คิดว่าตั้งราคา IPO เป็นอย่างไร 
KEY POINTS
ทำความรู้จัก "มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย." หรือ MRDIYT ค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและไลฟ์สไตล์สัญชาติมาเลเซีย เป็น IPO ที่มีมาร์เก็ตแคปสูงสุด 51,747 ล้านบาท ใหญ่สุดในรอบ 3 ปี ของตลาดหุ้นไทย
เคาะช่วงราคาขาย 8.30-8.60 บาท ประกาศราคาสุดท้าย 24 ต.ค.นี้ ก่อนสร้างความคึกคักให้ตลาดหุ้นไทย ต้น พ.ย.68
เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้ขยายสาขาให้ครบ 1,500 สาขาภายในปี 70 พัฒนาระบบคลังสินค้า และชำระคืนเงินกู้
ในปี 2568 ตลาดหุ้นไทยมีหุ้น IPO เข้าใหม่ค่อนข้างน้อย เมื่อกับหลายปีที่ผ่านมา โดยจะเห็นได้ว่าเข้าสู่เดือนที่ 10 ของปีแล้ว ยังมีหุ้นเข้าใหม่เพียง 10 บริษัท เป็นหุ้น IPO ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ถึง 8 บริษัท ขณะที่หุ้น IPO ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีเพียง 2 บริษัท แม้ในช่วงที่เหลือของเดือน จะมีหุ้น IPO จ่อเข้าซื้อขายอีก 2 บริษัท รวม 10 เดือนของปีนี้ มีหุ้น IPO เข้าซื้อขายเพียง 12 บริษัท เท่านั้น
แต่ในเดือน พ.ย.2568 กำลังจะมีหุ้น IPO เข้ามาสร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้นไทย เพราะมีมูลค่าตลาด (Market Capitalisation) สูงที่สุดของตลาดหุ้นไทยในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2566 นั่นคือ บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MRDIYT หรือที่รู้จักกันในภายใต้แบรนด์ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. (MR. D.I.Y.) ซึ่งมีอยู่ทุกหัวระแหงในประเทศไทย
สำหรับ บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MRDIYT ประกอบธุรกิจค้าปลีกสินค้าประเภทอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ สัญชาติมาเลเซีย ที่มีไทยเป็นหนึ่งในหมุดหมายในการเข้ามาขยายธุรกิจเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน
“เอเดรียน ออง” ประธานกรรมการ บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้เล่าย้อนกลับไปถึงการเข้ามาขยายสาขาในไทย เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2559 หรือเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน จากการเปิดสาขาแรก ที่ ซีคอนบางแค กรุงเทพฯ จนกระทั่งปัจจุบันมีสาขาถึง 1,027 สาขา ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคในไทย และมีสินค้ากว่า 16,000 รายการ ครอบคลุมใน 6 กลุ่มสินค้าหลัก ประกอบด้วย
(1) เครื่องใช้ในครัวเรือนและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน
(2) อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และเครื่องมือช่าง
(3) เครื่องใช้ไฟฟ้า
(4) เครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา
(5) ของเล่น
(6) สินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ
“แอนดี้ ชิน กวานกุ้ย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า MR. D.I.Y. เติบโตเร็วที่สุดในไทย จากการออกแบบการขายให้รองรับความต้องการของลูกค้าสำหรับทุกคนในครอบครัว ที่มีสินค้ากว่า 16,000 รายการ และทุกเดือนจะมีสินค้าใหม่เข้ามา 500 รายการ พร้อมมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลสินค้าเพื่ออัพเดทสินค้าเข้าและสินค้าออกในแต่ละเดือน โดย 25% ของสินค้าที่ MR. D.I.Y. นำมาขายเป็นสินค้าจากไทย ส่วนที่เหลืออีก 75% เป็นสินค้านำเข้า
มากไปกว่านั้นคือ ราคาสินค้าของ MR. D.I.Y. คุ้มค่ากับคุณภาพ โดยราคาสินค้าถูกกว่าเจ้าอื่นถึง 27% จากการที่บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) จากการจัดหาสินค้าของเครือข่ายรวมของบริษัทที่ดำเนินกิจการค้าปลีกภายใต้แบรนด์ “M.R. D.I.Y.” ในประเทศไทย มาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เวียดนาม อินเดีย สเปน ตุรกี บังกลาเทศ โปแลนด์ และแอฟฟริกาใต้ ช่วยลดต้นทุนสินค้าต่อหน่วย
และที่สำคัญ MR. D.I.Y. ขยายสาขาจาก 1 สาขา ในปี 2559 สู่ 1,027 สาขา ในปัจจุบัน หรือภายในระยะเวลาเพียง 9 ปี โดยแบ่งเป็นสาขานอกศูนย์การค้า (Standalone) จำนวน 737 สาขา คิดเป็น 71.8% และสาขาภายในศูนย์การค้า (Retail Mall-Based) จำนวน 290 สาขา คิดเป็น 28.2%
“ใน 5 ปีแรกที่ MR. D.I.Y. เข้ามาในไทย เรามีกว่า 250 สาขาเท่านั้น หลังจากนั้นเราเริ่มเร่งขยายสาขาอีกกว่า 750 สาขา โดยสาขามากกว่า 50% เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19”
MR. D.I.Y. ไม่หยุดเพียงเท่านี้ มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) รวมไม่เกิน 655,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 10.9% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด หลังจากการเพิ่มทุนและการเสนอขายในครั้งนี้ แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ จำนวนไม่เกิน 420,000,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิม จำนวนไม่เกิน 235,000,000 หุ้น
ล่าสุด เคาะช่วงราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 8.30-8.60 บาท/หุ้น นักลงทุนรายย่อยสามารถจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 20-22 ต.ค.2568 ส่วนราคาขายสุดท้ายจะกำหนดจากกระบวนการ Book-building ประกาศภายในวันที่ 24 ต.ค.2568 และคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในช่วงต้นเดือน พ.ย.2568
จากช่วงราคาเสนอขายหุ้น IPO ดังกล่าว คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย อยู่ที่ 5,437-5,633 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าตลาด (Market Capitalisation) ที่ 49,942-51,747 ล้านบาท หลังจากการเพิ่มทุนของบริษัท ทำให้การเสนอขายหุ้นในครั้งนี้เป็น IPO ที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2566
“อเดรียน ออง” ระบุว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในการเสริมสร้างธรรมาภิบาล (Corporate Governance) ภาพลักษณ์ของแบรนด์ และการเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงเป็นการระดมทุนเพื่อพัฒนาการเติบโตเสริมยอดขายในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้ร่วมเติบโตไปกับเรา
เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำเงินไปใช้เพื่อพัฒนาและขยายสาขา การพัฒนาระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ และการชำระคืนเงินกู้ที่มีกับสถาบันการเงินรวมถึงใช้เป็น เงินทุนหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
“แอนดี้ ชิน กวานกุ้ย” ให้ข้อมูลแผนการดำเนินงานหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทมีแผนขยายสาขาใหม่เฉลี่ย 200 สาขา/ปี หรือไม่น้อยกว่า 500 สาขา ภายในระยะเวลา 3 ปี (2568-2570) ทำให้มี 1,500 สาขา ภายในปี 2570 โดย 90% ของการขยายสาขาใหม่ จะเป็นสาขา Standalone เพื่อให้เข้าถึงชุมชน และพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น อีกทั้งเดินหน้าสร้างคลังสินค้าแห่งที่ 3 เป็นระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ เพื่อรองรับการขยายสาขาได้ถึง 3,000 สาขา ในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีแผนเพิ่มส่วนแบ่งตลาด จากปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาด 9% ซึ่งส่วนแบ่งตลาดในระดับเลขหลักเดียวนี้ยังแสดงให้เห็นว่า เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริงของตลาดสินค้าตกแต่งบ้านในประเทศไทย
โดยอุตสาหกรรมค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านในประเทศไทยคาดการณ์ว่ามีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 5.4% จากมูลค่าตลาด 182,600 ล้านบาท ในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 237,800 ล้านบาท ในปี 2572 ที่สำคัญกว่านั้น ผู้ค้าปลีกในรูปแบบ Chain Retailer เช่น MR. D.I.Y. เติบโตเร็วกว่าตลาดถึง 3 เท่า คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 15.3%
การเติบโตของ MR. D.I.Y. สะท้อนได้จากผลการดำเนินงาน โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) บริษัทมีรายได้รวม 9,941.19 ล้านบาท, 12,832.23 ล้านบาท และ 16,214.40 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 3 ปี ที่ 27.7% และมีกำไรสุทธิ 1,051.22 ล้านบาท, 1,381.07 ล้านบาท และ 1,780.25 ล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 9,470.71 ล้านบาท เติบโต 27% และมีกำไรสุทธิ 1,176.44 ล้านบาท เติบโต 48%
เทียบฟอร์มอุตสาหกรรมใกล้เคียงในตลาดหุ้นไทย
บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MRDIYT
ลักษณะธุรกิจ : ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจค้าปลีกสินค้าประเภทอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์
ตลาดรอง : SET
Market Cap : 49,942-51,747 ล้านบาท
P/E : 23.09-23.92 เท่า
รายได้ปี 2567 : 16,214.40 ล้านบาท
กำไรสุทธิปี 2567 : 1,780.25 ล้านบาท
รายได้ครึ่งแรกปี 2568 : 9,470.71 ล้านบาท
กำไรสุทธิครึ่งแรกปี 2568 : 1,176.44 ล้านบาท
บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME
ลักษณะธุรกิจ : ค้าปลีก ค้าส่ง และให้บริการด้านวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร
ตลาดรอง : SET
Market Cap : 13,059.49 ล้านบาท
P/E : 30.12 เท่า
รายได้ปี 2567 : 31,344.51 ล้านบาท
กำไรสุทธิปี 2567 : 674.08 ล้านบาท
รายได้ครึ่งแรกปี 2568 : 15,499.69 ล้านบาท
กำไรสุทธิครึ่งแรกปี 2568 : 402.26 ล้านบาท
บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI
ลักษณะธุรกิจ : ธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าที่ตอบสนองต่อลักษณะการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม (สินค้าไลฟ์สไตล์) ภายใต้ชื่อทางการค้า “Moshi Moshi”
ตลาดรอง : SET
Market Cap : 11,962.50 ล้านบาท
P/E : 27.12 เท่า
รายได้ปี 2567 : 3,127.91 ล้านบาท
กำไรสุทธิปี 2567 : 520.68 ล้านบาท
รายได้ครึ่งแรกปี 2568 : 1,663.11 ล้านบาท
กำไรสุทธิครึ่งแรกปี 2568 : 290.42 ล้านบาท
บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL
ลักษณะธุรกิจ : เป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง วัสดุตกแต่ง เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง ต่อเติม ตกแต่ง บ้านและสวนแบบควบวงจร (one stop shopping center) โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า โกลบอล เฮ้าส์ (Global House)
ตลาดรอง : SET
Market Cap : 41,324.73 ล้านบาท
P/E : 21.40 เท่า
รายได้ปี 2567 : 33,014.97 ล้านบาท
กำไรสุทธิปี 2567 : 2,377.00 ล้านบาท
รายได้ครึ่งแรกปี 2568 : 16,973.27 ล้านบาท
กำไรสุทธิครึ่งแรกปี 2568 : 1,142.30 ล้านบาท
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO
ลักษณะธุรกิจ : จำหน่ายสินค้าและให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ตกแต่ง ต่อเติม ซ่อมแซม ปรับปรุง อาคาร บ้าน และที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร
ตลาดรอง : SET
Market Cap : 92,715.95 ล้านบาท
P/E : 16.92 เท่า
รายได้ปี 2567 : 72,638.47 ล้านบาท
กำไรสุทธิปี 2567 : 6,503.55 ล้านบาท
รายได้ครึ่งแรกปี 2568 : 36,139.64 ล้านบาท
กำไรสุทธิครึ่งแรกปี 2568 : 3,105.93 ล้านบาท
รู้จัก “MRDIYT” ไอพีโอใหญ่สุดรอบ 3 ปี ปลุกตลาดหุ้นไทยคึกคัก ต้น พ.ย.นี้
(2) อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และเครื่องมือช่าง
(3) เครื่องใช้ไฟฟ้า
(4) เครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา
(5) ของเล่น
(6) สินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ