“ถ้านิพพานคือความดับสนิท แล้วใครเป็นผู้รู้ว่าดับ?”

เราถูกสอนว่า "นิพพานคือความดับแห่งทุกข์"
หรือบางตำราก็ว่า “นิพพานคือภาวะดับเย็น ไม่เกิด ไม่ดับ”

แต่ถ้า “ทุกสิ่งดับหมดแล้ว” — ใครเป็นผู้รู้ว่าดับ?
ถ้าผู้รู้ยังอยู่เพื่อรู้ว่านิพพาน นั่นหมายความว่า “ยังไม่ดับ”
แต่ถ้าไม่มีผู้รู้อยู่เลย แล้วจะมีใคร “รู้” ว่าดับได้อย่างไร?

และถ้านิพพานไม่ใช่การสูญ แต่เป็นสภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับจริง
ผู้ที่เข้าสู่นิพพานนั้น “ดำรงอยู่” อย่างไร?
ดำรงอยู่อย่างไม่มีสภาวะ แต่ยังมีความรู้?
หรือว่า “การรู้” เองก็สิ้นสุดไปพร้อมกับความเกิดดับ?

ถ้าอย่างนั้น นิพพานเป็น “ความรู้ที่ไม่มีผู้รู้” หรือ “ความไม่มีที่รู้ตัวเอง”?

อีกคำถามหนึ่ง —
ถ้า “จิตเดิมแท้บริสุทธิ์” คือสิ่งที่รู้ความเกิดดับโดยไม่เกิดดับตาม
งั้น “จิตเดิมแท้” ต่างจาก “นิพพาน” หรือไม่?
หรือจริง ๆ แล้วสิ่งที่เราเรียกว่า “นิพพาน” ก็คือ “จิตที่รู้แต่ไม่รู้ว่ารู้”?

แล้วถ้าเรายังพูดว่า “ถึงนิพพานได้” นั่นก็แปลว่ามี “ผู้ถึง” ใช่ไหม?
แต่คำว่า “ผู้ถึง” ก็ยังเป็นอัตตา — แล้วจะถึงได้อย่างไรโดยไม่เกิดอัตตา?

หรือทั้งหมดนี้คือการหลงคิดว่ามี “ผู้รู้ ผู้ดับ ผู้ถึง” ทั้งที่จริงไม่มีสิ่งใดเลยตั้งแต่ต้น?


ถ้านิพพานคือการดับหมดสิ้นทั้งผู้รู้ ผู้ถูกรู้ และการรู้
แล้วใคร “รู้” ว่าตนเองบรรลุนิพพาน?
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
คำถามที่ว่า “ถ้านิพพานคือความดับสนิท แล้วใครเป็นผู้รู้ว่าดับ?” เป็นข้อสงสัยที่เกิดจากการใช้ตรรกะแห่งโลกียะมาวัดสภาวะแห่งโลกุตตระ ซึ่งตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา นิพพานมิใช่สิ่งที่ “มีผู้รู้” หรือ “ไม่มีผู้รู้” แต่เป็นภาวะที่พ้นไปจากคู่ตรงข้ามทั้งปวง ไม่อยู่ในขอบเขตของการเกิดและดับ จึงไม่อาจอธิบายด้วยถ้อยคำของโลกได้โดยตรง เพราะคำว่า “รู้” หรือ “ผู้รู้” เป็นเพียงสมมุติบัญญัติ ใช้เพื่อสื่อถึงประสบการณ์ในโลกสมมุติเท่านั้น

.

พระพุทธองค์ตรัสว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” — นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขนั้นไม่ใช่สุขจากการเสวย แต่เป็นสุขเพราะพ้นจากการเสวยทั้งปวง เมื่อทุกข์ดับ เหตุแห่งทุกข์ดับ การยึดถือใน “เรา” ผู้รู้หรือผู้ถึงก็ดับไปด้วย ดังนั้น คำถามว่า “ใครรู้ว่าดับ” ย่อมตั้งอยู่บนสมมุติที่มีตัว “ผู้รู้” ซึ่งในความจริงตามปรมัตถ์นั้นไม่มีอยู่ การรู้ในนิพพานไม่ใช่การรู้ของอัตตา แต่เป็นความหมดสิ้นแห่งอวิชชา จนไม่เหลือผู้รู้หรือสิ่งถูกรู้ให้แบ่งแยก

.

เปรียบเสมือนเปลวไฟที่ดับเพราะหมดเชื้อ มิใช่ว่ามี “ไฟ” ไปอยู่ที่ใด หากแต่เพียงความปรากฏของไฟสิ้นสุดลงฉันใด การบรรลุนิพพานก็ฉันนั้น เมื่ออุปาทานขันธ์สิ้นสุด การปรุงแต่งแห่งจิตดับ ไม่มีภาวะใดให้กล่าวว่า “ดำรงอยู่” หรือ “สูญสิ้น” เพราะทั้งสองคำยังเป็นคู่แห่งสมมุติ นิพพานจึงไม่ใช่ภาวะที่มีหรือไม่มี แต่เป็น “ตถตา” — ความเป็นเช่นนั้นเอง ปราศจากการปรุงแต่ง

.

สำหรับ “จิตเดิมแท้บริสุทธิ์” ในบางนิกายใช้เป็นคำสื่อถึงภาวะจิตที่พ้นอาสวะ ซึ่งในทางเถรวาทถือว่า มิใช่สิ่งเที่ยงหรืออัตตา หากหมายถึงจิตที่บริสุทธิ์เพราะกิเลสดับ จึงไม่ต่างจากการเข้าถึงนิพพานในความหมายของ “จิตหลุดพ้นโดยชอบ” ไม่ใช่จิตที่ยังรู้หรือรับรู้อะไร เพราะเมื่อไม่มีอวิชชา ก็ไม่มีการแยกว่ามี “ผู้รู้” หรือ “สิ่งถูกรู้” เหลืออยู่อีกต่อไป

.

ดังนั้น นิพพานมิใช่การ “รู้ว่าดับ” แต่คือภาวะที่ความจำเป็นต้องรู้หรือไม่รู้นั้นสิ้นสุดลง เป็นความสงบเย็นแห่งธรรมชาติที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่อาศัยผู้รู้และไม่ขึ้นกับการรับรู้ของใคร การกล่าวว่ามี “ผู้ถึงนิพพาน” เป็นเพียงสมมุติทางภาษา เพื่ออธิบายการสิ้นอาสวกิเลสของบุคคลเท่านั้น แต่ในปรมัตถ์ ไม่มีผู้ถึง ไม่มีสิ่งให้ถึง เพราะสิ่งที่เรียกว่า “ถึง” ก็เป็นเพียงการดับลงของความยึดถือทั้งปวงนั่นเอง.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่