ใครเคยเดิน MR. D.I.Y. แล้วออกมาพร้อมของเต็มถุง แต่รู้ไหม ว่าร้านนี้ “ไม่ได้เล่นๆ” เพราะครึ่งปีแรก 2568 เพิ่งประกาศงบ — กำไรไปแล้วกว่า
1,100 ล้านบาท! รายได้รวมก็เกือบ
9,500 ล้านบาท จากสาขาทั่วประเทศกว่า
1,000 แห่ง
ย้อนดูรายได้ – กำไร 4 ปีหลังของ MR. D.I.Y. (ประเทศไทย)
ปี 2565 → รายได้
9,941 ล้าน, กำไร
1,051 ล้าน
ปี 2566 → รายได้
12,832 ล้าน, กำไร
1,381 ล้าน
ปี 2567 → รายได้
16,214 ล้าน, กำไร
1,780 ล้าน
ครึ่งแรกปี 2568 → รายได้
9,471 ล้าน, กำไร
1,176 ล้าน
พูดง่าย ๆ คือ
รายได้โตเฉลี่ยปีละ 20–25%, ส่วนกำไรก็ขึ้นทุกปีไม่แพ้กัน
อะไรขายดีสุดในร้าน?
ข้อมูลจากงบการเงินของบริษัทระบุว่า หมวด “เครื่องใช้ในครัวเรือนและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน” คือสินค้าขายดีที่สุด (ยอดกว่า
3,400 ล้านบาท) รองลงมาคือ “ฮาร์ดแวร์” และ “เครื่องใช้ไฟฟ้า”
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ “หมวดที่กำไรสูงสุด” ได้แก่
1. ของเล่น → กำไรขั้นต้น
60.5%
2. เครื่องเขียน / กีฬา →
52.8%
3. ฮาร์ดแวร์ →
50.4%
4. ของใช้ในบ้าน →
50.3%
5. เครื่องใช้ไฟฟ้า →
45.6%
คือแค่ขายของจุกจิก แต่กำไรขั้นต้นเฉลี่ยก็เกือบครึ่งหนึ่งของรายได้
ทำเลร้านคือหัวใจ
สัดส่วนรายได้กว่า
99% มาจากหน้าร้านจริง โดยแบ่งเป็น
67% → สาขานอกห้าง (Standalone)
32% → สาขาในห้าง / คอมมูนิตี้มอลล์
1% → ออนไลน์
จำนวนสาขาก็โตเร็วมาก
ปี 2565 → 557 สาขา
ปี 2566 → 741 สาขา
ปี 2567 → 932 สาขา
กลางปี 2568 → 1,027 สาขา
บริษัทตั้งเป้าขยายเพิ่มอย่างน้อย
ปีละ 200 สาขา ต่อเนื่องถึงปี 2570!
ค่าเฉลี่ยต่อบิลแค่ 165.9 บาท แต่ขายได้เป็นหมื่นล้านยอดซื้อเฉลี่ยของลูกค้าอยู่ที่
165.9 บาท/บิลฟังดูน้อย แต่ด้วยจำนวนลูกค้าที่เข้ามามหาศาลทุกวัน และสาขาแน่นทั่วประเทศ จึงไม่แปลกที่ยอดขายจะพุ่ง และกำไรจะหนาแบบนี้
ที่มา
BrandCase
โมเดลธุรกิจ MR. D.I.Y. ในไทย ทำไม “ร้านของจุกจิก” ถึงกำไรพันล้าน?
ย้อนดูรายได้ – กำไร 4 ปีหลังของ MR. D.I.Y. (ประเทศไทย)
ปี 2565 → รายได้ 9,941 ล้าน, กำไร 1,051 ล้าน
ปี 2566 → รายได้ 12,832 ล้าน, กำไร 1,381 ล้าน
ปี 2567 → รายได้ 16,214 ล้าน, กำไร 1,780 ล้าน
ครึ่งแรกปี 2568 → รายได้ 9,471 ล้าน, กำไร 1,176 ล้าน
พูดง่าย ๆ คือ รายได้โตเฉลี่ยปีละ 20–25%, ส่วนกำไรก็ขึ้นทุกปีไม่แพ้กัน
อะไรขายดีสุดในร้าน?
ข้อมูลจากงบการเงินของบริษัทระบุว่า หมวด “เครื่องใช้ในครัวเรือนและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน” คือสินค้าขายดีที่สุด (ยอดกว่า 3,400 ล้านบาท) รองลงมาคือ “ฮาร์ดแวร์” และ “เครื่องใช้ไฟฟ้า”
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ “หมวดที่กำไรสูงสุด” ได้แก่
1. ของเล่น → กำไรขั้นต้น 60.5%
2. เครื่องเขียน / กีฬา → 52.8%
3. ฮาร์ดแวร์ → 50.4%
4. ของใช้ในบ้าน → 50.3%
5. เครื่องใช้ไฟฟ้า → 45.6%
คือแค่ขายของจุกจิก แต่กำไรขั้นต้นเฉลี่ยก็เกือบครึ่งหนึ่งของรายได้
ทำเลร้านคือหัวใจ
สัดส่วนรายได้กว่า 99% มาจากหน้าร้านจริง โดยแบ่งเป็น
67% → สาขานอกห้าง (Standalone)
32% → สาขาในห้าง / คอมมูนิตี้มอลล์
1% → ออนไลน์
จำนวนสาขาก็โตเร็วมาก
ปี 2565 → 557 สาขา
ปี 2566 → 741 สาขา
ปี 2567 → 932 สาขา
กลางปี 2568 → 1,027 สาขา
บริษัทตั้งเป้าขยายเพิ่มอย่างน้อย ปีละ 200 สาขา ต่อเนื่องถึงปี 2570!
ค่าเฉลี่ยต่อบิลแค่ 165.9 บาท แต่ขายได้เป็นหมื่นล้านยอดซื้อเฉลี่ยของลูกค้าอยู่ที่ 165.9 บาท/บิลฟังดูน้อย แต่ด้วยจำนวนลูกค้าที่เข้ามามหาศาลทุกวัน และสาขาแน่นทั่วประเทศ จึงไม่แปลกที่ยอดขายจะพุ่ง และกำไรจะหนาแบบนี้
ที่มา BrandCase