สัญญาณเตือน “ข้อเข่าเสื่อม” ที่ใครๆ ก็เป็นได้ : Tricks for Life
โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) ไม่ได้เกิดแค่ในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังพบได้ในคนวัยทำงานที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การนั่งอยู่กับที่นาน ๆ ใช้งานข้อเข่าหนัก หรือการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง
ปัจจัยที่ทำให้ “ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น” ในปัจจุบัน มาจากหลายสาเหตุ เช่น กิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง (Impact Activity) โดยเฉพาะในกลุ่มนักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่อเข่า เช่น วิ่ง กระโดด ซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน, อุบัติเหตุที่กระทบข้อโดยตรง เช่น กระดูกหักเข้าไปในข้อ หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ผิวข้อที่ไม่เรียบจะสึกหรอและเสื่อมสภาพเร็ว และการใช้งานเข่าซ้ำ ๆ ในท่าเดิม โดยเฉพาะในผู้ที่นั่งงอเข่านาน ๆ เช่น นั่งยอง พับเพียบ หรือนั่งพื้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบของลูกสะบ้า พบได้มากในผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไป
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ข้อเสื่อมหรือแค่อักเสบต่างกันอย่างไร อาการปวดเข่าไม่ได้หมายความว่าจะเป็น “ข้อเข่าเสื่อม” เสมอไป ผู้ป่วยจำนวนมากมีอาการแค่ “ปวดบางท่า” เช่น เวลาลุกจากเก้าอี้ หรือเดินขึ้นบันไดแล้วเจ็บเข่า แบบนี้อาจเป็นเพียง การอักเสบของเส้นเอ็นหรือผิวข้อ ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นข้อเสื่อม
แต่หากเป็น “ข้อเสื่อม” จะมีลักษณะเฉพาะ เช่น ผิวข้อเริ่มไม่เรียบ เวลาขยับจะมีเสียง กึ๊ก ๆ เหมือนกระดาษทราย, น้ำหล่อเลี้ยงข้อมีคุณภาพลดลง ข้อขยับไม่ลื่น, มีการเสียดสีเรื้อรัง จนทำให้เกิดอาการอักเสบและบวมได้, ในรายที่เป็นมาก กระดูกจะ ทรุด ขาโก่ง เดินไม่ตรง และคุณภาพชีวิตลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในผู้ที่มี ภาวะกระดูกพรุน หรือขาดแคลเซียมและวิตามินดี ร่วมด้วย จะยิ่งทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
สัญญาณเตือน “ข้อเข่าเสื่อม” ที่ควรพบแพทย์ คือ หากมีอาการปวดเข่าเป็น ๆ หาย ๆ โดยไม่มีอาการบวม หรือมีแค่เสียงในข้อ อาจเริ่มดูแลตนเองก่อนก็ได้ เช่น กายภาพบำบัดหรือปรับพฤติกรรม แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3 เดือน หรือมีอาการ ปวดบวมชัดเจน เดินลำบาก ขาโก่ง
นั่นคือสัญญาณว่าควรพบแพทย์ทันที เพราะการวินิจฉัยที่แม่นยำควรประกอบด้วย การ X-ray ท่าลงน้ำหนัก เพื่อดูโครงสร้างแนวกระดูก และช่องว่างในข้อ และทำ MRI ควบคู่ ในกรณีสงสัยว่ามีหมอนรองกระดูกฉีกขาด หรือเส้นเอ็นภายในข้อมีปัญหา
ความเสื่อมของผิวข้อกระดูกอ่อนนั้น แบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับ 1–2 ที่สามารถรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด มักพบในระยะแรกของข้อเข่าเสื่อม ยังพอสามารถ “ถนอมข้อ” เอาไว้ได้ด้วยการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น กายภาพบำบัด ปรับพฤติกรรม หลีกเลี่ยงท่าทางที่กระทบต่อเข่า และออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เพื่อลดแรงกดที่ข้อ พร้อมกับการรักษาภาวะกระดูกพรุน หรือการทานยาบำรุงข้อในบางราย
อีกวิธีที่นิยมคือการฉีด Hyaluronic Acid (น้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียม) ซึ่งช่วยเพิ่มความลื่นของข้อ และลดการเสียดสี นอกจากนี้ยังมีการฉีด PRP (Platelet-Rich Plasma) โดยใช้เกล็ดเลือดของผู้ป่วยเอง เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวข้อ
ระดับ 3–4 รักษาโดยการเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ในระดับนี้ ข้อเริ่มสึกมากขึ้นจนบางจุดแทบไม่เหลือผิวข้อให้ใช้งาน การ “เปลี่ยนข้อ” อาจเริ่มมีความจำเป็น แต่อาจไม่ต้องเปลี่ยนทั้งหมดเสมอไป ถ้าเสียหายเพียงบางส่วน เช่น ด้านในของข้อ ยังพอรักษาได้ด้วยการเปลี่ยนแค่บางส่วน หรือที่เรียกว่า Partial Knee Replacement ซึ่งมีข้อดีคือ แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และมักนอนโรงพยาบาลเพียงคืนเดียวก็กลับบ้านได้
แต่ถ้าข้อเสื่อมในหลายด้าน หรือ “ขาโก่งมาก” จากกระดูกทรุดตัวจนแนวขาผิดเพี้ยน ก็อาจจำเป็นต้อง “เปลี่ยนข้อเข่าทั้งหมด” หรือ Total Knee Replacement ซึ่งในปัจจุบันแผลผ่าตัดเล็กลงมาก ต่างจากสมัยก่อน และด้วยเทคโนโลยีใหม่ เช่น “หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด” ก็ยิ่งช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้น
แม้จะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม แต่หากตรวจพบเร็ว และเริ่มรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรก จะสามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดใหญ่ได้ และชะลอการเสื่อมไม่ให้ลุกลามไปยังข้ออื่น เช่น ข้อเท้า หรือแม้แต่กระดูกสันหลัง
ขอบคุณ : โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ จอยท์ โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและข้อ
ง่วงนอนตลอดเวลา สัญญาณบอกโรค
แม้จะนอนหลับเต็มที่ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน แต่ทำไมหลายคนยังมีอาการง่วง บ่อยครั้ง ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายกำลังบอกถึงปัญหาบางอย่างที่เกี่ยวกับสุขภาพที่ควรได้รับการใส่ใจ
อาการง่วงนอนตลอดเวลา ย่อมส่งผลต่อสุขภาพหรือมีความเสี่ยง ซึ่งหลายคนอาจมองข้าม ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอนตลอดเวลา เช่น การนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ แม้จะนอนครบชั่วโมง แต่หากคุณภาพการนอนไม่ดี ร่างกายก็จะไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ภาวการณ์หยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)
ทำให้การหายใจขาดเป็นช่วงๆ ส่งผลให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ หรือโรคลมหลับ ภาวะซึมเศร้าและความเครียด ทำให้นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป รวมถึงอาการเหนื่อยล้า ง่วงนอนบ่อยๆ และขาดพลังงานแม้จะนอนเพียงพอแล้ว
โรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ไทรอยด์ผิดปกติ โรคหัวใจ หรือโรคไตเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคเหล่านี้มักมีอาการง่วงนอนและอ่อนเพลีย รวมถึงการขาดสารอาหารสำคัญ เช่น ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และวิตามินดี ความไม่สมดุลของฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเมลาโทนินที่ควบคุมวงจรการนอนหลับ และฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เกี่ยวข้องกับความเครียด หากระดับฮอร์โมนเหล่านี้ผิดปกติ ก็อาจทำให้คุณรู้สึกง่วงนอนตลอดเวลา
ทั้งนี้การง่วงนอนตลอดเวลานั้นอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยในบางคน แต่ถ้าคุณเริ่มสังเกตว่ามีอาการ ง่วงนอนในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม หรือในสถานการณ์ที่ต้องการความตื่นตัว เช่น ระหว่างขับรถ ประชุม หรือทำงาน อาจเป็นสัญญาณเตือนที่ร่างกายกำลังบอกอะไรบางอย่างถึงปัญหาหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการนอน ดังนี้
1. โรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งเกิดจาการอุดกั้นทางเดินหายใจระหว่างการนอนหลับ
2. โรคลมหลับ ซึ่งเป็นภาวะที่สมองไม่สามารถควบคุมวงจรการหลับและการตื่นได้อย่างปกติ
3. โรคโลหิตจาง เกิดจากการขาดสารอาหารหรือการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างการขาดออกซิเจนและเกิดความง่วง
4. โรคไทรอยด์ ภาวะที่มีความผิดปกติในการทำงานของต่อมไทรอยด์ ซึ่งอาจส่งผลให้รู้สึกง่วงนอน ตลอดเวลา
5. โรคเบาหวาน ภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ อาจทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้
วิธีดูแลสุขภาพเพื่อหลีกเลี่ยงอาการง่วงนอนตลอดเวลา ได้แก่
1. การปรับปรุงคุณภาพการนอน ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม งดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ร่างกายเข้าสู่การนอนพักผ่อนได้ดีขึ้น
2. การตรวจสอบสุขภาพ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี และตรวจเช็กระดับฮอร์โมน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงประเมินภาวะซึมเศร้าและความเครียด
3. การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เลือกอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่มีธาตุเหล็ก วิตามินบี12 และโปรตีนสูง
4. การฝึกผ่อนคลาย คือ การฝึกผ่อนคลายทั้งกายและใจจะสามารถช่วยบรรเทาอาการได้
การง่วงนอนตลอดเวลาไม่ใช่อาการที่ควรมองข้ามหรือปล่อยผ่าน ควรรีบหาสาเหตุและแก้ไขอย่างเหมาะสม เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และกลับมามีความสดชื่นในการใช้ชีวิตประจำวัน
มี 2 เรื่อง สัญญาณเตือน “ข้อเข่าเสื่อม” ที่ใครๆ ก็เป็นได้ และ ง่วงนอนตลอดเวลา สัญญาณบอกโรค