ผมไม่ได้มีศาสนาใดเป็นที่ยึดเหนี่ยว
แต่ผมรู้สึกว่า... การไม่มีศาสนาไม่ใช่ความว่างเปล่า
กลับกัน มันคืออิสระ — อิสระจากการต้องกลัวสิ่งที่เราไม่เห็น
อิสระจากการต้องคอยหวังถึงชาติหน้า ทั้งที่เรายังไม่เข้าใจแม้แต่ “ชีวิตนี้”
ผมเชื่อเพียงว่า “เรามีตอนนี้”
แค่ตอนนี้เท่านั้นที่แน่ชัดและเป็นของจริง
เพราะไม่มีใครรู้ว่าหลังความตายคืออะไร
เราอาจไม่เกิดอีกเลย หรืออาจเกิดใหม่โดยจำไม่ได้เลยว่าเคยเป็นใคร
ถ้าเป็นแบบนั้น... มันต่างอะไรจากการไม่เกิดเลยล่ะ?
เพราะแบบนี้ ผมถึงเลือกที่จะ
> ใช้ทุกนาทีให้มีคุณค่า
เห็นคุณค่าในทุกสิ่งรอบตัว
และไม่ตัดสินใครว่าดีหรือชั่วเพียงเพราะเขาเชื่อไม่เหมือนเรา
คนไม่มีศาสนา...
ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่มีศีลธรรม
เพราะ “ศีลธรรม” มันอยู่ที่ เจตนาและการกระทำ
ไม่ใช่คำสอน หรือคำสาปจากสวรรค์หรือนรก
สุดท้ายแล้ว...
> ชีวิตนี้ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ถ้าเราเข้าใจคุณค่าของ “ปัจจุบัน”
และไม่ทำร้ายใคร — ทั้งทางร่างกายและทางใจ
“ไม่มีศาสนา” ไม่ได้แปลว่า “ไม่มีศีลธรรม”
แต่ผมรู้สึกว่า... การไม่มีศาสนาไม่ใช่ความว่างเปล่า
กลับกัน มันคืออิสระ — อิสระจากการต้องกลัวสิ่งที่เราไม่เห็น
อิสระจากการต้องคอยหวังถึงชาติหน้า ทั้งที่เรายังไม่เข้าใจแม้แต่ “ชีวิตนี้”
ผมเชื่อเพียงว่า “เรามีตอนนี้”
แค่ตอนนี้เท่านั้นที่แน่ชัดและเป็นของจริง
เพราะไม่มีใครรู้ว่าหลังความตายคืออะไร
เราอาจไม่เกิดอีกเลย หรืออาจเกิดใหม่โดยจำไม่ได้เลยว่าเคยเป็นใคร
ถ้าเป็นแบบนั้น... มันต่างอะไรจากการไม่เกิดเลยล่ะ?
เพราะแบบนี้ ผมถึงเลือกที่จะ
> ใช้ทุกนาทีให้มีคุณค่า
เห็นคุณค่าในทุกสิ่งรอบตัว
และไม่ตัดสินใครว่าดีหรือชั่วเพียงเพราะเขาเชื่อไม่เหมือนเรา
คนไม่มีศาสนา...
ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่มีศีลธรรม
เพราะ “ศีลธรรม” มันอยู่ที่ เจตนาและการกระทำ
ไม่ใช่คำสอน หรือคำสาปจากสวรรค์หรือนรก
สุดท้ายแล้ว...
> ชีวิตนี้ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ถ้าเราเข้าใจคุณค่าของ “ปัจจุบัน”
และไม่ทำร้ายใคร — ทั้งทางร่างกายและทางใจ