สัปดาห์ที่ผ่านมาโรงหนังเทรอบให้กับ ธี่หยด 3 จนเกือบหมด แต่ว่ายังมีหนังจีนที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งแทรกลงโรงมากับเขาด้วย คือ Dongji Rescue หนังจีนฟอร์มยักษ์ที่ว่ากันว่าใช้เงินลงทุนสร้างกว่า 80 ล้านเหรียญ!!!
หนังกล่าวถึงเหตุการณ์สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 ปี ค.ศ.1942 เมื่อเรือลิสบอนมารู ของกองทัพญี่ปุ่น ถูกเรือดำน้ำของสหรัฐฯยิงขีปนาวุธเข้าใส่ ใกล้น่านน้ำหมู่เกาะโจวซาน โดยไม่รู้ว่าภายในเรือได้มีการแอบขนส่งเชลยศึกชาวอังกฤษจำนวนกว่า 1,800 คน เดินทางจากฮ่องกงไปญี่ปุ่น เพื่อใช้ในภารกิจลับขององค์พระจักรพรรดิ แต่เรื่องราวกลับบานปลาย เมื่อ 1 ในเชลยศึกชาวอังกฤษที่โดยสารมากับเรือ ได้ตกเรือลอยคอมาเจอกับ 2 หนุ่มชาวประมงที่อาศัยอยู่บนเกาะตงจี๋ และถูกช่วยชีวิตให้ขึ้นมาบนเกาะ แต่โชคร้ายที่บนเกาะยังมีฐานทัพญี่ปุ่นอยู่บนเกาะด้วย เมื่อข่าวแพร่ออกไป กองทัพญี่ปุ่นจึงกลับมาไล่ล่าทั้งเชลยศึก และชาวบ้านบนเกาะ เพื่อปิดข่าวไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามได้รู้ ก่อนที่เรื่องราวจะลามปามไปเป็นการสังหารหมู่
ความรู้สึกหลังดูก็คือ เชื่อแล้วว่าหนังลงทุนกว่า 80 ล้านเหรียญ เพราะสเกลหนังมันใหญ่จริง เรียกว่าถ้าเป็นหนังเอเซียก็คือฟอร์มยักษ์แล้วหล่ะครับ ตัวหนังแฝงไปด้วยความรุนแรงในระดับนึง (ก็เป็นหนังในช่วงสงครามอ่ะเนอะ) แต่ก็ไม่ได้ Hard Core มาก แบบหนังชาติอื่น ๆ สมัยนี้ที่ทำกัน อันนี้ยังมีหลบมุมกล้อง มีตัดภาพให้มีแต่เสียง ถ่ายไกล ๆ บ้างแบบนี้
สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้ก็คือ ภาพสวยมาก ภาพสวยจริง เทคนิคการถ่ายทำคือดี CG เนียนและสวยใช้ได้เลย งานอาร์ตเวิร์คคือดี แม้คอสตูมและเมกอัพตัวละครเอกจะดูแปลก ๆ ไปบ้าง แต่ก็ไม่ดูโดดอะไร ทำให้เห็นว่าวงการภาพยนต์จีนเค้าพัฒนาด้านเทคนิคไปไกลเทียบชั้น Hollywood แล้วก็ว่าได้
แต่ด้วยความที่เป็นหนังจีน ที่ทำเพื่อเชิดชูคนจีนให้เป็นฮีโร่ หนังจึงยังคงไม่หลุดพ้นวนเวียนแบบหนังจีนที่หลาย ๆ คน ที่ถ้าดูหนังจีนบ่อยก็จะพอเดาได้ไม่ยาก ในด้านตัวบทจึงยังมีปัญหาอยู่บ้าง ข้อแรกคือหนังย้วยมาก บางช่วงไม่มีอะไรแต่เดินเรื่องช้ามาก บางช่วงน่าจะดึงเวลาสร้างอารมณ์ร่วม กลับรวบรัดไปซะอย่างนั้น แถมจุดพีคของหนังยังให้ความรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะ คือ ดึงอารมณ์เราขึ้นไป แล้วก็หย่อนลงมา เป็นอย่างนี้ 2 - 3 รอบ ทำให้พอถึงจุดพีคสุดท้ายของเรื่องจึงรู้สึกว่าไม่สุดแค่นั้นเอง
นักแสดงก็แสดงได้ดี แต่บางทีบทก็ให้ตัวละครทำอะไรแบบไม่ค่อยฉลาด เพียงเพื่อจะดึงเนื้อเรื่องไปสู่ส่วนดราม่า และนักแสดงบางตัวก็มีความเก่งกาจมากราวกับ Aqua Man ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะพวกเขาเป็นคนทะเล แต่พอจะตุยกลับตุยง่าย ๆ แบบ อ้าว! ตุยแล้วหรอ เพียงเพื่อจะดึงเนื้อเรื่องไปสู่ส่วนดราม่าให้ได้อีกเช่นกัน แต่ที่ชอบอีกอย่าง คือ บทของนักแสดงพวกทหารญี่ปุ่น คือ มันทำให้เรารู้สึกโกรธเกลียดทหารพวกนี้ได้แบบสุด ๆ เหมือนกัน แบบว่าทำไมมันชั่วช้าเลวทรามได้ขนาดนี้
แต่สุดท้ายแล้วส่วนที่ชอบที่สุดของผม กลับเป็น End Credit คือ ดู End Credit แล้วน้ำตาคลอ ๆ โอ้มายก็อด.. ดูหนังมาทั้งเรื่อง กลับมาซึ้งกับ End Credit 555
อ้อ! อีกอย่างเลย คือ ไม่คิดเลยว่าหนังที่มีความรุนแรง ต่อสู้ตูมตามอะไรแบบนี้ มีบางช่วงที่เหมือนจะให้อารมณ์ Y อยู่ด้วย ไม่รู้ว่า ผกก. ตั้งใจหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ อ่ะครับ 555
สรุป หนังดูได้ไม่น่าเกลียด ภาพสวยมาก ถ่ายทำดี สเกลหนังใหญ่บึ้ม แต่โดยรวมหนังยังอยู่ในขนบของหนังที่เชิดชูฮีโร่จีนอยู่ครับ
ใครได้ไปดูมาแล้วบ้าง คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ
Dongji Rescue พลิกนรกกู้ชีพ.. ใครไปดูมาแล้วบ้าง ชอบ ไม่ชอบ อย่างไรกันบ้างครับ
สัปดาห์ที่ผ่านมาโรงหนังเทรอบให้กับ ธี่หยด 3 จนเกือบหมด แต่ว่ายังมีหนังจีนที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งแทรกลงโรงมากับเขาด้วย คือ Dongji Rescue หนังจีนฟอร์มยักษ์ที่ว่ากันว่าใช้เงินลงทุนสร้างกว่า 80 ล้านเหรียญ!!!
หนังกล่าวถึงเหตุการณ์สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 ปี ค.ศ.1942 เมื่อเรือลิสบอนมารู ของกองทัพญี่ปุ่น ถูกเรือดำน้ำของสหรัฐฯยิงขีปนาวุธเข้าใส่ ใกล้น่านน้ำหมู่เกาะโจวซาน โดยไม่รู้ว่าภายในเรือได้มีการแอบขนส่งเชลยศึกชาวอังกฤษจำนวนกว่า 1,800 คน เดินทางจากฮ่องกงไปญี่ปุ่น เพื่อใช้ในภารกิจลับขององค์พระจักรพรรดิ แต่เรื่องราวกลับบานปลาย เมื่อ 1 ในเชลยศึกชาวอังกฤษที่โดยสารมากับเรือ ได้ตกเรือลอยคอมาเจอกับ 2 หนุ่มชาวประมงที่อาศัยอยู่บนเกาะตงจี๋ และถูกช่วยชีวิตให้ขึ้นมาบนเกาะ แต่โชคร้ายที่บนเกาะยังมีฐานทัพญี่ปุ่นอยู่บนเกาะด้วย เมื่อข่าวแพร่ออกไป กองทัพญี่ปุ่นจึงกลับมาไล่ล่าทั้งเชลยศึก และชาวบ้านบนเกาะ เพื่อปิดข่าวไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามได้รู้ ก่อนที่เรื่องราวจะลามปามไปเป็นการสังหารหมู่
ความรู้สึกหลังดูก็คือ เชื่อแล้วว่าหนังลงทุนกว่า 80 ล้านเหรียญ เพราะสเกลหนังมันใหญ่จริง เรียกว่าถ้าเป็นหนังเอเซียก็คือฟอร์มยักษ์แล้วหล่ะครับ ตัวหนังแฝงไปด้วยความรุนแรงในระดับนึง (ก็เป็นหนังในช่วงสงครามอ่ะเนอะ) แต่ก็ไม่ได้ Hard Core มาก แบบหนังชาติอื่น ๆ สมัยนี้ที่ทำกัน อันนี้ยังมีหลบมุมกล้อง มีตัดภาพให้มีแต่เสียง ถ่ายไกล ๆ บ้างแบบนี้
สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้ก็คือ ภาพสวยมาก ภาพสวยจริง เทคนิคการถ่ายทำคือดี CG เนียนและสวยใช้ได้เลย งานอาร์ตเวิร์คคือดี แม้คอสตูมและเมกอัพตัวละครเอกจะดูแปลก ๆ ไปบ้าง แต่ก็ไม่ดูโดดอะไร ทำให้เห็นว่าวงการภาพยนต์จีนเค้าพัฒนาด้านเทคนิคไปไกลเทียบชั้น Hollywood แล้วก็ว่าได้
แต่ด้วยความที่เป็นหนังจีน ที่ทำเพื่อเชิดชูคนจีนให้เป็นฮีโร่ หนังจึงยังคงไม่หลุดพ้นวนเวียนแบบหนังจีนที่หลาย ๆ คน ที่ถ้าดูหนังจีนบ่อยก็จะพอเดาได้ไม่ยาก ในด้านตัวบทจึงยังมีปัญหาอยู่บ้าง ข้อแรกคือหนังย้วยมาก บางช่วงไม่มีอะไรแต่เดินเรื่องช้ามาก บางช่วงน่าจะดึงเวลาสร้างอารมณ์ร่วม กลับรวบรัดไปซะอย่างนั้น แถมจุดพีคของหนังยังให้ความรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะ คือ ดึงอารมณ์เราขึ้นไป แล้วก็หย่อนลงมา เป็นอย่างนี้ 2 - 3 รอบ ทำให้พอถึงจุดพีคสุดท้ายของเรื่องจึงรู้สึกว่าไม่สุดแค่นั้นเอง
นักแสดงก็แสดงได้ดี แต่บางทีบทก็ให้ตัวละครทำอะไรแบบไม่ค่อยฉลาด เพียงเพื่อจะดึงเนื้อเรื่องไปสู่ส่วนดราม่า และนักแสดงบางตัวก็มีความเก่งกาจมากราวกับ Aqua Man ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะพวกเขาเป็นคนทะเล แต่พอจะตุยกลับตุยง่าย ๆ แบบ อ้าว! ตุยแล้วหรอ เพียงเพื่อจะดึงเนื้อเรื่องไปสู่ส่วนดราม่าให้ได้อีกเช่นกัน แต่ที่ชอบอีกอย่าง คือ บทของนักแสดงพวกทหารญี่ปุ่น คือ มันทำให้เรารู้สึกโกรธเกลียดทหารพวกนี้ได้แบบสุด ๆ เหมือนกัน แบบว่าทำไมมันชั่วช้าเลวทรามได้ขนาดนี้
แต่สุดท้ายแล้วส่วนที่ชอบที่สุดของผม กลับเป็น End Credit คือ ดู End Credit แล้วน้ำตาคลอ ๆ โอ้มายก็อด.. ดูหนังมาทั้งเรื่อง กลับมาซึ้งกับ End Credit 555
อ้อ! อีกอย่างเลย คือ ไม่คิดเลยว่าหนังที่มีความรุนแรง ต่อสู้ตูมตามอะไรแบบนี้ มีบางช่วงที่เหมือนจะให้อารมณ์ Y อยู่ด้วย ไม่รู้ว่า ผกก. ตั้งใจหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ อ่ะครับ 555
สรุป หนังดูได้ไม่น่าเกลียด ภาพสวยมาก ถ่ายทำดี สเกลหนังใหญ่บึ้ม แต่โดยรวมหนังยังอยู่ในขนบของหนังที่เชิดชูฮีโร่จีนอยู่ครับ
ใครได้ไปดูมาแล้วบ้าง คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ