สุขภาพป่วยใจ ป่วยจิต ระดับไหน? อย่าปล่อยไว้ ต้องรีบพบแพทย์ ก่อนสาย





สุขภาพป่วยใจ ป่วยจิต ระดับไหน? อย่าปล่อยไว้ ต้องรีบพบแพทย์ ก่อนสาย


 
 

KEYPOINTS

อาการป่วยทางใจ หรือ 'ไข้ใจ' คือกลุ่มอาการทางจิตใจที่ส่งผลให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างยากลำบาก 


•  เบื้องต้นเช็กสัญญาณเตือนทางใจ  3 ด้าน ได้แก่ ด้านอารมณ์  ด้านความคิด มักพบว่าเนื้อหาความคิด ผิดไปจากปกติ และด้านพฤติกรรม 


•  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ตรวจสุขภาพประจำปีผ่อนคลายด้วยงานอดิเรก  ฝึกสมาธิ และควรปรึกษาคนรอบข้าง  หรือนักจิตวิทยา และจิตแพทย์
 
ยุคปัจจุบันผู้คนใส่ใจและหันมาดูแลสุขภาพจิตกันมากขึ้น จึงทำให้การมาพบจิตแพทย์เป็นเรื่องปกติ แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงมีทัศนคติไม่ดีต่อการมาพบจิตแพทย์ บางคนอายที่คนในครอบครัวป่วยเป็นโรคทางจิตเวช หรืออายเมื่อตนเองต้องเป็นผู้มาพบจิตแพทย์


ในปี 2567 มีผู้เข้ารับบริการด้านจิตเวชกว่า 2.9 ล้านคน แต่มีผู้มีปัญหาสุขภาพจิตที่แท้จริงอาจสูงถึง 10 ล้านคน สะท้อนว่ายังมีผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่ไม่ได้เข้ารับการรักษา โดยข้อมูลการประเมินตนเองพบ

ผู้เครียดสูง 15.5%
เสี่ยงซึมเศร้า 17.2%
เสี่ยงฆ่าตัวตาย 10.6% 

ทราบหรือไม่ว่า ผู้ที่ไปพบจิตแพทย์ไม่ได้หมายความว่า เป็นผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมด แต่เขาเหล่านั้นอาจมาขอคำแนะนำ หรือปรึกษาปัญหาต่างๆ ที่ทำให้ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ หรือปัญหานั้นๆ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต การเรียนรู้และการทำงาน ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องมาพบจิตแพทย์

 3 สัญญาณเตือน เข้าข่ายกำลังป่วยใจ
“วินิตรา แก้วสง่า”พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลมนารมย์ อธิบายว่า เมื่อเราสังเกตเห็นว่าคนรอบข้างหรือตนเองเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ก็ควรมาพบจิตแพทย์ เพื่อประเมินอาการและรักษา โดยขอแบ่งสัญญาณเตือนออกเป็น 3 ด้าน เพื่อให้เข้าใจและนำไปใช้ได้อย่างง่ายๆ ดังนี้


 1. สัญญาณเตือนด้านอารมณ์
มีความกังวลทุกข์ใจ ซึมเศร้า ตลอดเวลา ไม่หายไป
หวาดระแวงในทุกๆ เรื่อง มีอารมณ์หงุดหงิดมากผิดปกติ
รู้สึกเครียดตลอดเวลา
มีความกระวนกระวายใจ และอยู่ไม่นิ่ง


2. สัญญาณเตือนด้านความคิด มักพบว่าเนื้อหาความคิด ผิดไปจากปกติ
ไม่มีสมาธิในการทำงาน ทำกิจกรรมต่างๆ และหลงลืมมากกว่าผิดปกติ
การตัดสินใจหรือการแก้ไขปัญหาไม่ได้ ในทุกๆ เรื่องแม้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
ได้ยินเสียงแว่วหรือเห็นภาพที่ผู้อื่นไม่เห็น
มีความคิดทำร้ายตนเอง และความคิดว่ามีคนมาปองร้าย
มีการใช้คำพูดหรือคิด หมกมุ่นในเรื่องอดีต มีความคิดที่เร็ว คิดหลายเรื่อง คิดฟุ้งซ่าน


3. สัญญาณเตือนด้านพฤติกรรม หรือร่างกาย
ไม่สนใจดูแลตนเองเหมือนเมื่อก่อน ปล่อยตัวไม่สนใจสิ่งแวดล้อม แยกตัวไม่พบปะผู้คนเหมือนเคย
นอนไม่หลับหรืออาจนอนมากเกินปกติ
เบื่ออาหาร หรือรับประทานอาหารมากเกินปกติ
ใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย ใช้จ่ายโดยไม่ยั้งคิด
ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่มาก
 
.
 
เข้าจิตเข้าใจ 'อาการป่วยทางใจ'


อาการป่วยทางใจ หรือ 'ไข้ใจ' คือ กลุ่มอาการทางจิตใจที่ส่งผลให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างยากลำบาก ปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบว่าตัวเองกำลังเผชิญกับอาการป่วยทางใจ ในขณะที่หลายคนทราบว่าตนเองกำลังป่วย แต่ไม่มาพบแพทย์


หลายคนอาจนึกกลัวเมื่อต้องเข้าพบจิตแพทย์ แต่หากพบก็ยังได้รู้ว่าอย่างน้อย เราได้หยุดยั้งความร้ายแรงที่เกิดขึ้นในอนาคตได้ 



5 โรคทางใจที่พบบ่อย


1. โรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า เป็นภาวะที่ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกท้อแท้ เบื่อหน่าย หดหู่ สะเทือนใจง่าย และรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ไม่มีความสุขกับกิจกรรมที่เคยชอบทำ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ผู้ป่วยอาจรู้สึกแย่ลงและเสี่ยงต่อการเลือกจบชีวิตตัวเอง


2.โรควิตกกังวล

เราสามารถสังเกตจากความวิตกกังวลของคนใกล้ตัวในเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น เรื่องครอบครัว เรื่องงาน บางครั้งอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยในทุกวันจนเกิดความเครียดสะสม และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ


 3. โรคไบโพลาร์

โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder)  เป็นภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาระหว่าง บางครั้งร่าเริง บางคราวหดหู่และซึมเศร้าเกินปรกติ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการซึมเศร้าต่อเนื่องนานหลายเดือน ก่อนเข้าสู่ช่วงที่รู้สึกกระฉับกระเฉงและอารมณ์ดีผิดปกติ อาการเหล่านี้มักเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมองโดยมีสารสื่อประสาทที่ไม่สมดุล โดยมีสาเหตุจากพันธุกรรมที่ผิดปกติ รวมถึงสภาพแวดล้อมของผู้ป่วย เช่น การเลี้ยงดูในวัยเด็ก ความเครียด

4. โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD)
โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (Post-Traumatic Stress Disorder : PTSD) คือภาวะผิดปรกติที่เกิดจากประสบการณ์ที่เลวร้ายของผู้ป่วย เช่น เผชิญกับภาวะเฉียดตาย ถูกทำร้าย หรือเห็นคนใกล้ตัวเสียชีวิต ผู้ป่วยจึงเกิดความกลัวว่าจะเกิดซ้ำ จนมีอาการหวาดระแวง ตกใจง่าย กังวลในเรื่องเล็กน้อย และคิดถึงเหตุการณ์นั้นซ้ำ ๆ 


5. โรคแพนิค

โรคแพนิค (Panic Disorder) คือภาวะทางใจที่ก่อให้เกิดอาการกลัวและวิตกกังวลขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ อาการที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากระบบประสาทอัตโนมัติไวต่อสิ่งกระตุ้น ผู้ป่วยจึงมีอาการหายใจติดขัด หัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะ จุกแน่น อึดอัด หรือรู้สึกคล้ายจะเป็นลม ผู้ป่วยหลายคนมักคิดว่าตนเองกำลังหัวใจวายหรือเป็นโรคร้ายแรงอยู่บ่อยครั้ง

รักษาอาการป่วยทางใจ

โดยทั่วไปเราสามารถแบ่งการรักษาเป็น 2 แนวทางหลัก ดังนี้

•  การใช้ยา มีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับสมดุลสารเคมีในสมอง ผู้ป่วยจึงมีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข

•  การบำบัด เน้นพูดคุยและบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยจิตแพทย์จะจัดกิจกรรมที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย บางรายอาจต้องบำบัดการใช้ยาและสารเสพติด



นอกจากนี้ คนในครอบครัวควรเปิดใจรับฟังถึงปัญหา รวมถึงควรทำความเข้าใจและให้กำลังใจผู้ป่วย โดยที่ไม่มองว่าผู้ป่วยเป็นบุคคลอันตราย ก็จะเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจ และหายเป็นปกติได้เร็วขึ้น


แยกระหว่าง 'ป่วยทางใจ' กับ 'หัวใจเต้นผิดจังหวะ'

กรณีของผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
มักมีอัตราการเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติ น้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาที หรือเร็วกว่าปกติ มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เช่น เต้น ๆ หยุด ๆ หรือเต้นเร็วสลับช้า ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจยืนยันด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ขณะที่มีอาการจะช่วยบอกว่ามีหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่และเป็นชนิดใด

ภาวะดังกล่าวอาจสืบเนื่องจากการสูบบุหรี่ การดื่มชา กาแฟ ความเครียด หรืออาการป่วยทางใจโดยเฉพาะโรคแพนิค
โรคหัวใจผิดจังหวะ รักษาหายไหม
ปัจจุบันสามารถรักษาโรคนี้ได้หลายวิธี แพทย์จะพิจารณาจากระดับความรุนแรงของโรค


ในเบื้องต้น แพทย์อาจให้ผู้ป่วยรับประทานยาเพื่อควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ
ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) โดยการฝังอุปกรณ์บนผนังหน้าอกใต้ผิวหนังในรายที่หัวใจเต้นช้า


แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้สายสวนจี้กล้ามเนื้อหัวใจ โดยปล่อยคลื่นเสียงวิทยุเข้าไปกำจัดเนื้อเยื่อหัวใจที่เป็นสาเหตุทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจทำงานผิดปกติ เพิ่มโอกาสการหายขาดให้แก่ผู้ป่วยถึง 95-99% และมีผลข้างเคียงน้อย 



ดูแลสุขภาพร่างกายและจิตไปพร้อมกัน

• รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นรับประทานเนื้อปลา ซึ่งอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 รวมถึง

• เพื่อป้องกันโรคหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงของทอด เบเกอรี่ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของครีมเทียม

• ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อวัน

• นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและมีคุณภาพอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง

• ขยับเคลื่อนไหวและออกกำลังกายแต่พอดี

• งดสูบบุหรี่หรือใช้สารเสพติด

• ตรวจสุขภาพประจำปีและปฏิบัติตามคำ
แนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

• ผ่อนคลายด้วยงานอดิเรกที่ชอบ ท่องเที่ยว ฝึกสมาธิ หรือทำงานจิตอาสา

• ควรปรึกษาคนรอบข้าง นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เพื่อหาหนทางแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม


 
อ้างอิง: โรงพยาบาลรามคำแหง , โรงพยาบาลมนารมย์



ข่าวจาก : กรุงเทพธุรกิจ


https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1201788
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่