หลายคนอาจเคยพบปัญหา “หูอื้อ” หลังขึ้นเครื่องบิน หรือหลังฟังเสียงดังเป็นเวลานาน ซึ่งมักจะหายได้เองในเวลาไม่นาน แต่ในบางกรณี หากอาการหูอื้อเกิดขึ้นบ่อย หรือไม่หายแม้ผ่านไปหลายวัน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาการได้ยินหรือโรคเกี่ยวกับหู ที่ควรได้รับการตรวจโดยแพทย์เฉพาะทาง เพราะหากปล่อยไว้ อาจส่งผลกระทบต่อการได้ยินอย่างถาวรได้
หูอื้อคืออะไร?
“หูอื้อ” (Tinnitus) หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยรู้สึกได้ยินเสียงในหู เช่น เสียงวิ้ง เสียงหึ่ง หรือเสียงคล้ายจักจั่น ทั้งที่ไม่มีเสียงจริงอยู่รอบตัว ซึ่งอาจเกิดขึ้นในหูข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง และมีระดับความดังต่างกัน บางคนอาจรู้สึกรำคาญจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาการหูอื้อสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งบางกรณีอาจสัมพันธ์กับโรคทางหูหรือระบบประสาทที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทาง
สาเหตุของอาการหูอื้อ
หูอื้อจากปัญหาการอุดกั้นของสัญญาณเสียง
เกิดจากสิ่งกีดขวางในช่องหู เช่น
- ขี้หูอุดตัน
- การติดเชื้อในหูชั้นกลาง
- ภาวะน้ำในหูจากหวัดหรือภูมิแพ้
หูอื้อจากความผิดปกติของหูชั้นใน
พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ได้รับเสียงดังเป็นเวลานาน เช่น คนที่ทำงานในโรงงานหรือใช้หูฟังเสียงดัง นอกจากนี้ยังสามารถเกิดจากปัจจัยอื่นได้ เช่น
- การติดเชื้อไวรัสที่กระทบต่อเส้นประสาทหู
- ยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงต่อระบบประสาทหู
- ภาวะน้ำในหูไม่เท่ากัน
หูอื้อจากสาเหตุอื่น
- ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
- ความดันโลหิตสูง
- ภาวะซีด หรือโรคต่อมไทรอยด์
- การบาดเจ็บที่ศีรษะหรือหู
สัญญาณเตือนของอาการหูอื้อ
- หูอื้อข้างเดียวร่วมกับอาการเวียนศีรษะหรือการได้ยินลดลง
- หูอื้อหลังสัมผัสกับเสียงดังอย่างเฉียบพลัน
- มีเสียงดังในหูต่อเนื่องนานเกิน 1 สัปดาห์
- รู้สึกแน่น เจ็บ หรือมีน้ำไหลออกจากหู
- ได้ยินเสียงชีพจรเต้นในหู
แนวทางการรักษาอาการหูอื้อ
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ เช่น
- ขี้หูอุดตัน แพทย์จะใช้เครื่องมือเพื่อดูดขี้หูออก
- หูชั้นกลางอักเสบ ให้ยาปฏิชีวนะและยาลดอาการบวม
- หูอื้อจากเสียงดัง แนะนำให้พักการใช้หูและหลีกเลี่ยงเสียงรบกวน
- ประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน ต้องรีบพบแพทย์เพื่อรับยาสเตียรอยด์ภายใน 72 ชั่วโมง
- หูอื้อจากความเครียด ต้องใช้วิธีผ่อนคลาย เช่น นอนพักผ่อนให้เพียงพอ หากิจกรรมนันทนาการทำ ออกกำลังกาย เป็นต้น
- หากเกิดจากโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน ต้องควบคุมโรคให้ดีเพื่อลดผลกระทบต่อการได้ยิน
การดูแลตนเองเมื่อมีอาการหูอื้อ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่เสียงดัง
- ผู้ประกอบอาชีพที่อยู่ในพื้นที่เสียงดัง ควรสวมหูฟังป้องกันตลอดเวลา
- ไม่ควรแคะหูด้วยตัวเอง หากมีความจำเป็นต้องแคะ ให้แคะด้วยความระมัดระวัง
- รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำมาก ๆ และลดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์
- หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ควรควบคุมให้อยู่ในระดับปกติ
หูอื้ออาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในความจริงแล้วอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ หากอาการไม่หายภายในไม่กี่วัน หรือเกิดซ้ำบ่อย ควรรีบเข้าพบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง ป้องกันความเสี่ยงของการสูญเสียการได้ยินในอนาคต
หูอื้อ อาการเล็กน้อยที่ไม่ควรมองข้าม