
.
นิด้าโพล เผยผลสำรวจ คนไทยสับสนมาก บัตร 4 ใบ 6 คำถาม ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
.
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “บัตรลงคะแนน 4 ใบ 6 คำถาม จะไหวไหม” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7-9 ตุลาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนต่อบัตรลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่าง โดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
.
จากการสำรวจเมื่อถามความสับสนเกี่ยวกับบัตรลงคะแนน 4 ใบ รวม 6 คำถาม (บัตรเลือก ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้งหนึ่งใบ; บัตรเลือก ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อหนึ่งใบ; บัตรลงคะแนนประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหนึ่งใบ สองข้อ; บัตรลงคะแนนประชามติเรื่องการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 หนึ่งใบ สองข้อ) ในการเลือกตั้งครั้งหน้าของประชาชนทั่วไป พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 48.55 ระบุว่า สับสนมาก รองลงมา ร้อยละ 30.61 ระบุว่า ค่อนข้างสับสน ร้อยละ 11.99 ระบุว่า ไม่สับสนเลย และร้อยละ 8.85 ระบุว่า ไม่ค่อยสับสน
.
ด้านความสับสนเกี่ยวกับบัตรลงคะแนน 4 ใบ รวม 6 คำถาม ในการเลือกตั้งครั้งหน้าของตนเอง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 34.73 ระบุว่า ไม่สับสนเลย รองลงมา ร้อยละ 26.80 ระบุว่า สับสนมาก ร้อยละ 23.36 ระบุว่า ค่อนข้างสับสน และร้อยละ 15.11 ระบุว่า ไม่ค่อยสับสน
.
สำหรับความเพียงพอของระยะเวลา 4 เดือน ภายใต้รัฐบาลนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในการเตรียม ความพร้อมเลือกตั้งและสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 30.23 ระบุว่า ไม่เพียงพอเลย รองลงมา ร้อยละ 24.43 ระบุว่า เพียงพอแน่นอน ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ค่อนข้างเพียงพอ ร้อยละ 20.53 ระบุว่า ไม่ค่อยเพียงพอ และร้อยละ 2.67 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
.
ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการทำประชามติยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ในวันเดียวกัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 49.16 ระบุว่า เห็นด้วยที่จะมีการดำเนินการทั้งหมดในวันเดียวกัน รองลงมา ร้อยละ 26.11 ระบุว่า ควรแยกการดำเนินทั้งสามเรื่องเป็นคนละวันกัน ร้อยละ 12.60 ระบุว่า ควรแยกเฉพาะการลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ออกไปอีกวัน ร้อยละ 5.42 ระบุว่า ควรแยกเฉพาะการทำประชามติเรื่องการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ออกไปอีกวัน ร้อยละ 3.89 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ และร้อยละ 2.82 ระบุว่า ควรแยกเฉพาะการทำประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกไปอีกวัน
.
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.70 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.28 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก โดยตัวอย่าง ร้อยละ 47.94 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.06 เป็นเพศหญิง
.
ตัวอย่างร้อยละ 12.13 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.34 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 25.80 อายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตัวอย่าง ร้อยละ 95.49 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.82 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.69 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ
.
ตัวอย่างร้อยละ 35.58 สถานภาพโสด ร้อยละ 62.21 สมรส และร้อยละ 2.21 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ โดยตัวอย่าง ร้อยละ 0.38 ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 17.18 จบการศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 34.96 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 11.91 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 30.84 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.73 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
.
ตัวอย่างร้อยละ 8.93 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 18.85 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 21.07 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 11.53 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.04 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.77 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงานและร้อยละ 4.81 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
.
ตัวอย่างร้อยละ 19.47 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 3.66 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 14.35 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 34.20 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 10.53 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 4.96 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 2.37 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001-50,000 บาท ร้อยละ 1.06 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,001-60,000 บาท ร้อยละ 0.31 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 60,001-70,000 บาท ร้อยละ 0.08 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 70,001-80,000 บาท ร้อยละ 0.38 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 80,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 8.63 ไม่ระบุรายได้.
.
.
‘ดุสิตโพล’ ชี้ผลสำรวจประชาชนเชื่อมั่น ‘ภท.’ แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้มากกว่า ‘ปชน.’
https://www.dailynews.co.th/news/5196605/
.
"สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง "นโยบายเศรษฐกิจแบบแจก ช่วยจริงหรือแค่ชั่วคราว" โดยผลสำรวจระบุว่า พรรคการเมืองที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกินได้คือ พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 19.87 รองลงมาคือ พรรคประชาชน ร้อยละ 17.37
.
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “นโยบายเศรษฐกิจแบบแจก ช่วยจริงหรือแค่ชั่วคราว” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,203 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 7-10 ตุลาคม 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมองว่านโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทินเป็นแบบเน้นแจกเงินหรือช่วยเฉพาะหน้า ร้อยละ 29.51 โดยมองว่านโยบายแบบ “แจกเงิน–ลดภาระชั่วคราว” ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น ร้อยละ 80.72 ถ้ารัฐบาลมีงบประมาณจำกัด ประชาชนอยากให้ใช้กับเรื่องลงทุนจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมและภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง ร้อยละ 53.72 ประเด็นเรื่องน้ำท่วมมองว่ารัฐบาลควรแก้ปัญหาด้วยการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการระดับประเทศ ร้อยละ 67.17 ประเด็นสุดท้าย ณ วันนี้ กลุ่มตัวอย่างคิดว่าพรรคการเมืองที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ คือ พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 19.87 รองลงมาคือ พรรคประชาชน ร้อยละ 17.37 และยังไม่เชื่อพรรคใด ร้อยละ 16.63
.
ดร.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจชี้ว่าประชาชนมองนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทินเป็นการ “เยียวยาเฉพาะหน้า” แม้จะบรรเทาความเดือดร้อนได้บ้าง แต่ยังต้องการให้รัฐบาลวางแผนแก้ปัญหาระยะยาว โดยเฉพาะ “ปัญหาน้ำท่วม” ที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจฐานราก เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แม้ภูมิใจไทยจะนำมาในการสำรวจครั้งนี้ แต่ก็เป็นความคาดหวังต่อรัฐบาลโดยตรง และส่วนหนึ่งก็ยังคงไม่มั่นใจในพรรคการเมืองใดอย่างชัดเจน
.
ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ เจริญพูล ประธานหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า รัฐบาลอนุทินได้ประกาศไว้ว่าจะยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังจากจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ดังนั้นจากผลโพล ประชาชนจึงคาดหวังผลด้านเศรษฐกิจในระยะสั้นจากรัฐบาลเท่านั้น อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าประชาชนก็ยังคาดหวังให้รัฐบาลมีการดำเนินการ
.
ในระยะยาวทั้งทางด้านการพัฒนาอาชีพ การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นซ้ำซาก โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการจัดการน้ำ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งเศรษฐกิจในภาพรวมให้เจริญเติบโต มั่นคง และมีการกระจายรายได้อย่างเหมาะสม การแก้ไขปัญหาเหล่านี้มีสิ่งสำคัญที่รัฐ เอกชน และภาคประชาชนต้องร่วมมือกันดำเนินการให้ประสบความสำเร็จคือ “การลดความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจ” ซึ่ง ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. อัมมาร สยามวาลา นักเศรษฐศาสตร์และอดีตประธาน TDRI ได้นำเสนอไว้ในรายงานการวิจัยเรื่อง “การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อลดความขัดแย้งทางการเมือง” ดังนั้น รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังจำเป็นต้องมีนโยบายและโครงการที่ทำให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง.
.
.
พิจิตรยังวิกฤต น้ำท่วม 2 เมตรกว่า 2 เดือน ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก ถุงยังชีพได้ไม่ทั่วถึง
.
พิจิตรยังวิกฤต น้ำท่วม 2 เมตรกว่า 2 เดือน ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก ถุงยังชีพได้ไม่ทั่วถึง
.
พิจิตรยังวิกฤต แม่น้ำยมท่วมสูง 2 เมตรนานกว่า 2 เดือน ระดับน้ำยังไม่ลดลง ทั้งนี้ยังต้องเฝ้าระวังอีกในช่วง 14-17 ตุลาคมนี้อีกจะมีฝนตกฟ้าคะนองในภาคเหนือตอนล่าง ขณะที่ชาวบ้านเดือดร้อนอย่างหนัก น้ำท่วมนานกว่า 2 เดือนได้ถุงยังชีพ 2 ครั้งได้ไม่ทั่วถึง จะได้ต้องจับสลากกัน เพราะถุงยังชีพที่นำมาแจกไม่เพียงพอ
.
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พื้นที่ จ.พิจิตร ถือว่าเป็นพื้นที่รองรับมวลน้ำจากภาคเหนือตอนบน ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ที่ จ.นครสวรรค์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัยนอกจากพื้นที่ลุ่มแม่น้ำน่านท่วมหนักแล้ว พื้นที่ลุ่มแม่น้ำยม ได้รับผลกระทบหนักเช่นเดียวกัน โดยสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำยม ได้รับผลกระทบจำนวน 5 อำเภอยังอยู่ในระดับเกณฑ์ที่วิกฤต หรือระดับสีแดง เนื่องจากยังมีมวลน้ำยมจาก จ.สุโขทัย และจากทุ่งบางระกำโมเดล จ.พิษณุโลก ยังไหลบ่าลงมาในพื้นที่ จ.พิจิต อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในพื้นที่ จ.พิจิตรเองมีมวลน้ำสะสมที่ท่วมขังเดิมจำนวนค่อนข้างมากเกือบเทียบเท่ากับปี 2554
.
ทั้งนี้มวลน้ำยมดังกล่าวในปีนี้ไม่สามารถระบายลงสู่แม่น้ำน่าน ตามโครงการน่าน-ยม ที่คลอง DR2.8 ได้ เนื่องจากแม่น้ำน่านสูงอยู่ ส่งผลกระทบให้แม่น้ำยม ไหลมาจากพื้นที่ตอนบนโดยตรงเข้าในพื้นที่ อ.สามง่าม วชิรบารมี โพธิ์ประทับช้าง บึงนาราง และโพทะเล มีมวลน้ำท่วมขังเต็มพื้นที่ ซึ่งบ้านเรือนประชาชน เส้นทางคมนาคมต่างๆ ถูกน้ำท่วมสูงเฉลี่ย 1-2 เมตร ชาวบ้านต้องใช้เรือเป็นพาหะนพเข้าออกหมู่บ้าน โดยที่สถานีวัดน้ำ Y-52 บ้านวังจิก อ.โพธิ์ประทับช้าง วัดระดับปัจจุบันได้ 07.66 ระดับตลิ่ง 06.31 เมตร ระดับน้ำทรงตัวในช่วง 1-2 วันนี้ แต่ยังสูงกว่าตลิ่ง 01.35 เมตร ทั้งนี้พื้นที่ 5 อำเภอดังกล่าวได้รับผลกระทบจากแม่น้ำยมล้นตลิ่ง มาตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลานานกว่า 2 เดือน โดยเพาะชาวบ้านตำบลรังนก อำเภอสามง่าม ถูกน้ำท่วมเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
JJNY : คนไทยสับสนมาก บัตร 4 ใบ 6 คำถาม│‘ดุสิตโพล’ชี้ผลสำรวจเชื่อมั่น‘ภท.’│พิจิตรยังวิกฤต น้ำท่วม│39 จว.เตือนฝนถล่มหนัก
https://www.matichon.co.th/politics/news_5408216
.
นิด้าโพล เผยผลสำรวจ คนไทยสับสนมาก บัตร 4 ใบ 6 คำถาม ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
.
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “บัตรลงคะแนน 4 ใบ 6 คำถาม จะไหวไหม” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7-9 ตุลาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนต่อบัตรลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่าง โดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
.
จากการสำรวจเมื่อถามความสับสนเกี่ยวกับบัตรลงคะแนน 4 ใบ รวม 6 คำถาม (บัตรเลือก ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้งหนึ่งใบ; บัตรเลือก ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อหนึ่งใบ; บัตรลงคะแนนประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหนึ่งใบ สองข้อ; บัตรลงคะแนนประชามติเรื่องการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 หนึ่งใบ สองข้อ) ในการเลือกตั้งครั้งหน้าของประชาชนทั่วไป พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 48.55 ระบุว่า สับสนมาก รองลงมา ร้อยละ 30.61 ระบุว่า ค่อนข้างสับสน ร้อยละ 11.99 ระบุว่า ไม่สับสนเลย และร้อยละ 8.85 ระบุว่า ไม่ค่อยสับสน
.
ด้านความสับสนเกี่ยวกับบัตรลงคะแนน 4 ใบ รวม 6 คำถาม ในการเลือกตั้งครั้งหน้าของตนเอง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 34.73 ระบุว่า ไม่สับสนเลย รองลงมา ร้อยละ 26.80 ระบุว่า สับสนมาก ร้อยละ 23.36 ระบุว่า ค่อนข้างสับสน และร้อยละ 15.11 ระบุว่า ไม่ค่อยสับสน
.
สำหรับความเพียงพอของระยะเวลา 4 เดือน ภายใต้รัฐบาลนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในการเตรียม ความพร้อมเลือกตั้งและสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 30.23 ระบุว่า ไม่เพียงพอเลย รองลงมา ร้อยละ 24.43 ระบุว่า เพียงพอแน่นอน ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ค่อนข้างเพียงพอ ร้อยละ 20.53 ระบุว่า ไม่ค่อยเพียงพอ และร้อยละ 2.67 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
.
ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการทำประชามติยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ในวันเดียวกัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 49.16 ระบุว่า เห็นด้วยที่จะมีการดำเนินการทั้งหมดในวันเดียวกัน รองลงมา ร้อยละ 26.11 ระบุว่า ควรแยกการดำเนินทั้งสามเรื่องเป็นคนละวันกัน ร้อยละ 12.60 ระบุว่า ควรแยกเฉพาะการลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ออกไปอีกวัน ร้อยละ 5.42 ระบุว่า ควรแยกเฉพาะการทำประชามติเรื่องการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ออกไปอีกวัน ร้อยละ 3.89 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ และร้อยละ 2.82 ระบุว่า ควรแยกเฉพาะการทำประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกไปอีกวัน
.
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.70 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.28 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก โดยตัวอย่าง ร้อยละ 47.94 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.06 เป็นเพศหญิง
.
ตัวอย่างร้อยละ 12.13 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.34 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 25.80 อายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตัวอย่าง ร้อยละ 95.49 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.82 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.69 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ
.
ตัวอย่างร้อยละ 35.58 สถานภาพโสด ร้อยละ 62.21 สมรส และร้อยละ 2.21 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ โดยตัวอย่าง ร้อยละ 0.38 ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 17.18 จบการศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 34.96 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 11.91 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 30.84 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.73 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
.
ตัวอย่างร้อยละ 8.93 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 18.85 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 21.07 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 11.53 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.04 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.77 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงานและร้อยละ 4.81 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
.
ตัวอย่างร้อยละ 19.47 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 3.66 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 14.35 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 34.20 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 10.53 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 4.96 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 2.37 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001-50,000 บาท ร้อยละ 1.06 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,001-60,000 บาท ร้อยละ 0.31 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 60,001-70,000 บาท ร้อยละ 0.08 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 70,001-80,000 บาท ร้อยละ 0.38 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 80,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 8.63 ไม่ระบุรายได้.
.
.
‘ดุสิตโพล’ ชี้ผลสำรวจประชาชนเชื่อมั่น ‘ภท.’ แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้มากกว่า ‘ปชน.’
https://www.dailynews.co.th/news/5196605/
.
"สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง "นโยบายเศรษฐกิจแบบแจก ช่วยจริงหรือแค่ชั่วคราว" โดยผลสำรวจระบุว่า พรรคการเมืองที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกินได้คือ พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 19.87 รองลงมาคือ พรรคประชาชน ร้อยละ 17.37
.
.