ใจเป็นที่รวมทั้ง กุศลและอกุศล เป็นความรู้สึกในขณะนั้น
เมื่อจิตเป็นกุศล ใจก็เป็นสุข เมื่อจิตเป็นอกุศลจิตก็ทุกข์
จิตกับใจ เป็นดั่งน้ำสี มันแยกกันอยู่ จิตเป็นดั่งตัวจิต ใจเป็นเจตสิก
เห็นใจเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ให้หยุดนิดหนึ่ง จิตมันจะทวนได้เองว่า ขณะนี้ใจมันเป็นอย่างนี้เพราะอะไร
แต่จิตมันเกิดดับรวดเร็วมาก เราจะไม่มีทางเห็น กระบวนการปรุงแต่งร่วมกันไปมา ระหว่างจิตกับใจนั้น
การจะทำให้เห็นกระบวนการนี้ได้ จึงต้องทำให้มันเกิดช้าลง ตัวที่มาหน่วงนี้ เรียกว่า“ สติ”
เมื่อมีสติ จะเห็นการแยกกันระหว่าง“จิตกับใจ”
“เมื่อเห็นภาพ เกิดวิญญานทางตา ( เกิดจิต) เกิดเวทนา สุข ทุกข์ เฉยๆ (ใจ) นี่เป็นเพราะจิตและใจ เกิดดับรวดเร็วมากจนสังเกตุไม่ได้
จึงต้องอาศัยสติ “ทั้งจิตและใจ จึงอยู่ภายใต้การเห็นของผู้ดู สติ ”
จิต ใจ สติ ผู้ดู
เมื่อจิตเป็นกุศล ใจก็เป็นสุข เมื่อจิตเป็นอกุศลจิตก็ทุกข์
จิตกับใจ เป็นดั่งน้ำสี มันแยกกันอยู่ จิตเป็นดั่งตัวจิต ใจเป็นเจตสิก
เห็นใจเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ให้หยุดนิดหนึ่ง จิตมันจะทวนได้เองว่า ขณะนี้ใจมันเป็นอย่างนี้เพราะอะไร
แต่จิตมันเกิดดับรวดเร็วมาก เราจะไม่มีทางเห็น กระบวนการปรุงแต่งร่วมกันไปมา ระหว่างจิตกับใจนั้น
การจะทำให้เห็นกระบวนการนี้ได้ จึงต้องทำให้มันเกิดช้าลง ตัวที่มาหน่วงนี้ เรียกว่า“ สติ”
เมื่อมีสติ จะเห็นการแยกกันระหว่าง“จิตกับใจ”
“เมื่อเห็นภาพ เกิดวิญญานทางตา ( เกิดจิต) เกิดเวทนา สุข ทุกข์ เฉยๆ (ใจ) นี่เป็นเพราะจิตและใจ เกิดดับรวดเร็วมากจนสังเกตุไม่ได้
จึงต้องอาศัยสติ “ทั้งจิตและใจ จึงอยู่ภายใต้การเห็นของผู้ดู สติ ”