สุขวิชโนมิกส์—รางวัลการอภิวัฒน์การศึกษา2538/ Sukavichinomics— The 1995 Education Revolution in Thailand Award
Epigraph
“During his trip to the Philippines, His Excellency Mr. Sukavich Rangsitpol was conferred an Honorary Degree of Doctor of Education by the Philippine Normal University. His will to reform education and strong leadership in educational management were highly commended.”
— SEAMEO Archive, 1996
(Source:
https://web.archive.org/web/20220904100222/https://www.seameo.org/vl/library/dlwelcome/photogallery/president/sukavich.htm)
บทคัดย่อ
การอภิวัฒน์การศึกษาไทย พ.ศ. 2538 ภายใต้การนำของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ได้รับการยอมรับทั้งในระดับชาติและนานาชาติว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของการพัฒนาทุนมนุษย์และการปฏิรูปการศึกษาที่มีฐานคิด “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” (People-Centered Development) บทความนี้มุ่งรวบรวม วิเคราะห์ และเชื่อมโยงหลักฐานเชิงประจักษ์เกี่ยวกับรางวัลและการยกย่องระดับนานาชาติระหว่าง ปี 2539-2541 ซึ่งสะท้อนผลสำเร็จของการอภิวัฒน์การศึกษาไทยในช่วงปี 2538–2540 ตามปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics) และต่อยอดสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบการศึกษาของไทยในเวลาต่อมา
การวิจัยใช้ระเบียบวิธีเอกสาร (Documentary Research) และการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์นโยบาย (Historical Policy Analysis) เพื่อตรวจสอบหลักฐานจากเอกสารราชการ รายงานระหว่างประเทศของ UNESCO, SEAMEO รวมถึงฐานข้อมูลวิชาการสากล ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จของการอภิวัฒน์การศึกษาในช่วงดังกล่าวมิได้เป็นเพียงความสำเร็จภายในประเทศ แต่ยังได้รับการรับรองเชิงสถาบันในระดับนานาชาติ เช่น การได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จาก Philippine Normal University ในปี 1996 และรางวัลด้านการศึกษาอีกหลายรายการในช่วงปี 1997–1998 ซึ่งยืนยันความสำคัญของโมเดลการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นความเสมอภาค คุณภาพ และประสิทธิภาพเชิงระบบ
คำสำคัญ: สุขวิชโนมิกส์, การอภิวัฒน์การศึกษา 2538, รางวัลนานาชาติ, การปฏิรูปการศึกษาไทย, นโยบายการศึกษา
บทนำ
การอภิวัฒน์การศึกษาไทย พ.ศ. 2538 ภายใต้การนำของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในหลายรัฐบาล ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การศึกษาไทยยุคใหม่ โดยปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ คือ การปฏิรูปโครงสร้างระบบการศึกษา และการยกระดับ “สิทธิทางการศึกษา” ให้เป็น “สิทธิพื้นฐานของมนุษย์” และพัฒนาคนไทยอย่างเป็นระบบบนฐานคิด “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” (People-Centered Development) อันสะท้อนอยู่ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) และ สิทธิการศึกษา 15 ปี ที่มาของ รัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 43 และ 80
จากการดำเนินการภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ ก่อให้เกิดผลสำเร็จระดับประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นการจัด การศึกษาฟรี 15 ปี สำหรับเด็กยากจน 4.35 ล้านคน อายุ 3-17 ปี, การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโรงเรียนทั่วประเทศกว่า 29,845 แห่ง, การยกระดับคุณภาพครู การพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะเชิงคุณภาพ และการกระจายอำนาจการศึกษา (School-Based Management) ไปยังสถานศึกษาและชุมชน ทั้งหมดนี้ได้พัฒนาเป็น “ระบบการศึกษาเพื่อความเสมอภาคและคุณภาพ” ซึ่งต่อมากลายเป็นแบบอย่างให้กับหลายประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประจักษ์พยานถึงความสำเร็จของการอภิวัฒน์การศึกษาไทยในช่วงเวลานั้น คือ การยอมรับและ “รางวัลระดับนานาชาติ” ที่ประเทศไทยและ ฯพณฯสุขวิช รังสิตพล ได้รับอย่างเป็นทางการ เช่น
ปี 1996: ได้รับ ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการศึกษา จาก Philippine Normal University
ปี 1997: ได้รับ ACEID Award for Excellence in Education จาก UNESCO
ปี 1998: ได้รับ Educational Innovation and Information Award ในระดับนานาชาติ
เครื่องหมายแห่งเกียรติยศเหล่านี้ ไม่เพียงเป็นการยอมรับเชิงสัญลักษณ์ แต่ได้สะท้อนให้เห็นว่าโมเดลปฏิรูปการศึกษาของไทยในยุคนั้น เป็น “ความสำเร็จที่ผ่านการพิสูจน์และได้รับการรับรองจากเวทีโลก” (Internationally Verified Educational Reform) และได้พัฒนาเป็น ปรัชญาเศรษฐศาสตร์“สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) หรือ การใช้การศึกษาแก้ความยากจน พัฒนาทุนมนุษย์ และสร้างความเข้มแข็งของสังคมประชาธิปไตย
บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ
รวบรวมและตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับรางวัลทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการอภิวัฒน์การศึกษา 2538
วิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่าง สุขวิชโนมิกส์ และ การยอมรับระดับนานาชาติ
อธิบายว่าทำไมการอภิวัฒน์การศึกษา 2538 จึงถือเป็น Best Practice ทางการศึกษาของโลก
สะท้อนบทเรียนเชิงนโยบายสำหรับประเทศไทยในอนาคต
วรรณกรรมปริทรรศน์ (Literature Review)
การศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอภิวัฒน์การศึกษาไทย พ.ศ. 2538 สะท้อนให้เห็นภาพเชิงโครงสร้างด้านนโยบายการศึกษาของประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันยังเปิดเผยพัฒนาการที่สำคัญของแนวคิดการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือพัฒนาทุนมนุษย์และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม (Human Capital–Equity Approach) ซึ่งเป็นหัวใจของ สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics)
1. แนวคิดการพัฒนาคนและการศึกษาแบบ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง”
งานวิจัยของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และเอกสารของ UNESCO (2006) ชี้ให้เห็นว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) เป็นแผนที่มีฐานคิดแตกต่างจากแผนก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเปลี่ยนจาก “การพัฒนาประเทศโดยเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ” ไปสู่ “การพัฒนาคนเป็นศูนย์กลาง” ของ ฯพณฯสุขวิช รังสิตพล ผู้อภิวัฒน์การศึกษาไทย 2538 โดยประชาชนมีส่วนร่วมในการอภิวัฒน์การศึกษา ปี 2538-2540 และ มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาฯ 8
2. การอภิวัฒน์การศึกษา 2538 และโครงสร้างเชิงนโยบาย
งานของ บุญมี พันธุ์ไทย (2542), อลงกรณ์ ศิลป์ประสิทธิ์ (2551) และเอกสารการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (2539) ระบุว่า นโยบายสำคัญในยุคนี้ประกอบด้วย 4 เสาหลักของการยกระดับคุณภาพการศึกษา ได้แก่
ปฏิรูปโรงเรียนและพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
ปฏิรูปหลักสูตร
การกระจายอำนาจการบริหารการศึกษา (School-Based Management)
3. หลักฐานต่างประเทศและการยอมรับระดับนานาชาติ
วรรณกรรมระดับนานาชาติ เช่น ASEAN Comparative Education Research Network (1998), รายงาน SEAMEO (1996–1999) และ UNESCO ACEID Awards Archive (1997–1998) ยืนยันถึงความสำเร็จของนโยบายการศึกษาของไทยว่าเป็น แบบอย่างประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะ
ขยายการเข้าถึงการศึกษาสำหรับผู้ยากจน
ลงทุนต่อคุณภาพการเรียนรู้และโครงสร้างพื้นฐาน
ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
4. สุขวิชโนมิกส์ในฐานะปรัชญาเศรษฐศาสตร์
แม้ว่าคำว่า “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) จะเพิ่งเริ่มปรากฏในงานวิชาการ (เช่น Rangsitpol-Manitkul, 2025; Global Journals, 2025) แต่แกนกลางแนวคิดได้ถูกนำเสนอในเชิงนโยบายตั้งแต่ปี 2538 แล้ว ผ่านหลักคิด 5 เสาหลัก:
การศึกษาสร้างคน
คนสร้างสังคม
สังคมสร้างโอกาส
โอกาสสร้างความเสมอภาค
ความเสมอภาคสร้างสันติสุข
ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology)
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้ ระเบียบวิธีการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) และ การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์นโยบาย (Historical Policy Analysis) เพื่อศึกษาหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้องกับ “รางวัล” และ “การยอมรับระดับนานาชาติ” อันเป็นผลจากการอภิวัฒน์การศึกษาไทย พ.ศ. 2538 ภายใต้แนวคิด สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics) การวิจัยดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1. แหล่งข้อมูล
การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากสองประเภทหลัก ได้แก่
1.1 ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Sources)
ได้มาจากเอกสารนโยบายและรายงานทางการจากหน่วยงานระดับชาติและนานาชาติ เช่น
ราชกิจจานุเบกษา (2538–2540)
เอกสารจากกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษา 2538
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8
เอกสารการประชุมคณะรัฐมนตรีช่วงปี 2538–2540
เอกสารจาก UNESCO, SEAMEO, ACEID และ Philippine Normal University
คำประกาศรางวัลและเอกสารรับรองเชิงสถาบันระดับนานาชาติ ปี 1996–1998
1.2 ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Sources)
เช่น งานวิจัย บทความวิชาการ ฐานข้อมูล SSRN, Scopus และวรรณกรรมเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษาไทยและ Sukavichinomics
2. เครื่องมือวิจัย
ใช้แบบฟอร์มวิเคราะห์เอกสาร (Document Analysis Form) เพื่อรวบรวม ตรวจสอบ และสังเคราะห์ข้อมูลตามประเด็นสำคัญ ได้แก่
พัฒนาการของนโยบายการศึกษาไทย ปี 2538
ผลลัพธ์เชิงระบบจากการอภิวัฒน์การศึกษา
หลักฐานที่ยืนยันรางวัลและการยอมรับในระดับนานาชาติ
ความเชื่อมโยงปรัชญาเศรษฐศาสตร์ “สุขวิชโนมิกส์”
3. การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการ 3 ขั้นตอน ดังนี้
การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) เพื่อจัดหมวดหมู่ข้อมูล
การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์นโยบาย (Historical Policy Analysis) เพื่อตรวจสอบบริบท
การวิเคราะห์เชิงสังเคราะห์ (Analytical Synthesis) เพื่อเชื่อมโยงผลลัพธ์สู่ข้อค้นพบ
4. การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล
ใช้เทคนิค Triangulation ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ โดย
ตรวจสอบข้ามระหว่างเอกสารราชการและเอกสารต่างประเทศ
ตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูลตามระยะเวลาเหตุการณ์ (Time Consistency)
ตรวจสอบเอกสารอ้างอิงย้อนกลับ (Source Validation)
รางวัลการอภิวัฒน์การศึกษา2538 ในระดับนานาชาติ 3 รางวัล
Epigraph
“During his trip to the Philippines, His Excellency Mr. Sukavich Rangsitpol was conferred an Honorary Degree of Doctor of Education by the Philippine Normal University. His will to reform education and strong leadership in educational management were highly commended.”
— SEAMEO Archive, 1996
(Source: https://web.archive.org/web/20220904100222/https://www.seameo.org/vl/library/dlwelcome/photogallery/president/sukavich.htm)
บทคัดย่อ
การอภิวัฒน์การศึกษาไทย พ.ศ. 2538 ภายใต้การนำของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ได้รับการยอมรับทั้งในระดับชาติและนานาชาติว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของการพัฒนาทุนมนุษย์และการปฏิรูปการศึกษาที่มีฐานคิด “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” (People-Centered Development) บทความนี้มุ่งรวบรวม วิเคราะห์ และเชื่อมโยงหลักฐานเชิงประจักษ์เกี่ยวกับรางวัลและการยกย่องระดับนานาชาติระหว่าง ปี 2539-2541 ซึ่งสะท้อนผลสำเร็จของการอภิวัฒน์การศึกษาไทยในช่วงปี 2538–2540 ตามปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics) และต่อยอดสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบการศึกษาของไทยในเวลาต่อมา
การวิจัยใช้ระเบียบวิธีเอกสาร (Documentary Research) และการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์นโยบาย (Historical Policy Analysis) เพื่อตรวจสอบหลักฐานจากเอกสารราชการ รายงานระหว่างประเทศของ UNESCO, SEAMEO รวมถึงฐานข้อมูลวิชาการสากล ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จของการอภิวัฒน์การศึกษาในช่วงดังกล่าวมิได้เป็นเพียงความสำเร็จภายในประเทศ แต่ยังได้รับการรับรองเชิงสถาบันในระดับนานาชาติ เช่น การได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จาก Philippine Normal University ในปี 1996 และรางวัลด้านการศึกษาอีกหลายรายการในช่วงปี 1997–1998 ซึ่งยืนยันความสำคัญของโมเดลการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นความเสมอภาค คุณภาพ และประสิทธิภาพเชิงระบบ
คำสำคัญ: สุขวิชโนมิกส์, การอภิวัฒน์การศึกษา 2538, รางวัลนานาชาติ, การปฏิรูปการศึกษาไทย, นโยบายการศึกษา
บทนำ
การอภิวัฒน์การศึกษาไทย พ.ศ. 2538 ภายใต้การนำของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในหลายรัฐบาล ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การศึกษาไทยยุคใหม่ โดยปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ คือ การปฏิรูปโครงสร้างระบบการศึกษา และการยกระดับ “สิทธิทางการศึกษา” ให้เป็น “สิทธิพื้นฐานของมนุษย์” และพัฒนาคนไทยอย่างเป็นระบบบนฐานคิด “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” (People-Centered Development) อันสะท้อนอยู่ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) และ สิทธิการศึกษา 15 ปี ที่มาของ รัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 43 และ 80
จากการดำเนินการภายใต้ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ ก่อให้เกิดผลสำเร็จระดับประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นการจัด การศึกษาฟรี 15 ปี สำหรับเด็กยากจน 4.35 ล้านคน อายุ 3-17 ปี, การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโรงเรียนทั่วประเทศกว่า 29,845 แห่ง, การยกระดับคุณภาพครู การพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะเชิงคุณภาพ และการกระจายอำนาจการศึกษา (School-Based Management) ไปยังสถานศึกษาและชุมชน ทั้งหมดนี้ได้พัฒนาเป็น “ระบบการศึกษาเพื่อความเสมอภาคและคุณภาพ” ซึ่งต่อมากลายเป็นแบบอย่างให้กับหลายประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประจักษ์พยานถึงความสำเร็จของการอภิวัฒน์การศึกษาไทยในช่วงเวลานั้น คือ การยอมรับและ “รางวัลระดับนานาชาติ” ที่ประเทศไทยและ ฯพณฯสุขวิช รังสิตพล ได้รับอย่างเป็นทางการ เช่น
ปี 1996: ได้รับ ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการศึกษา จาก Philippine Normal University
ปี 1997: ได้รับ ACEID Award for Excellence in Education จาก UNESCO
ปี 1998: ได้รับ Educational Innovation and Information Award ในระดับนานาชาติ
เครื่องหมายแห่งเกียรติยศเหล่านี้ ไม่เพียงเป็นการยอมรับเชิงสัญลักษณ์ แต่ได้สะท้อนให้เห็นว่าโมเดลปฏิรูปการศึกษาของไทยในยุคนั้น เป็น “ความสำเร็จที่ผ่านการพิสูจน์และได้รับการรับรองจากเวทีโลก” (Internationally Verified Educational Reform) และได้พัฒนาเป็น ปรัชญาเศรษฐศาสตร์“สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) หรือ การใช้การศึกษาแก้ความยากจน พัฒนาทุนมนุษย์ และสร้างความเข้มแข็งของสังคมประชาธิปไตย
บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ
รวบรวมและตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับรางวัลทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการอภิวัฒน์การศึกษา 2538
วิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่าง สุขวิชโนมิกส์ และ การยอมรับระดับนานาชาติ
อธิบายว่าทำไมการอภิวัฒน์การศึกษา 2538 จึงถือเป็น Best Practice ทางการศึกษาของโลก
สะท้อนบทเรียนเชิงนโยบายสำหรับประเทศไทยในอนาคต
วรรณกรรมปริทรรศน์ (Literature Review)
การศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอภิวัฒน์การศึกษาไทย พ.ศ. 2538 สะท้อนให้เห็นภาพเชิงโครงสร้างด้านนโยบายการศึกษาของประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันยังเปิดเผยพัฒนาการที่สำคัญของแนวคิดการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือพัฒนาทุนมนุษย์และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม (Human Capital–Equity Approach) ซึ่งเป็นหัวใจของ สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics)
1. แนวคิดการพัฒนาคนและการศึกษาแบบ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง”
งานวิจัยของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และเอกสารของ UNESCO (2006) ชี้ให้เห็นว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) เป็นแผนที่มีฐานคิดแตกต่างจากแผนก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเปลี่ยนจาก “การพัฒนาประเทศโดยเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ” ไปสู่ “การพัฒนาคนเป็นศูนย์กลาง” ของ ฯพณฯสุขวิช รังสิตพล ผู้อภิวัฒน์การศึกษาไทย 2538 โดยประชาชนมีส่วนร่วมในการอภิวัฒน์การศึกษา ปี 2538-2540 และ มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาฯ 8
2. การอภิวัฒน์การศึกษา 2538 และโครงสร้างเชิงนโยบาย
งานของ บุญมี พันธุ์ไทย (2542), อลงกรณ์ ศิลป์ประสิทธิ์ (2551) และเอกสารการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (2539) ระบุว่า นโยบายสำคัญในยุคนี้ประกอบด้วย 4 เสาหลักของการยกระดับคุณภาพการศึกษา ได้แก่
ปฏิรูปโรงเรียนและพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
ปฏิรูปหลักสูตร
การกระจายอำนาจการบริหารการศึกษา (School-Based Management)
3. หลักฐานต่างประเทศและการยอมรับระดับนานาชาติ
วรรณกรรมระดับนานาชาติ เช่น ASEAN Comparative Education Research Network (1998), รายงาน SEAMEO (1996–1999) และ UNESCO ACEID Awards Archive (1997–1998) ยืนยันถึงความสำเร็จของนโยบายการศึกษาของไทยว่าเป็น แบบอย่างประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะ
ขยายการเข้าถึงการศึกษาสำหรับผู้ยากจน
ลงทุนต่อคุณภาพการเรียนรู้และโครงสร้างพื้นฐาน
ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
4. สุขวิชโนมิกส์ในฐานะปรัชญาเศรษฐศาสตร์
แม้ว่าคำว่า “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) จะเพิ่งเริ่มปรากฏในงานวิชาการ (เช่น Rangsitpol-Manitkul, 2025; Global Journals, 2025) แต่แกนกลางแนวคิดได้ถูกนำเสนอในเชิงนโยบายตั้งแต่ปี 2538 แล้ว ผ่านหลักคิด 5 เสาหลัก:
การศึกษาสร้างคน
คนสร้างสังคม
สังคมสร้างโอกาส
โอกาสสร้างความเสมอภาค
ความเสมอภาคสร้างสันติสุข
ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology)
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้ ระเบียบวิธีการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) และ การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์นโยบาย (Historical Policy Analysis) เพื่อศึกษาหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้องกับ “รางวัล” และ “การยอมรับระดับนานาชาติ” อันเป็นผลจากการอภิวัฒน์การศึกษาไทย พ.ศ. 2538 ภายใต้แนวคิด สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics) การวิจัยดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1. แหล่งข้อมูล
การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากสองประเภทหลัก ได้แก่
1.1 ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Sources)
ได้มาจากเอกสารนโยบายและรายงานทางการจากหน่วยงานระดับชาติและนานาชาติ เช่น
ราชกิจจานุเบกษา (2538–2540)
เอกสารจากกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษา 2538
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8
เอกสารการประชุมคณะรัฐมนตรีช่วงปี 2538–2540
เอกสารจาก UNESCO, SEAMEO, ACEID และ Philippine Normal University
คำประกาศรางวัลและเอกสารรับรองเชิงสถาบันระดับนานาชาติ ปี 1996–1998
1.2 ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Sources)
เช่น งานวิจัย บทความวิชาการ ฐานข้อมูล SSRN, Scopus และวรรณกรรมเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษาไทยและ Sukavichinomics
2. เครื่องมือวิจัย
ใช้แบบฟอร์มวิเคราะห์เอกสาร (Document Analysis Form) เพื่อรวบรวม ตรวจสอบ และสังเคราะห์ข้อมูลตามประเด็นสำคัญ ได้แก่
พัฒนาการของนโยบายการศึกษาไทย ปี 2538
ผลลัพธ์เชิงระบบจากการอภิวัฒน์การศึกษา
หลักฐานที่ยืนยันรางวัลและการยอมรับในระดับนานาชาติ
ความเชื่อมโยงปรัชญาเศรษฐศาสตร์ “สุขวิชโนมิกส์”
3. การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการ 3 ขั้นตอน ดังนี้
การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) เพื่อจัดหมวดหมู่ข้อมูล
การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์นโยบาย (Historical Policy Analysis) เพื่อตรวจสอบบริบท
การวิเคราะห์เชิงสังเคราะห์ (Analytical Synthesis) เพื่อเชื่อมโยงผลลัพธ์สู่ข้อค้นพบ
4. การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล
ใช้เทคนิค Triangulation ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ โดย
ตรวจสอบข้ามระหว่างเอกสารราชการและเอกสารต่างประเทศ
ตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูลตามระยะเวลาเหตุการณ์ (Time Consistency)
ตรวจสอบเอกสารอ้างอิงย้อนกลับ (Source Validation)