“นิ่วในถุงน้ำดี”... อาการเป็นยังไง? ทำไมเราถึงเป็นได้? พร้อมวิธีป้องกันและรักษาที่ควรรู้



“นิ่วในถุงน้ำดี”... อาการเป็นยังไง? ทำไมเราถึงเป็นได้? พร้อมวิธีป้องกันและรักษาที่ควรรู้

หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อโรค “นิ่วในถุงน้ำดี” กันมาบ้าง บางคนก็เจอแบบไม่รู้ตัว เพราะตอนแรกไม่มีอาการอะไรเลย แต่พอเริ่มปวดท้องทีหนึ่ง ถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล วันนี้เลยอยากมาแชร์ข้อมูลแบบเข้าใจง่ายๆ เกี่ยวกับโรคนี้ว่าคืออะไร? อันตรายไหม? แล้วเราจะรู้ได้ยังไง? ว่ากำลังเป็นอยู่…



นิ่วในถุงน้ำดีคืออะไร?
นิ่วในถุงน้ำดีเกิดจากการตกตะกอนของสารในน้ำดี แล้วรวมตัวกันเป็นก้อนแข็งๆ อยู่ในถุงน้ำดี อาจมีแค่ก้อนเดียว หรือหลายก้อนก็ได้ พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น กินของมันๆ บ่อย น้ำหนักเกิน หรือมีคอเลสเตอรอลสูง



ทำไมเราถึงเป็นนิ่วในถุงน้ำดี?
สาเหตุหลักๆ เกิดจากความไม่สมดุลของสารประกอบในน้ำดี และการทำงานที่ผิดปกติของถุงน้ำดีค่ะ
คอเลสเตอรอลสูง : การทานอาหารไขมันสูง ทำให้มีระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีสูง เสี่ยงต่อการตกตะกอน
ถุงน้ำดีเคลื่อนไหว/บีบตัวน้อย : ถุงน้ำดีไม่หดตัวเพื่อปล่อยน้ำดีออกไปตามปกติ ทำให้น้ำดีและสารต่าง ๆ คั่งค้าง
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน : ฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์ หรือการทานยาคุมกำเนิด/ฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน อาจเพิ่มความเสี่ยง
พันธุกรรม : มีประวัติคนในครอบครัวเป็นนิ่ว
พฤติกรรมบางอย่าง : การลดน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว หรือการอดอาหาร ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงด้วย!



อาการของนิ่วในถุงน้ำดี
อาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดีอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนอาจไม่มีอาการเลย รู้ตัวอีกทีก็ตอนตรวจสุขภาพ แต่บางคนอาจเริ่มมีอาการให้สังเกตได้ ดังนี้
· ปวดท้องบริเวณชายโครงขวา หรือช่องท้องส่วนบน โดยเฉพาะหลังทานอาหารที่มีไขมันสูง อาการปวดอาจเป็นนานหลายชั่วโมง และบางครั้งรุนแรงจนต้องไปโรงพยาบาล
· คลื่นไส้ อาเจียน มักเกิดร่วมกับอาการปวดท้อง โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร
· ท้องอืด แน่นท้อง หรือท้องผูก เกิดจากการที่ถุงน้ำดีทำงานผิดปกติ น้ำดีไม่ไหลเวียนตามปกติ
· เบื่ออาหาร รู้สึกอิ่มง่าย เพราะระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง
· ไข้ หนาวสั่น หากมีการติดเชื้อในถุงน้ำดี มักมีอาการไข้ร่วมด้วย
· ตาเหลือง ผิวเหลือง (ดีซ่าน) เกิดจากนิ่วไปอุดตันท่อน้ำดี ทำให้น้ำดีไหลไม่สะดวก

ใครบ้าง? ที่จัดอยู่ใน "กลุ่มเสี่ยง"
- ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป
- ภาวะอ้วน น้ำหนักมาก
- ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง
- ผู้ที่มีโรคเลือด/โลหิตจาง เช่น ธาลัสซีเมีย
- ตั้งครรภ์หลายครั้ง, ทานยาคุมกำเนิด, ทานฮอร์โมนทดแทน



การป้องกัน “นิ่วในถุงน้ำดี” ทำได้โดยการปรับพฤติกรรมซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงได้เยอะเลยค่ะ
* ควบคุมน้ำหนักตัว ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และไม่ควรลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
* หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง
* รักษาโรคประจำตัว เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง
 
แนวทางการรักษา หากมีอาการจากนิ่วในถุงน้ำดี แพทย์มักจะแนะนำให้ผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
* การผ่าตัดผ่านกล้อง เป็นวิธีมาตรฐาน เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว โดยการเอาถุงน้ำดีออกผ่านรูเล็กๆ บนหน้าท้อง
* การผ่าตัดแบบเปิด ใช้ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง หรือถุงน้ำดีมีขนาดใหญ่

** การผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากนัก เนื่องจากน้ำดีจากตับยังคงไหลไปยังลำไส้เล็กเพื่อช่วยย่อยอาหารได้ตามปกติค่ะ

เพื่อนๆ คนไหนที่มีอาการสงสัย หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง อย่าปล่อยทิ้งไว้นะคะ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง เพราะนิ่วในถุงน้ำดีไม่ใช่โรคที่อันตรายทันที แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอันตราย และทำให้การรักษายากขึ้น เช่น การอักเสบของถุงน้ำดี หรือถุงน้ำดีอุดตันได้ค่ะ


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่