หลายจังหวัดใหญ่ที่มีเป้าหมายว่าจะทำรถไฟฟ้า ส่วนมากก็จะเป็นรถไฟฟ้าระดับดิน ประเภทรถรางเบา วิ่งร่วมกับรถยนต์บนถนน ซึ่งก็มีการศึกษามาหลายรอบแล้ว แต่ไม่สร้างจริงซักที
ที่จริงแล้ว ไม่ต้องมาศึกษาอะไรกันมาก เอารถ ev bus วิ่งบนเส้นทางที่จะสร้างรถไฟฟ้าไปเลย แล้วรอดูผลตอบรับว่าเป็นยังไง
เริ่มจากมินิบัส 20 ที่นั่ง ช่วงเริ่มเปิดบริการ ก็จัดโปรโมชั่นนั่งฟรีซัก 45-60 วัน เป็นการประชาสัมพันธ์ว่า การนั่งรถสาธารณะมันดียังไง ซึ่งก็น่าจะได้ผู้โดยสารมากอยู่ น่าจะดึงคนที่ใช้รถส่วนตัวกลุ่มนึงมาใช้รถสาธารณะได้ด้วย
ช่วงเวลาที่จะบ่งบอกถึงจำนวนผู้ใช้บริการรถสาธารณะได้ตามจริงหลังจากหมดโปรเดินทางฟรีแล้ว ก็น่าจะเป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้าในวันธรรมดา เป็นช่วงเวลาที่ไม่ว่าจะจัดโปรฟรีและมีการเก็บค่าโดยสารก็จะมีจำนวนผู้โดยรถสาธารณะใกล้เคียงกัน เพราะคนจำนวนมากเน้นไปโรงเรียนและไปทำงาน ไม่ค่อยได้ไปเที่ยว ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ที่คนส่วนมากเน้นไปเที่ยวกัน ก็อาจได้ผู้โดยสารเยอะเป็นพิเศษจากการเปิดบริการฟรี พอหมดโปรนั่งรถฟรี ยอดผู้โดยสารวันหยุดก็คงหายไปพอสมควร
ให้รถสาธารณะสายต่างๆเปิดบริการฟรีซักพัก ให้คนจำนวนมากเห็นข้อดีของรถสาธารณะ หันมาใช้รถสาธารณะให้ได้มากที่สุด แล้วพอเปิดใช้บริการแบบเก็บค่าโดยสาร ก็อย่าเก็บแพงมาก ให้ค่าโดยสารย่อมเยาว์ ผู้โดยสารรู้สึกคุ้มค่าสบายกระเป๋าที่จ่ายไป เขาถึงอยากใช้บริการ
ดูตัวอย่างในกรุงเทพ รถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงเปิดบริการฟรี มีผู้โดยสารเฉลี่ย 96,000 พอเก็บค่าโดยสาร เหลือเฉลี่ย 47,000 จำนวนต่างกันมาก เพราะค่าโดยสารแพง นั่งรถไฟฟ้าไปไม่ไกลมากก็ต้องจ่าย 30-40 บาทแล้ว คนบางกลุ่มก็เลยเลือกนั่งรถเมล์กับขับรถส่วนตัวเหมือนเดิมดีกว่า รถเมล์ราคาถูกกว่า ยอมออกจากบ้านให้เร็วขึ้น ต้นทุนเดินทางด้วยรถส่วนตัวสำหรับบางคนก็ไม่ต่างจากรถไฟฟ้ามาก
ถ้าเปิดบริการรถมินิบัสก็ให้ค่าโดยสารสบายกระเป๋า คนจ่ายรู้สึกคุ้มค่า ไม่ต่างจากตอนให้บริการฟรีซักเท่าไร ถึงมีลุ้นดึงคนใช้รถส่วนตัวมาใช้รถสาธารณะได้ เชื่อว่าช่วงเปิดบริการฟรี ต้องมีคนใช้รถส่วนตัวที่ได้มาใช้รถสาธารณะแล้วเกิดความพึงพอใจ อยากใช้รถสาธารณะต่อ ซึ่งต้องจัดโปรค่าเดินทางให้ดี อาจจะให้เดินทางครึ่งสายรถเมล์ราคา 15 บาท
ถ้าเดินทางเกินครึ่งทางของรถเมล์จนสุดทางของสายที่นั่งอยู่ ก็เก็บ 20 บาท เช่น ระยะทางรถเมล์วิ่งเต็มสาย 16 กิโลเมตร ถ้าเดินทางไม่เกิน 8 กิโลเมตร จ่าย 15 บาท เดินทางตั้งแต่ 8-16 กิโลเมตร จ่าย 20
บาท
โปรตั๋วรายเดือนมีราคาถูกลง สุดสาย 15 บาท ครึ่งสาย 10 บาท
แต่ก็มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ติดนิสัยกับการใช้รถส่วนตัวมากๆ ต่อให้รถไฟฟ้าเปิดบริการฟรี ก็ไม่ยอมมาใช้ อย่างตอนที่กรุงเทพมีโปรเดินทางด้วยรถไฟฟ้าฟรี 7 วันเพื่อลดฝุ่น pm 2.5 ก็ยังมีคนกรุงเทพบางส่วนไม่ยอมมาใช้บริการ คนกลุ่มนี้จะยอมใช้บริการรถไฟฟ้าเมื่อรถส่วนตัวเสีย หรือว่าวันนี้รถติดมากแบบไม่ยอมขยับจริงๆ ถึงจะยอมใช้รถไฟฟ้า
คนกลุ่มที่จะใช้รถไฟฟ้าแน่ๆคือ คนที่ใช้บริการรถเมล์เมื่อได้เก็บค่าโดยสารแล้ว คนกลุ่มนี้ใช้รถไฟฟ้าแน่ หากราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้ากับรถเมล์เท่าๆกัน ช่วงราคา 15-20 บาท แต่ก็อาจมีผู้ใช้รถส่วนตัวบางคนกันมาใช้รถไฟฟ้าได้ด้วยเหตุผลว่า รถไฟฟ้าเดินทางได้รวดเร็ว ใช้เวลาเดินทางน้อยกว่ารถส่วนตัว แบบในกรุงเทพก็มีคนใช้รถส่วนตัวกลุ่มนึงหันมาใช้รถไฟฟ้าเพราะรถไฟฟ้าเดินทางได้เร็วกว่า
แต่ถ้าเขาคิดอีกแง่นึง ถ้าเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้า ก็จะทำให้สบายกระเป๋ามากขึ้น และเป็นการยืดเวลาการใช้งานให้กับรถส่วน
ตัวด้วย ก็ต้องดูกันไปว่า พอจังหวัดใหญ่ๆที่จะทำรถไฟฟ้าได้เปิดบริการรถเมล์แล้ว จะมีคนใช้บริการรถเมล์มากน้อยเพียงใด
ถ้ามีคนใช้บริการรถเมล์มาก แต่ละคันมีคนใช้บริการราวๆ 30 คน มีรถมาถี่ ผู้โดยสารรอไม่เกิน 15 นาที หรือไม่เกิน 10 นาที อย่างนี้ทำเป็นรถ brt ได้เลย สร้างสถานีอยู่เกาะกลางถนนแบบในกรุงเทพ ให้คนเดินขึ้นสะพานข้ามฝั่งไปลงป้ายรถเมล์ที่อยู่ตรงเกาะกลางถนน อย่าให้เป็นแบบ brt ลาวที่ต้องเดินข้ามทางม้าลายไป ต้องให้รถต้องหยุดรอคนข้ามถนน หรือคนต้องหยุดรอให้รถวิ่งผ่าน รถก็มีโอกาสติดมากขึ้นเพราะต้องรอคนเดินข้ามถนน บางทีคนก็อาจไปขึ้นรถได้ช้าลง เพราะต้องรถรถวิ่งผ่านไปก่อน มีบันไดแบบในกรุงเทพฯสะดวกกว่ามาก
ถ้าคนขึ้นรถ brt ราวๆ 40 คน รอรถไม่เกิน 10 นาที อย่างนี้อัพเกรดจาก brt เป็นรถรางเบาได้ ใส่รางรถลงไปเลน brt แล้วทำตัวจ่ายไฟเหนือหัวรถราง ซึ่งลักษณะนี้ก็คงต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปีขึ้นไป ดูตัวอย่างในกรุงเทพ กว่าที่รถไฟฟ้าสายต่างๆจะมีคอนโดติดสถานีรถไฟฟ้าผุดขึ้น กว่าที่จะมีผู้โดยสารในขบวนรถเยอะๆ ก็ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีได้
มีบางคนบอกว่า ไม่น่าทำเป็นรถรางระดับดิน น่าทำเป็นโมโนเรลยกระดับมากกว่า เพราะรางระดับดินกินเลนถนนรถยนต์ไป 1 เลน คือต้องทำความเข้าใจว่า รางยกระดับกับรางระดับดินมีข้อดีข้อเสียคนละอย่าง รถไฟฟ้ายกระดับนี้ใช้ทุนก่อสร้างสูงมาก ช่วงที่กำลังก่อสร้าง ก็ต้องกินเลนถนน 1 เลนด้วย ไม่ใช่ไม่กินเลย กินเลนอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 ปีได้ แม้กระทั่งสร้างใต้ดินก็มีการกินเลนถนนด้วย ในกรุงเทพที่กำลังก่อสร้าง ก็เจอปัญหารถติดหนักตอนนี้ และก็ต้องเจอปัญหาไปอีกหลายปี
ถ้าสร้างเป็นรถรางระดับดินหรือรถ brt จะสร้างได้เร็วกว่ามาก ยิ่งเป็นรถ brt ยิ่งสร้างได้เสร็จเร็ว ได้ใช้ประโยชน์จากเลนถนน brt อย่างเร็ว ต่างจากการสร้างรถไฟฟ้ายกระดับที่กินเลนถนนไปประมาณ 5-6 ปีแบบที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ทุนก่อสร้าง brt ก็ต่ำกว่ามาก
เมื่อทุนก่อสร้างต่ำกว่า ก็สามารถสร้างเส้นทางไกลขึ้น ให้รถวิ่งออกไปได้ไกลกว่าเดิม กระจายความเจริญไปได้มากกว่า ความเจริญออกสู่นอกเมืองได้ง่ายกว่า
สมมติว่า สร้างรถไฟฟ้ายกระดับ 16 กิโลเมตร มี 16 สถานี ข้างใต้เสาโมโนเรลเป็นถนนรถยนต์ 6 เลน ไป 3 กลับ 3 กับการสร้างรถไฟฟ้าระดับดิน 28 กิโลเมตร มี 28 สถานี เหลือเลนถนนให้วิ่ง 4 เลน ไป 2 กลับ 2
บางทีรถไฟฟ้าระดับดิน 28 สถานี 28 กม.ก็สามารถดีกว่ารถไฟฟ้ายกระดับ 16 สถานี 16 กม.ได้ เพราะมีการกระจายตัวของที่อยู่อาศัยรอบสถานีได้มากกว่า ทำให้มีการกระจายตัวของการใช้รถยนต์ส่วนตัวไปแต่ละพื้นที่ดีกว่าด้วย
เช่นว่า มีการใช้รถยนต์ส่วนตัวอยู่ 5,000 คัน ถ้าสร้างรถไฟฟ้ายกระดับเสร็จ คนใช้รถยนต์ส่วนตัวก็จะมีกระจายตัวอาศัยใกล้รถไฟฟ้า 16 สถานี ระยะทาง 16 กิโลเมตรของรถไฟฟ้ายกระดับที่มีถนนให้รถวิ่งไปกลับข้างละ 3 เลน ก็ต้องมารองรับรถยนต์ 5,000 คัน
แต่ถ้าเป็นรถไฟฟ้าระดับดินระยะทาง 28 กิโลเมตร มี 28 สถานี ก็จะมีถนนไปกลับข้างละ 2 เลนไว้รองรับรถยนต์ 5,000 คัน
ทีนี้ก็เลือกเอาว่า ถนนไปกลับ 3 เลน 16 กิโลเมตร รับรถยนต์ 5,000 คัน
กับถนนไปกลับ 2 เลน 28 กิโลเมตร รับรถยนต์ 5,000 คัน อย่างไหนดีกว่า
แต่ถ้าเป็นเราสร้างเอง เราจะไม่รีบสร้างรถรางเบา แต่จะขอเลือกสร้าง brt ระยะทาง 35 กิโลเมตร ต้นทุนถูกกว่ามาก กระจายความเจริญไปนอกเมืองได้มากกว่า แล้วถ้าวันนึงคนมาใช้บริการ brt กันเยอะมาก เราก็จะพัฒนาจาก brt เป็นรถรางเบา
ทางปทุมธานีที่จะสร้างรถโมโนเรลยกระดับ ก็ทำเป็นรถรางระดับดินหรือ brt ก่อนก็ได้ สร้างได้เร็วกว่า ต้นทุนต่ำกว่า สามารถทำระยะทางไกลกว่า กระจายความเจริญสู่นอกเมืองได้มากกว่า
ต่างจังหวัดศึกษารถไฟฟ้าหลายรอบ ไม่สร้างซักที เปลืองงบมาก น่าจะให้ ev bus บริการฟรีซักพัก แล้วเก็บตังค์ ดูผลไป
ที่จริงแล้ว ไม่ต้องมาศึกษาอะไรกันมาก เอารถ ev bus วิ่งบนเส้นทางที่จะสร้างรถไฟฟ้าไปเลย แล้วรอดูผลตอบรับว่าเป็นยังไง
เริ่มจากมินิบัส 20 ที่นั่ง ช่วงเริ่มเปิดบริการ ก็จัดโปรโมชั่นนั่งฟรีซัก 45-60 วัน เป็นการประชาสัมพันธ์ว่า การนั่งรถสาธารณะมันดียังไง ซึ่งก็น่าจะได้ผู้โดยสารมากอยู่ น่าจะดึงคนที่ใช้รถส่วนตัวกลุ่มนึงมาใช้รถสาธารณะได้ด้วย
ช่วงเวลาที่จะบ่งบอกถึงจำนวนผู้ใช้บริการรถสาธารณะได้ตามจริงหลังจากหมดโปรเดินทางฟรีแล้ว ก็น่าจะเป็นช่วงชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้าในวันธรรมดา เป็นช่วงเวลาที่ไม่ว่าจะจัดโปรฟรีและมีการเก็บค่าโดยสารก็จะมีจำนวนผู้โดยรถสาธารณะใกล้เคียงกัน เพราะคนจำนวนมากเน้นไปโรงเรียนและไปทำงาน ไม่ค่อยได้ไปเที่ยว ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ที่คนส่วนมากเน้นไปเที่ยวกัน ก็อาจได้ผู้โดยสารเยอะเป็นพิเศษจากการเปิดบริการฟรี พอหมดโปรนั่งรถฟรี ยอดผู้โดยสารวันหยุดก็คงหายไปพอสมควร
ให้รถสาธารณะสายต่างๆเปิดบริการฟรีซักพัก ให้คนจำนวนมากเห็นข้อดีของรถสาธารณะ หันมาใช้รถสาธารณะให้ได้มากที่สุด แล้วพอเปิดใช้บริการแบบเก็บค่าโดยสาร ก็อย่าเก็บแพงมาก ให้ค่าโดยสารย่อมเยาว์ ผู้โดยสารรู้สึกคุ้มค่าสบายกระเป๋าที่จ่ายไป เขาถึงอยากใช้บริการ
ดูตัวอย่างในกรุงเทพ รถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงเปิดบริการฟรี มีผู้โดยสารเฉลี่ย 96,000 พอเก็บค่าโดยสาร เหลือเฉลี่ย 47,000 จำนวนต่างกันมาก เพราะค่าโดยสารแพง นั่งรถไฟฟ้าไปไม่ไกลมากก็ต้องจ่าย 30-40 บาทแล้ว คนบางกลุ่มก็เลยเลือกนั่งรถเมล์กับขับรถส่วนตัวเหมือนเดิมดีกว่า รถเมล์ราคาถูกกว่า ยอมออกจากบ้านให้เร็วขึ้น ต้นทุนเดินทางด้วยรถส่วนตัวสำหรับบางคนก็ไม่ต่างจากรถไฟฟ้ามาก
ถ้าเปิดบริการรถมินิบัสก็ให้ค่าโดยสารสบายกระเป๋า คนจ่ายรู้สึกคุ้มค่า ไม่ต่างจากตอนให้บริการฟรีซักเท่าไร ถึงมีลุ้นดึงคนใช้รถส่วนตัวมาใช้รถสาธารณะได้ เชื่อว่าช่วงเปิดบริการฟรี ต้องมีคนใช้รถส่วนตัวที่ได้มาใช้รถสาธารณะแล้วเกิดความพึงพอใจ อยากใช้รถสาธารณะต่อ ซึ่งต้องจัดโปรค่าเดินทางให้ดี อาจจะให้เดินทางครึ่งสายรถเมล์ราคา 15 บาท ถ้าเดินทางเกินครึ่งทางของรถเมล์จนสุดทางของสายที่นั่งอยู่ ก็เก็บ 20 บาท เช่น ระยะทางรถเมล์วิ่งเต็มสาย 16 กิโลเมตร ถ้าเดินทางไม่เกิน 8 กิโลเมตร จ่าย 15 บาท เดินทางตั้งแต่ 8-16 กิโลเมตร จ่าย 20 บาท
โปรตั๋วรายเดือนมีราคาถูกลง สุดสาย 15 บาท ครึ่งสาย 10 บาท
แต่ก็มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ติดนิสัยกับการใช้รถส่วนตัวมากๆ ต่อให้รถไฟฟ้าเปิดบริการฟรี ก็ไม่ยอมมาใช้ อย่างตอนที่กรุงเทพมีโปรเดินทางด้วยรถไฟฟ้าฟรี 7 วันเพื่อลดฝุ่น pm 2.5 ก็ยังมีคนกรุงเทพบางส่วนไม่ยอมมาใช้บริการ คนกลุ่มนี้จะยอมใช้บริการรถไฟฟ้าเมื่อรถส่วนตัวเสีย หรือว่าวันนี้รถติดมากแบบไม่ยอมขยับจริงๆ ถึงจะยอมใช้รถไฟฟ้า
คนกลุ่มที่จะใช้รถไฟฟ้าแน่ๆคือ คนที่ใช้บริการรถเมล์เมื่อได้เก็บค่าโดยสารแล้ว คนกลุ่มนี้ใช้รถไฟฟ้าแน่ หากราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้ากับรถเมล์เท่าๆกัน ช่วงราคา 15-20 บาท แต่ก็อาจมีผู้ใช้รถส่วนตัวบางคนกันมาใช้รถไฟฟ้าได้ด้วยเหตุผลว่า รถไฟฟ้าเดินทางได้รวดเร็ว ใช้เวลาเดินทางน้อยกว่ารถส่วนตัว แบบในกรุงเทพก็มีคนใช้รถส่วนตัวกลุ่มนึงหันมาใช้รถไฟฟ้าเพราะรถไฟฟ้าเดินทางได้เร็วกว่า
แต่ถ้าเขาคิดอีกแง่นึง ถ้าเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้า ก็จะทำให้สบายกระเป๋ามากขึ้น และเป็นการยืดเวลาการใช้งานให้กับรถส่วนตัวด้วย ก็ต้องดูกันไปว่า พอจังหวัดใหญ่ๆที่จะทำรถไฟฟ้าได้เปิดบริการรถเมล์แล้ว จะมีคนใช้บริการรถเมล์มากน้อยเพียงใด
ถ้ามีคนใช้บริการรถเมล์มาก แต่ละคันมีคนใช้บริการราวๆ 30 คน มีรถมาถี่ ผู้โดยสารรอไม่เกิน 15 นาที หรือไม่เกิน 10 นาที อย่างนี้ทำเป็นรถ brt ได้เลย สร้างสถานีอยู่เกาะกลางถนนแบบในกรุงเทพ ให้คนเดินขึ้นสะพานข้ามฝั่งไปลงป้ายรถเมล์ที่อยู่ตรงเกาะกลางถนน อย่าให้เป็นแบบ brt ลาวที่ต้องเดินข้ามทางม้าลายไป ต้องให้รถต้องหยุดรอคนข้ามถนน หรือคนต้องหยุดรอให้รถวิ่งผ่าน รถก็มีโอกาสติดมากขึ้นเพราะต้องรอคนเดินข้ามถนน บางทีคนก็อาจไปขึ้นรถได้ช้าลง เพราะต้องรถรถวิ่งผ่านไปก่อน มีบันไดแบบในกรุงเทพฯสะดวกกว่ามาก
ถ้าคนขึ้นรถ brt ราวๆ 40 คน รอรถไม่เกิน 10 นาที อย่างนี้อัพเกรดจาก brt เป็นรถรางเบาได้ ใส่รางรถลงไปเลน brt แล้วทำตัวจ่ายไฟเหนือหัวรถราง ซึ่งลักษณะนี้ก็คงต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปีขึ้นไป ดูตัวอย่างในกรุงเทพ กว่าที่รถไฟฟ้าสายต่างๆจะมีคอนโดติดสถานีรถไฟฟ้าผุดขึ้น กว่าที่จะมีผู้โดยสารในขบวนรถเยอะๆ ก็ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีได้
มีบางคนบอกว่า ไม่น่าทำเป็นรถรางระดับดิน น่าทำเป็นโมโนเรลยกระดับมากกว่า เพราะรางระดับดินกินเลนถนนรถยนต์ไป 1 เลน คือต้องทำความเข้าใจว่า รางยกระดับกับรางระดับดินมีข้อดีข้อเสียคนละอย่าง รถไฟฟ้ายกระดับนี้ใช้ทุนก่อสร้างสูงมาก ช่วงที่กำลังก่อสร้าง ก็ต้องกินเลนถนน 1 เลนด้วย ไม่ใช่ไม่กินเลย กินเลนอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 ปีได้ แม้กระทั่งสร้างใต้ดินก็มีการกินเลนถนนด้วย ในกรุงเทพที่กำลังก่อสร้าง ก็เจอปัญหารถติดหนักตอนนี้ และก็ต้องเจอปัญหาไปอีกหลายปี
ถ้าสร้างเป็นรถรางระดับดินหรือรถ brt จะสร้างได้เร็วกว่ามาก ยิ่งเป็นรถ brt ยิ่งสร้างได้เสร็จเร็ว ได้ใช้ประโยชน์จากเลนถนน brt อย่างเร็ว ต่างจากการสร้างรถไฟฟ้ายกระดับที่กินเลนถนนไปประมาณ 5-6 ปีแบบที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ทุนก่อสร้าง brt ก็ต่ำกว่ามาก
เมื่อทุนก่อสร้างต่ำกว่า ก็สามารถสร้างเส้นทางไกลขึ้น ให้รถวิ่งออกไปได้ไกลกว่าเดิม กระจายความเจริญไปได้มากกว่า ความเจริญออกสู่นอกเมืองได้ง่ายกว่า
สมมติว่า สร้างรถไฟฟ้ายกระดับ 16 กิโลเมตร มี 16 สถานี ข้างใต้เสาโมโนเรลเป็นถนนรถยนต์ 6 เลน ไป 3 กลับ 3 กับการสร้างรถไฟฟ้าระดับดิน 28 กิโลเมตร มี 28 สถานี เหลือเลนถนนให้วิ่ง 4 เลน ไป 2 กลับ 2
บางทีรถไฟฟ้าระดับดิน 28 สถานี 28 กม.ก็สามารถดีกว่ารถไฟฟ้ายกระดับ 16 สถานี 16 กม.ได้ เพราะมีการกระจายตัวของที่อยู่อาศัยรอบสถานีได้มากกว่า ทำให้มีการกระจายตัวของการใช้รถยนต์ส่วนตัวไปแต่ละพื้นที่ดีกว่าด้วย
เช่นว่า มีการใช้รถยนต์ส่วนตัวอยู่ 5,000 คัน ถ้าสร้างรถไฟฟ้ายกระดับเสร็จ คนใช้รถยนต์ส่วนตัวก็จะมีกระจายตัวอาศัยใกล้รถไฟฟ้า 16 สถานี ระยะทาง 16 กิโลเมตรของรถไฟฟ้ายกระดับที่มีถนนให้รถวิ่งไปกลับข้างละ 3 เลน ก็ต้องมารองรับรถยนต์ 5,000 คัน
แต่ถ้าเป็นรถไฟฟ้าระดับดินระยะทาง 28 กิโลเมตร มี 28 สถานี ก็จะมีถนนไปกลับข้างละ 2 เลนไว้รองรับรถยนต์ 5,000 คัน
ทีนี้ก็เลือกเอาว่า ถนนไปกลับ 3 เลน 16 กิโลเมตร รับรถยนต์ 5,000 คัน
กับถนนไปกลับ 2 เลน 28 กิโลเมตร รับรถยนต์ 5,000 คัน อย่างไหนดีกว่า
แต่ถ้าเป็นเราสร้างเอง เราจะไม่รีบสร้างรถรางเบา แต่จะขอเลือกสร้าง brt ระยะทาง 35 กิโลเมตร ต้นทุนถูกกว่ามาก กระจายความเจริญไปนอกเมืองได้มากกว่า แล้วถ้าวันนึงคนมาใช้บริการ brt กันเยอะมาก เราก็จะพัฒนาจาก brt เป็นรถรางเบา
ทางปทุมธานีที่จะสร้างรถโมโนเรลยกระดับ ก็ทำเป็นรถรางระดับดินหรือ brt ก่อนก็ได้ สร้างได้เร็วกว่า ต้นทุนต่ำกว่า สามารถทำระยะทางไกลกว่า กระจายความเจริญสู่นอกเมืองได้มากกว่า