ’ มาหลายยุคสมัย โดยที่การโดนเล่นกับใจเหล่านี้ก็ยังคงอยู่กับสังคมเราเสมอ ราวกับไวรัสของเหล่าแฮกเกอร์ที่พัฒนาการไปเรื่อยๆ เพื่อเจาะเข้ามาในใจของเรา ผมที่มองว่ามันน่าจะดีนะ ถ้าเราได้เห็น Pattern ของเรื่องนี้ จึงจะมาเล่าถึงประสบการณ์การโดนเล่นกับใจตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันของคนไทยให้กับทุกท่านได้ฟังกัน
ซึ่งถ้าจะพูดถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ มันก็คงจะหนีไม่พ้นยุคแรก อย่าง
1. โรคร้าย ความหวัง และความตาย
เริ่มกันที่ยุคแรกของการโดนเล่นกับใจของคนไทย ที่ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ มันก็เป็นยุคที่น่าเศร้านะครับ เพราะในสมัยนั้นวิทยาการทางด้านวิทยาศาสตร์ของเรายังไม่ได้มีวิวัฒนาการสูงนัก เพราะงั้นในยุคที่เอดส์ถูกเรียกว่าโรคของคนมักมากในกาม มะเร็งก็เป็นเหมือนโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษา แถมที่แย่กว่านั้นก็คือความจริงที่ว่า ในยุคนั้นเรายังระบุไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่ามะเร็งมันเกิดขึ้นจากอะไร บางคนจึงมองว่ามันเป็นโรคที่เกิดจากบาป บุญ และเวรกรรม
ซึ่งสำหรับผม นั่นคือจุดเริ่มต้นของการโดนเล่นกับใจในยุคแรก
เพราะเมื่อต้องเผชิญกับโรคร้ายที่แม้แต่หมอที่เก่งที่สุดก็ยังส่ายหน้า มนุษย์ในยุคนั้นก็เริ่มทอดทิ้งวิทยาศาสตร์ และอาศัยความเชื่อในการต่อสู้กับโรคแทน เพราะงั้นไม่ว่าจะน้ำมนตร์ ยาสมุนไพร หรือแม้กระทั่งน้ำปัสสาวะก็กลายเป็นยาที่หลายคนเชื่อว่าสามารถช่วยให้หายจากโรคได้
แต่นอกจากการกินอะไรที่ไม่มีประโยชน์เข้าไปแล้ว สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือคนที่โดนเล่นกับใจในยุคนั้นยอมจ่ายเงินมากมายเพื่อสิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘ยา’ เหล่านั้น เพื่อแลกกับความหวังอันน้อยนิดที่จะต่อชีวิตคนที่พวกเขารัก
ยุคแรกของการโดนเล่นกับใจจึงเป็นยุคที่น่าเศร้า ที่มีผลกระทบมาจากความขาดแคลนทางออกทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถเชื่อถือได้นั้นเอง
2. ศรัทธาที่เสื่อมสลาย และศาสนาทางเลือก
สำหรับยุคที่สองต้องบอกเลยครับว่า มันก็คล้ายๆ กับยุคนี้นี่แหละ เพราะไม่ว่าจะยุคสมัยไหนมนุษย์ส่วนใหญ่ก็ต้องการที่พึ่งพาทางใจ คำถามที่น่าสนใจจึงเป็นคำถามที่ว่า ‘คุณว่ายุคปัจจุบันกับสมัยก่อน มนุษย์ในยุคไหนเข้าวัดเยอะกว่ากัน ?’ คำตอบของแต่ละคนก็คงแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับผมแล้ว คำตอบของผมก็คือสมัยก่อนครับ และนั่นก็ทำให้ข่าวเรื่องพระเรื่องเจ้าในปัจจุบันนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจมากขนาดนั้น เพราะถ้าคุณเข้าวัดบ่อย คลุกคลีกกับวัดมากกว่าในปัจจุบัน อาการ ‘Mind Break’ จากสิ่งที่เรียกว่า ‘ศาสนา’ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอกครับ
คือคุณจะมาแปลกใจอะไรกับการที่พระมีสาวกันล่ะ ? ในเมื่อในอดีตคุณก็เลยเห็นเณรสุดเท่ที่มีเครื่องบินส่วนตัว หรือแม้กระทั่งพระบางนิกายที่พยายามจะสร้างยานบินของตัวเอง
ในยุคนั้นจึงมีศาสนาทางเลือกเพิ่มขึ้นมาเป็นทางเลือกจำนวนมาก ซึ่งด้วยความที่มันเยอะมาก ผมจะขอแยกเป็นกลุ่มๆ ก็แล้วกัน โดยหลักๆ แล้วก็จะมีพวกร่างทรง พวกที่สถิตเทพ มีคนเห็นอนาคต คนมีพลังวิเศษ หรือที่สุดยอดของสุดครีเอทีป ก็คงหนีไม่พ้น…เทพเจ้าไจแอนด์ ไม่ก็ เทพเจ้ากวนอู อะไรแบบนั้น
ฟังดูตลกใช่ไหมครับ
แต่เชื่อเถอะครับ ว่าแม้จะฟังดูน่าตลกในปัจจุบัน ในอดีตก็มีคนจำนวนมากที่โดนเล่นกับใจ แล้วกลายเป็นสาวกของศาสนาทางเลือกเหล่านั้นมากพอสมควรเลยทีเดียว
3. งานดี งานสบาย ได้เงินเยอะ
จะดีแค่ไหนถ้าโตไปลูกคุณจะได้งานที่ดี งานที่สบาย ได้เงินเยอะ แถมยังมีอัตราการตกงานต่ำ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่คือความจริงที่คุณสามารถสัมผัสได้ หากคุณส่งลูกของคุณไปเรียน ‘หมอ’ หรือไม่ก็สายอาชีพอื่นๆ แล้วให้ลูกเข้าทำงานในสำนักงานราชการอะไรสักอย่าง
ยุคที่สามของการโดนเล่นกับใจนั้นเป็นอีกหนึ่งยุคที่น่าเศร้าครับ
เพราะในขณะที่พ่อแม่ของเด็กๆ เหล่านั้นถูกเล่นกับใจ หัวใจของคนเป็นลูกก็ถูกทำลายด้วยค่านิยมที่พ่อแม่ของพวกเขาปลูกฝังให้ และผลที่ได้ออกมาก็อย่างที่เราเห็นนั้นแหละครับ หลายคนไม่ได้อยากเป็นหมอตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ประเทศชาติไม่ได้หมอเข้าระบบด้วยซ้ำ ในขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว งานที่เรียกว่า ‘หมอ’ ก็ไม่ได้ง่ายแม้แต่เศษเสี้ยว โดยเฉพาะถ้าคุณมองว่ามันก็เป็นแค่งานประเภทหนึ่ง
คือผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายุคสมัยนี้เขาฮิตอยากให้ลูกเป็นอะไรกัน แต่ก็ระวังไว้ด้วยล่ะ เพราะบางครั้งการเอาชีวิตทั้งชีวิตไปแลกกับค่านิยมที่คนอื่นปลูกฝังให้ มันก็ไม่คุ้มหรอก
4. ความเหงา และความสัมพันธ์ที่ขาดหาย
ข้อนี้อาจจะทำให้ผมโดนหลายคนโกรธนะ และข้อความที่ผมจะพูดต่อจากนี้ก็น่าจะทำให้ผมโดนหลายคนเกลียด แต่ผมก็จะพูดมันออกไปอยู่ดี เพราะผมเชื่อเสมอว่า ‘คนที่ขายความรัก นั้นเชื่อใจไม่ได้ เสียยิ่งกว่าคนที่ขายเรือนร่างเสียอีก’
ไม่รู้สิครับ สำหรับผม ถ้า Business Model นั้นๆ ให้ความสำคัญไปที่การขายความรักมากกว่าผลงาน Business Model มันก็ตอบตัวเองชัดแล้วว่ามันเกิดขึ้นมาเพราะความตั้งใจแบบไหน สำหรับผมความรักความผูกพันในตัวศิลปินมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว แต่การลดระยะห่างและระยะเวลาจนมันยากที่จะมีช่วงเวลามาขบคิดนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างอันตรายเลยครับ
เหมือนเราขับรถลงเขาอ่ะ คนขับรถเก่งก็อาจจะมองว่า ‘เห้ย เอ็งก็ขับลงมาดีๆ สิวะ ทางมันก็มีอยู่ มันจะไปยากตรงไหน’ แต่ปัญหาคือทุกคนมันไม่ได้ขับรถเก่งไง บางคนมันไม่ได้ขับรถลงเขาเป็นเรื่องปกติ และมันก็คงมีแค่คนจำนวนไม่มากนักหรอกที่ขับรถลงเขาเป็นเรื่องปกติ
เพราะงั้นมันเลยน่าเศร้ามากๆ ที่หลายคนต้องเสียเวลาและทรัพยากรมากมายไปกับสิ่งเหล่านั้น จนถึงขั้นบางคนเสียสุขภาพจิตไปเลยก็มี
5. ความหดหู่ในคราบของการพัฒนาตนเอง
ขยับมาที่ยุคที่ใกล้กับปัจจุบันมากขึ้นมาหน่อยกับยุคของการพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หลายคนมีทั้งบัตรสมาชิก ทั้งเสื้ิอ ทั้งรองเท้า การลงทุนที่ทำให้หลายคนมีทั้งหุ้น ทั้งบิดคอยด์ และรูปที่เจนขึ้นมาจาก AI ซึ่งในอดีตอาจจะเคยมีค่า แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ
แต่ที่โหดที่สุดก็เห็นจะเป็นการพัฒนาตัวเองด้านการทานอาหารนี่แหละ
ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกันเนอะ ที่การทานอาหารกลายเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ ยากจนต้องมีคอร์สสอนการทานอาหาร ยากจนต้องมีอาหารเสริมนู่นนี่ จนต้องมีวิธีการทานอาหารแบบต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ และแน่นอนว่าหลายคนก็โดนเล่นเข้ากับดวงใจอย่างจัง เพราะการกินอาหารให้ครบห้าหมู่ การกินน้ำตาลให้น้อยลง และการกินให้น้อยกว่าที่ร่างกายต้องนำไปใช้ต่อวันมันยากเสียจนน่าประหลาด
6. จุดจบที่ยังไงก็ต้องมาถึง และการอยากเป็นคนดีขึ้นมากระทันหัน
เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำๆ มาหลายยุคหลายสมัยแล้วล่ะครับ กับการที่มนุษย์นั้นหวาดกลัวความตาย หรือถ้าจะให้พูดกันแบบตรงไปตรงมา มันก็คือการกลัวว่าตัวเองจะต้องตกนรกนี่แหละครับ
เพราะหลังจากที่ต้องรู้ว่ายังไงตัวเองก็ต้องตาย หลายคนก็จะกลายเป็นคนดีขึ้นมากระทันหัน พร้อมกับดวงใจที่คาดหวังว่าตัวเองจะสามารถใช้เวลาที่เหลือเพียงเล็กน้อยในชีวิตในการทำดีเพื่อไม่ให้ตัวเองตกนรก ซึ่งก็แล้วแต่คนก็แล้วกัน เพราะทุกคนมีความเชื่อแตกต่างกัน ในขณะที่พระเจ้าที่ผมเชื่อมั่นก็ไม่ใช่พระเจ้าที่โง่จนคิดเลขเบื้องต้นไม่เป็นแต่อย่างใด
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในขณะที่หลายคนพยายามกันสุดชีวิตเพื่อไม่ให้ตนเองตกนรก พวกเขาก็จะทำทุกๆ อย่างจริงๆ ตั้งแต่ละทิ้งครอบครัวไปบวช ไปจนถึงการเปลี่ยนตัวเองเป็นนักสังคมสงเคราะห์ แต่วิธีที่ดูจะเล่นกับใจของคนส่วนมากได้ ก็เห็นจะเป็นการทำบุญ ด้วยความคิดที่ว่าถ้าเราโปรยเงินเยอะๆ แล้วก็จะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงๆ หรืออะไรประมาณนั้น
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการโปรยเงินไปโดยไม่เลือก จนคนที่ได้เงินจำนวนนั้นเอาไปทำทุนเพื่อหลอกคนอื่นต่อ มันจะให้บาปหรือบุญในศาสนาที่พวกเขาเชื่อ แต่ถ้านับกันเรื่องการโดนเล่นกับใจ วิธีนี้ก็ถือว่าได้ผลดีทีเดียวเลยล่ะ
7. ลูปที่วนกลับมาใหม่ พร้อมเทคโนโลยีที่ไฉไลกว่าเดิม
Ice Bath ล้างเลือด เพิ่มอ็อกซิเจน การพยายามกรอกวิตามินเข้าไปในตัวแม้ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเราขาดมันหรือเปล่า
คิดจริงๆ เหรอครับว่าในอดีตพ่อแม่ของคุณ และพ่อแม่ของพ่อแม่คุณไม่เคยพยายามทำอะไรแบบนี้ ?
ถ้าคุณคิดแบบนั้น คุณก็คงไม่เคยเห็นโสม รังนก หรือไม่ก็กระเพาะปลาที่คนโบราณเก็บและเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นยาอายุวัฒนะอย่างแน่นอน เพราะสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ก็มีเพียงการเปลี่ยนจากความรู้ความเข้าใจทางชีวภาพมาเป็นการใช้วิทยาศาสตร์ที่ดูล้ำสมัยมากขึ้น และการเปลี่ยนจากการอธิบายสรรพคุณที่คล้ายกับเรื่องราวในนิยายปรำปะรา มาเป็นการพูดอ้างอิงถึงงานวิจัยที่มีกลุ่มตัวอย่างน้อยพอๆ กับตัวละครที่มีสมองในโลก Isekai
Pioneer Spirit นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ควรจะเป็นเรื่องที่ถูกห้าม แต่ถ้ามันส่งผลกระทบต่อชีวิตคุณ ผมว่าการพยายามเพิ่มอายุขัยด้วยวิทยาการที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ มันก็อาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่ เพราะถึงมันจะเพิ่มอายุขัยของคุณได้จริง หรือสามารถวัดคุณภาพการนอนของคุณได้อย่างแม่นยำจนรู้ได้ว่าคุณกำลังฝันถึงใครอยู่ แต่สุดท้ายแล้วถ้าคุณต้องไปนั่งกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตอนท้ายเดือน บวกลบกันแล้วมันก็ไม่น่าคุ้มหรอกจริงไหม ?
ไม่รู้สิครับ ผมว่าถ้าเราจะมานั่งคาดหวังกับการนอนเฉยๆ แล้วให้เครื่องมันทำนู่นทำนี่ให้ จากนั้นเราก็จะกลายเป็นคนสุขภาพดี สู้เราตื่นเช้าแล้วไปรำไทเก็กกับคุณลุงคุณป้าสักเดือน จากนั้นค่อยมาติดตามผลลัพท์เสียยังดีซะกว่า เพราะไอการนอนเฉยๆ แล้วสุขภาพดีมันก็อาจจะทำได้จริงนะ แต่คุณคิดจริงๆ เหรอว่าถ้าเราใช้ชีวิตเหลวแหลกมาทั้งชีวิต การนอนเฉยๆ ในเครื่อง หรือการล้างเลือดเพียงครั้งเดียวจะช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดในชีวิตให้เราได้
เพราะงั้นถ้าเข้าใจแล้วว่าตัวเองไม่มีเงิน ก็มาครับ ลุกขึ้นมา แล้วมาออกกำลังกายธรรมดา~
https://www.youtube.com/watch?v=30oW5M48vDM&msockid=a69e51b0c76511f0965a633905ae15f0
ก็จบกันไปแล้วครับ กับยุคสมัยแห่งการโดนเล่นกับใจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของพวกเราชาวไทย ซึ่งถ้าผมตกยุคไหนไป ก็ต้องขอรบกวนให้ท่านทั้งหลายช่วยเพิ่มเติมให้ผมด้วย เพราะผมจำได้แค่นี้จริงๆ หรือหากท่านใดมีข้อเสนอแนะใดๆ ก็สามารถพิมพ์คอมเม็นต์ไว้ได้เลยครับ
หวังว่าความเจ็บปวดของผู้คนในอดีตจะทำให้ทุกท่านที่ได้อ่านก้าวไปสู่อนาคตที่ดีกว่า
หวังว่าเราจะได้พบกันใหม่
Silver Gaze
โดนเล่นกับใจ
วันนี้ด้วยความที่ผมอยู่กับการได้เห็นคนไทยโดน ‘เล่นกับใจ’ มาหลายยุคสมัย โดยที่การโดนเล่นกับใจเหล่านี้ก็ยังคงอยู่กับสังคมเราเสมอ ราวกับไวรัสของเหล่าแฮกเกอร์ที่พัฒนาการไปเรื่อยๆ เพื่อเจาะเข้ามาในใจของเรา ผมที่มองว่ามันน่าจะดีนะ ถ้าเราได้เห็น Pattern ของเรื่องนี้ จึงจะมาเล่าถึงประสบการณ์การโดนเล่นกับใจตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันของคนไทยให้กับทุกท่านได้ฟังกัน
ซึ่งถ้าจะพูดถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ มันก็คงจะหนีไม่พ้นยุคแรก อย่าง
1. โรคร้าย ความหวัง และความตาย
เริ่มกันที่ยุคแรกของการโดนเล่นกับใจของคนไทย ที่ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ มันก็เป็นยุคที่น่าเศร้านะครับ เพราะในสมัยนั้นวิทยาการทางด้านวิทยาศาสตร์ของเรายังไม่ได้มีวิวัฒนาการสูงนัก เพราะงั้นในยุคที่เอดส์ถูกเรียกว่าโรคของคนมักมากในกาม มะเร็งก็เป็นเหมือนโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษา แถมที่แย่กว่านั้นก็คือความจริงที่ว่า ในยุคนั้นเรายังระบุไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่ามะเร็งมันเกิดขึ้นจากอะไร บางคนจึงมองว่ามันเป็นโรคที่เกิดจากบาป บุญ และเวรกรรม
ซึ่งสำหรับผม นั่นคือจุดเริ่มต้นของการโดนเล่นกับใจในยุคแรก
เพราะเมื่อต้องเผชิญกับโรคร้ายที่แม้แต่หมอที่เก่งที่สุดก็ยังส่ายหน้า มนุษย์ในยุคนั้นก็เริ่มทอดทิ้งวิทยาศาสตร์ และอาศัยความเชื่อในการต่อสู้กับโรคแทน เพราะงั้นไม่ว่าจะน้ำมนตร์ ยาสมุนไพร หรือแม้กระทั่งน้ำปัสสาวะก็กลายเป็นยาที่หลายคนเชื่อว่าสามารถช่วยให้หายจากโรคได้
แต่นอกจากการกินอะไรที่ไม่มีประโยชน์เข้าไปแล้ว สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือคนที่โดนเล่นกับใจในยุคนั้นยอมจ่ายเงินมากมายเพื่อสิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘ยา’ เหล่านั้น เพื่อแลกกับความหวังอันน้อยนิดที่จะต่อชีวิตคนที่พวกเขารัก
ยุคแรกของการโดนเล่นกับใจจึงเป็นยุคที่น่าเศร้า ที่มีผลกระทบมาจากความขาดแคลนทางออกทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถเชื่อถือได้นั้นเอง
2. ศรัทธาที่เสื่อมสลาย และศาสนาทางเลือก
สำหรับยุคที่สองต้องบอกเลยครับว่า มันก็คล้ายๆ กับยุคนี้นี่แหละ เพราะไม่ว่าจะยุคสมัยไหนมนุษย์ส่วนใหญ่ก็ต้องการที่พึ่งพาทางใจ คำถามที่น่าสนใจจึงเป็นคำถามที่ว่า ‘คุณว่ายุคปัจจุบันกับสมัยก่อน มนุษย์ในยุคไหนเข้าวัดเยอะกว่ากัน ?’ คำตอบของแต่ละคนก็คงแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับผมแล้ว คำตอบของผมก็คือสมัยก่อนครับ และนั่นก็ทำให้ข่าวเรื่องพระเรื่องเจ้าในปัจจุบันนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจมากขนาดนั้น เพราะถ้าคุณเข้าวัดบ่อย คลุกคลีกกับวัดมากกว่าในปัจจุบัน อาการ ‘Mind Break’ จากสิ่งที่เรียกว่า ‘ศาสนา’ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอกครับ
คือคุณจะมาแปลกใจอะไรกับการที่พระมีสาวกันล่ะ ? ในเมื่อในอดีตคุณก็เลยเห็นเณรสุดเท่ที่มีเครื่องบินส่วนตัว หรือแม้กระทั่งพระบางนิกายที่พยายามจะสร้างยานบินของตัวเอง
ในยุคนั้นจึงมีศาสนาทางเลือกเพิ่มขึ้นมาเป็นทางเลือกจำนวนมาก ซึ่งด้วยความที่มันเยอะมาก ผมจะขอแยกเป็นกลุ่มๆ ก็แล้วกัน โดยหลักๆ แล้วก็จะมีพวกร่างทรง พวกที่สถิตเทพ มีคนเห็นอนาคต คนมีพลังวิเศษ หรือที่สุดยอดของสุดครีเอทีป ก็คงหนีไม่พ้น…เทพเจ้าไจแอนด์ ไม่ก็ เทพเจ้ากวนอู อะไรแบบนั้น
ฟังดูตลกใช่ไหมครับ
แต่เชื่อเถอะครับ ว่าแม้จะฟังดูน่าตลกในปัจจุบัน ในอดีตก็มีคนจำนวนมากที่โดนเล่นกับใจ แล้วกลายเป็นสาวกของศาสนาทางเลือกเหล่านั้นมากพอสมควรเลยทีเดียว
3. งานดี งานสบาย ได้เงินเยอะ
จะดีแค่ไหนถ้าโตไปลูกคุณจะได้งานที่ดี งานที่สบาย ได้เงินเยอะ แถมยังมีอัตราการตกงานต่ำ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่คือความจริงที่คุณสามารถสัมผัสได้ หากคุณส่งลูกของคุณไปเรียน ‘หมอ’ หรือไม่ก็สายอาชีพอื่นๆ แล้วให้ลูกเข้าทำงานในสำนักงานราชการอะไรสักอย่าง
ยุคที่สามของการโดนเล่นกับใจนั้นเป็นอีกหนึ่งยุคที่น่าเศร้าครับ
เพราะในขณะที่พ่อแม่ของเด็กๆ เหล่านั้นถูกเล่นกับใจ หัวใจของคนเป็นลูกก็ถูกทำลายด้วยค่านิยมที่พ่อแม่ของพวกเขาปลูกฝังให้ และผลที่ได้ออกมาก็อย่างที่เราเห็นนั้นแหละครับ หลายคนไม่ได้อยากเป็นหมอตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ประเทศชาติไม่ได้หมอเข้าระบบด้วยซ้ำ ในขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว งานที่เรียกว่า ‘หมอ’ ก็ไม่ได้ง่ายแม้แต่เศษเสี้ยว โดยเฉพาะถ้าคุณมองว่ามันก็เป็นแค่งานประเภทหนึ่ง
คือผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายุคสมัยนี้เขาฮิตอยากให้ลูกเป็นอะไรกัน แต่ก็ระวังไว้ด้วยล่ะ เพราะบางครั้งการเอาชีวิตทั้งชีวิตไปแลกกับค่านิยมที่คนอื่นปลูกฝังให้ มันก็ไม่คุ้มหรอก
4. ความเหงา และความสัมพันธ์ที่ขาดหาย
ข้อนี้อาจจะทำให้ผมโดนหลายคนโกรธนะ และข้อความที่ผมจะพูดต่อจากนี้ก็น่าจะทำให้ผมโดนหลายคนเกลียด แต่ผมก็จะพูดมันออกไปอยู่ดี เพราะผมเชื่อเสมอว่า ‘คนที่ขายความรัก นั้นเชื่อใจไม่ได้ เสียยิ่งกว่าคนที่ขายเรือนร่างเสียอีก’
ไม่รู้สิครับ สำหรับผม ถ้า Business Model นั้นๆ ให้ความสำคัญไปที่การขายความรักมากกว่าผลงาน Business Model มันก็ตอบตัวเองชัดแล้วว่ามันเกิดขึ้นมาเพราะความตั้งใจแบบไหน สำหรับผมความรักความผูกพันในตัวศิลปินมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว แต่การลดระยะห่างและระยะเวลาจนมันยากที่จะมีช่วงเวลามาขบคิดนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างอันตรายเลยครับ
เหมือนเราขับรถลงเขาอ่ะ คนขับรถเก่งก็อาจจะมองว่า ‘เห้ย เอ็งก็ขับลงมาดีๆ สิวะ ทางมันก็มีอยู่ มันจะไปยากตรงไหน’ แต่ปัญหาคือทุกคนมันไม่ได้ขับรถเก่งไง บางคนมันไม่ได้ขับรถลงเขาเป็นเรื่องปกติ และมันก็คงมีแค่คนจำนวนไม่มากนักหรอกที่ขับรถลงเขาเป็นเรื่องปกติ
เพราะงั้นมันเลยน่าเศร้ามากๆ ที่หลายคนต้องเสียเวลาและทรัพยากรมากมายไปกับสิ่งเหล่านั้น จนถึงขั้นบางคนเสียสุขภาพจิตไปเลยก็มี
5. ความหดหู่ในคราบของการพัฒนาตนเอง
ขยับมาที่ยุคที่ใกล้กับปัจจุบันมากขึ้นมาหน่อยกับยุคของการพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หลายคนมีทั้งบัตรสมาชิก ทั้งเสื้ิอ ทั้งรองเท้า การลงทุนที่ทำให้หลายคนมีทั้งหุ้น ทั้งบิดคอยด์ และรูปที่เจนขึ้นมาจาก AI ซึ่งในอดีตอาจจะเคยมีค่า แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ
แต่ที่โหดที่สุดก็เห็นจะเป็นการพัฒนาตัวเองด้านการทานอาหารนี่แหละ
ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกันเนอะ ที่การทานอาหารกลายเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ ยากจนต้องมีคอร์สสอนการทานอาหาร ยากจนต้องมีอาหารเสริมนู่นนี่ จนต้องมีวิธีการทานอาหารแบบต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ และแน่นอนว่าหลายคนก็โดนเล่นเข้ากับดวงใจอย่างจัง เพราะการกินอาหารให้ครบห้าหมู่ การกินน้ำตาลให้น้อยลง และการกินให้น้อยกว่าที่ร่างกายต้องนำไปใช้ต่อวันมันยากเสียจนน่าประหลาด
6. จุดจบที่ยังไงก็ต้องมาถึง และการอยากเป็นคนดีขึ้นมากระทันหัน
เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำๆ มาหลายยุคหลายสมัยแล้วล่ะครับ กับการที่มนุษย์นั้นหวาดกลัวความตาย หรือถ้าจะให้พูดกันแบบตรงไปตรงมา มันก็คือการกลัวว่าตัวเองจะต้องตกนรกนี่แหละครับ
เพราะหลังจากที่ต้องรู้ว่ายังไงตัวเองก็ต้องตาย หลายคนก็จะกลายเป็นคนดีขึ้นมากระทันหัน พร้อมกับดวงใจที่คาดหวังว่าตัวเองจะสามารถใช้เวลาที่เหลือเพียงเล็กน้อยในชีวิตในการทำดีเพื่อไม่ให้ตัวเองตกนรก ซึ่งก็แล้วแต่คนก็แล้วกัน เพราะทุกคนมีความเชื่อแตกต่างกัน ในขณะที่พระเจ้าที่ผมเชื่อมั่นก็ไม่ใช่พระเจ้าที่โง่จนคิดเลขเบื้องต้นไม่เป็นแต่อย่างใด
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในขณะที่หลายคนพยายามกันสุดชีวิตเพื่อไม่ให้ตนเองตกนรก พวกเขาก็จะทำทุกๆ อย่างจริงๆ ตั้งแต่ละทิ้งครอบครัวไปบวช ไปจนถึงการเปลี่ยนตัวเองเป็นนักสังคมสงเคราะห์ แต่วิธีที่ดูจะเล่นกับใจของคนส่วนมากได้ ก็เห็นจะเป็นการทำบุญ ด้วยความคิดที่ว่าถ้าเราโปรยเงินเยอะๆ แล้วก็จะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงๆ หรืออะไรประมาณนั้น
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการโปรยเงินไปโดยไม่เลือก จนคนที่ได้เงินจำนวนนั้นเอาไปทำทุนเพื่อหลอกคนอื่นต่อ มันจะให้บาปหรือบุญในศาสนาที่พวกเขาเชื่อ แต่ถ้านับกันเรื่องการโดนเล่นกับใจ วิธีนี้ก็ถือว่าได้ผลดีทีเดียวเลยล่ะ
7. ลูปที่วนกลับมาใหม่ พร้อมเทคโนโลยีที่ไฉไลกว่าเดิม
Ice Bath ล้างเลือด เพิ่มอ็อกซิเจน การพยายามกรอกวิตามินเข้าไปในตัวแม้ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเราขาดมันหรือเปล่า
คิดจริงๆ เหรอครับว่าในอดีตพ่อแม่ของคุณ และพ่อแม่ของพ่อแม่คุณไม่เคยพยายามทำอะไรแบบนี้ ?
ถ้าคุณคิดแบบนั้น คุณก็คงไม่เคยเห็นโสม รังนก หรือไม่ก็กระเพาะปลาที่คนโบราณเก็บและเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นยาอายุวัฒนะอย่างแน่นอน เพราะสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ก็มีเพียงการเปลี่ยนจากความรู้ความเข้าใจทางชีวภาพมาเป็นการใช้วิทยาศาสตร์ที่ดูล้ำสมัยมากขึ้น และการเปลี่ยนจากการอธิบายสรรพคุณที่คล้ายกับเรื่องราวในนิยายปรำปะรา มาเป็นการพูดอ้างอิงถึงงานวิจัยที่มีกลุ่มตัวอย่างน้อยพอๆ กับตัวละครที่มีสมองในโลก Isekai
Pioneer Spirit นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ควรจะเป็นเรื่องที่ถูกห้าม แต่ถ้ามันส่งผลกระทบต่อชีวิตคุณ ผมว่าการพยายามเพิ่มอายุขัยด้วยวิทยาการที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ มันก็อาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่ เพราะถึงมันจะเพิ่มอายุขัยของคุณได้จริง หรือสามารถวัดคุณภาพการนอนของคุณได้อย่างแม่นยำจนรู้ได้ว่าคุณกำลังฝันถึงใครอยู่ แต่สุดท้ายแล้วถ้าคุณต้องไปนั่งกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตอนท้ายเดือน บวกลบกันแล้วมันก็ไม่น่าคุ้มหรอกจริงไหม ?
ไม่รู้สิครับ ผมว่าถ้าเราจะมานั่งคาดหวังกับการนอนเฉยๆ แล้วให้เครื่องมันทำนู่นทำนี่ให้ จากนั้นเราก็จะกลายเป็นคนสุขภาพดี สู้เราตื่นเช้าแล้วไปรำไทเก็กกับคุณลุงคุณป้าสักเดือน จากนั้นค่อยมาติดตามผลลัพท์เสียยังดีซะกว่า เพราะไอการนอนเฉยๆ แล้วสุขภาพดีมันก็อาจจะทำได้จริงนะ แต่คุณคิดจริงๆ เหรอว่าถ้าเราใช้ชีวิตเหลวแหลกมาทั้งชีวิต การนอนเฉยๆ ในเครื่อง หรือการล้างเลือดเพียงครั้งเดียวจะช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดในชีวิตให้เราได้
เพราะงั้นถ้าเข้าใจแล้วว่าตัวเองไม่มีเงิน ก็มาครับ ลุกขึ้นมา แล้วมาออกกำลังกายธรรมดา~
https://www.youtube.com/watch?v=30oW5M48vDM&msockid=a69e51b0c76511f0965a633905ae15f0
ก็จบกันไปแล้วครับ กับยุคสมัยแห่งการโดนเล่นกับใจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของพวกเราชาวไทย ซึ่งถ้าผมตกยุคไหนไป ก็ต้องขอรบกวนให้ท่านทั้งหลายช่วยเพิ่มเติมให้ผมด้วย เพราะผมจำได้แค่นี้จริงๆ หรือหากท่านใดมีข้อเสนอแนะใดๆ ก็สามารถพิมพ์คอมเม็นต์ไว้ได้เลยครับ
หวังว่าความเจ็บปวดของผู้คนในอดีตจะทำให้ทุกท่านที่ได้อ่านก้าวไปสู่อนาคตที่ดีกว่า
หวังว่าเราจะได้พบกันใหม่
Silver Gaze