เราเคยเซฟข้อมูลการตอบคำถามนี้เก็บไว้ เพราะเห็นว่ามันมีประโยชน์
(แต่ต้องขออภัยว่าไม่ได้บันทึกแหล่งข้อมูลต้นทางไว้ แต่ไม่ใช่มาจาก AI นะคะ น่าจะมาจากเว็บนึง)
ขอเอามาแบ่งปันเผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้าง
คำถาม :
มีพระและฆราวาสหลายท่านนำธรรมะของพระพุทธองค์
แล้วนำมาสอนคนอื่น แล้วก็มีผู้คนชื่นชม
แล้วก็เรียกผู้สอนเหล่านั้นว่า "อาจารย์"
เราสงสัยว่า สมัยนี้ ทำไมมีอาจารย์หน้าใหม่เยอะจัง?
เราเลยลองดูการสอนของท่านเหล่านั้นบางท่าน
เราไม่แน่ใจว่า พวกท่านสอนถูกทางหรือไม่?
จะมีวิธีพิจารณาได้อย่างไรคะ?
------------
คำตอบ :
ประเด็นนี้มีรายละเอียดเยอะครับ
ขอให้ข้อมูลคร่าวๆ ประมาณนี้นะครับ
1. ผู้ฝึกฝนแต่ละคนก็มีปัญญา/จริตนิสัย ต่างกันไป
การพิจารณาว่า เราควรฟังคำสอนจากครูอาจารย์ท่านไหน?
เทคนิคการฝึกแบบไหนที่เหมาะกับตัวเรา? เป็นต้น
เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดต่างกันไปในแต่ละคน
ก็ต้องลองศึกษา ลองฝึกฝน ลองสังเกตผลดูครับ
บางคนฟังอาจารย์ A สอน แต่ไม่เข้าใจการอธิบายแบบนั้น
แต่พอได้ฟังอาจารย์ B สอนในหลักการเดียวกัน กลับเข้าใจได้ง่ายกว่า
ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ครูอาจารย์แต่ละท่าน (ที่สอนถูกทาง)
ก็อาจจะมีเทคนิคในการสอน มีการใช้คำอธิบายที่ต่างกันไป
2. ประเด็นที่บอกว่า "ไม่แน่ใจว่า ท่านเหล่านั้นสอนถูกต้องหรือไม่?"
การที่เราจะไปพิจารณาว่าอะไรถูกหรือผิด
เราก็ต้อง "รู้จริง" และแม่นยำมากพอสมควรว่า
"อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง"
เพราะถ้าเรายังไม่ "รู้จริง" มากพอ
เราก็อาจจะพิจารณาแบบผิดๆ ได้
เช่น คนที่สอนถูกแล้ว แต่เราก็ไปว่าเขาสอนผิด
หรือคนที่สอนผิด เรากลับไปสนับสนุนว่าเขาสอนดี สอนให้เข้าใจง่าย เป็นต้น
การพิจารณาเรื่องพวกนี้ บางกรณีก็ไม่ง่าย
แต่บางกรณีก็ไม่ยากนัก
โดยพิจารณาแก่นคำสอนหรือหลักการเบื้องต้นบางอย่าง
ซึ่งหากเราศึกษา ทำความเข้าใจ และได้ผ่านการฝึกฝนอย่างถูกต้องมามากพอสมควร
ถ้าใครสอนผิดไปจากแก่นหรือหลักการพื้นฐาน
เราก็พอจะสังเกตได้ไม่ยากนัก
เพราะฉะนั้น ในหลายกรณี มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิจารณาว่าใครสอนถูกหรือผิด
เพราะมันมีรายละเอียดยิบย่อยในคำสอนและเทคนิคการปฏิบัติ
ซึ่งแต่ละคนสอนสามารถประยุกต์ได้ต่างกัน
หรือถ้าเป็นเรื่องสภาวธรรมขั้นลึกๆ สูงๆ นั้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิจารณาได้ด้วยปัญญาของตนเองว่า
"ใครสอนถูกทาง ใครสอนคลาดเคลื่อน"
เพราะเราเองก็ยังไม่ได้รู้จริง ยังไม่ได้เข้าถึงสภาวธรรมขั้นสูงแบบนั้น
เพราะฉะนั้น ใครจะอ้างอะไรยังไง? เราก็ไม่รู้จริงว่า สิ่งไหนมันถูกต้องหรือไม่?
เรื่องพวกนี้ ก็ตอบได้กว้างๆ ว่า
...ในเมื่อเราไม่มีปัญญามากพอ เราก็ต้องหาคำแนะนำจากครูอาจารย์ที่ "รู้จริง"
ที่มีประสบการณ์ในการภาวนา หรือด้านปริยัติมากพอ ซึ่งก็น่าจะหาได้ไม่ยากนัก
มีครูอาจารย์ไม่น้อย ที่เราพอจะเชื่อใจในคำแนะนำของท่านได้
ส่วนอาจารย์หน้าใหม่ที่เป็นพระหรือฆราวาสหลายท่านนั้น
หากเราไม่มั่นใจว่า ท่านเหล่านั้นสอนถูกทางหรือไม่?
บางคำสอนก็ดูเหมือนจะใช่ แต่บางคำสอนก็ดูแปร่งๆ แปลกๆ เป็นต้น
เรื่องพวกนี้ หากมันยากเกินปัญญาของเราที่จะพิจารณาว่า..ท่านเหล่านั้นสอนผิดหรือถูก?
เรารู้สึกสงสัยว่า ทำไมถึงมีคนจำนวนไม่น้อยเรียนรู้จากท่านเหล่านั้น?
แต่เรากลับฟังแล้วไม่เข้าใจ หรือไม่แน่ใจในการสอนเหล่านั้น เป็นต้น
ก็ขอแนะนำว่า... ทางออกง่ายๆ ก็คือ
..อาจารย์ท่านไหนที่เราไม่มั่นใจ แล้วเราไม่อยากเสี่ยง
เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้จากท่านเหล่านั้น ... ก็แค่นั้นเองครับ
รวมทั้งถ้าไม่มีความจำเป็นใดๆ
เราก็ไม่ต้องไปด่วนตัดสินว่า
...ท่านเหล่านั้นสอนผิดหรือถูก? น่าเคารพหรือไม่?
เพราะมันมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา เช่น
เจตนาในการสอน มีเรื่องลาภ-ยศ-สรรเสริญ แฝงอยู่ด้วยหรือไม่?
หรือเป็นการแสดงออกของวิปัสสนูปกิเลส
(คือ เชื่อว่าตนบรรลุผลอะไรบางอย่าง แล้วก็มีความหลง มีความอยากที่จะสั่งสอนผู้อื่น)
หรือท่านเหล่านั้นมีการประพฤติปฏิบัติที่เหมาะสมมากน้อยแค่ไหน? เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่หมดหนทางที่จะหาครูอาจารย์ที่น่าเชื่อถือ
เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงเรียนรู้จากผู้ที่เราไม่มั่นใจ
เราก็เลือกรับฟังคำสอน/คำแนะนำ
จากครูอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่เป็นที่รู้จัก
หรือที่อ้างอิงได้ หรือที่น่าเชื่อถือ
ซึ่งมีอยู่มากมายพอสมควร
หรือในกรณีที่ได้ตรวจสอบอย่างรอบคอบ และมั่นใจแล้วว่า
อาจารย์ท่านนั้นสอนผิดหรือคลาดเคลื่อนไป หรือประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสม
หากเราพอจะพูดคุย ให้ข้อมูลแก่ผู้ฝึกฝนท่านอื่นๆ ได้ เพื่อเตือนไม่ให้หลงผิด
เราก็ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณาทำตามสมควรครับ
ที่สำคัญ คือ ชาวพุทธต้องมีเมตตา/ใจกว้าง/สุภาพ ต่อเพื่อนมนุษย์ที่แตกต่างนะครับ
อะไรที่พอจะสะกิดเตือนกันได้ ก็ใช้สติปัญญาพิจารณาในการลงมือทำอย่างเหมาะสม
ไม่ใช่ทำไปเพราะไม่พอใจ หรือโกรธเกลียด ฯลฯ
3. ผู้ที่จะสอนธรรมะ หรือรวมถึงการภาวนา (สติปัฏฐาน)
ก็ต้องเข้าใจแก่นคำสอนอย่างดีพอสมควรเพื่อที่จะเผยแผ่อย่างถูกต้อง
ซึ่งมันรวมถึงการต้องฝึกฝนตนเอง
มีประสบการณ์มากพอกับการภาวนา และการเอาธรรมะไปใช้ในชีวิต
และก็พร้อมที่จะทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีได้พอสมควร
ยังไม่นับรวมถึงสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ ความสามารถในการสื่อสาร
เพื่อให้เข้าถึงผู้คนที่มีความหลากหลายทั้งระดับสติปัญญาและจริตนิสัย
การจะเข้าใจเข้าถึง "แก่นธรรม" นั้น
เป็นเรื่องของการฝึกฝนให้เกิดผลจริง เกิดผลที่ถูกต้องแก่ตนเอง
ไม่ใช่แค่การจดจำข้อมูลในตำราได้แม่นยำ
คิดวิเคราะห์-เชื่อมโยง-บรรยายหลักการต่างๆ ได้ลึกล้ำ
...แต่ขาดการฝึกฝนภาวนาอย่างมากพอ
หรือถ้าคนที่เป็นผู้สอน ผ่านการฝึกแบบผิดๆ ได้ผลที่คลาดเคลื่อน
แล้วเข้าใจว่า กำลังฝึกอย่างถูกต้อง ได้ผลที่ถูกต้อง แล้วก็นำมาสอนต่อๆ กันไป
ก็ส่งผลเสียได้ครับ
4. ลองตรวจสอบใจตัวเองว่า
ที่เราต้องการแสวงหาครูอาจารย์ใหม่ๆ
เพราะเรามี "กิเลส" มี "ความอยาก" ชักนำอยู่ด้วยหรือไม่?
เช่น อยากได้ทางลัดในการฝึกที่ให้ผลเร็วกว่าเดิม
อยากบรรลุธรรมเร็วๆ อยากก้าวหน้าไวๆ เป็นต้น
มีประโยคหนึ่งซึ่งเคยได้ยินมาหลายวาระ ประมาณว่า "หยุดแสวงหาครูอาจารย์"
ใจความสำคัญของประโยคนี้
ไม่ได้หมายความว่า ในการศึกษาธรรม หรือฝึกภาวนา เราไม่จำเป็นต้องมีครูอาจารย์
หรือบังคับให้เราต้องมีครูอาจารย์เพียงคนเดียว ห้ามมีอาจารย์หลายท่าน
...ไม่ใช่แบบนั้น!!
แต่สื่อความหมายประมาณว่า
เมื่อได้เจอครูอาจารย์ที่เราพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว
ลองฝึกฝน ลองสัมผัสผลด้วยตนเองแล้ว
ถือเป็นครูอาจารย์ที่สอนไปตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้
สอนให้เราเข้าใจได้ สอนด้วยวิธีการที่ถูกจริตเรา หรืออื่นๆ
... เราก็สมควรให้เวลามากๆ ในการฝึกฝนตามคำแนะนำของอาจารย์นั้นๆ
และเลิกเอาเวลาไปเที่ยวแสวงหาครูอาจารย์คนโน้นคนนี้จนมากเกินจำเป็น
การเรียนรู้จากหลายครูอาจารย์..ไม่ใช่เรื่องผิดครับ
ผู้ฝึกฝนบางท่านที่มีประสบการณ์มาพอสมควร
ก็สามารถนำคำแนะนำของหลายอาจารย์
มาปรับประยุกต์ให้เหมาะกับตัวเองได้ครับ
แล้วแต่ผู้ฝึกฝนแต่ละท่านจะพิจารณาตามความเหมาะสมเลยครับ
เพียงแต่ว่า ประโยคที่ว่า "หยุดแสวงหาครูอาจารย์" นั้น
เป็นคำเตือนที่มีประโยชน์ในหลายบริบท เช่น
ผู้ฝึกฝนหลายท่าน เวลาฝึกฝนไปสักพักหรือฝึกไปนานๆ
แล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่ก้าวหน้าเร็วดั่งใจ
หรือได้ฟังคำแนะนำจากอาจารย์ท่านเดิมๆ แล้วรู้สึกจำเจ
ก็อยากจะหาฟังคำแนะนำจากอาจารย์ท่านใหม่ๆ บ้าง
เผื่อจะได้คำแนะนำ ได้มุมมองอะไรใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นเราไม่ให้เฉื่อยชา
หรือครูอาจารย์ใหม่ๆ อาจจะสอนได้ถูกจริตมากกว่า ทำให้ก้าวหน้าได้เร็วขึ้น หรืออื่นๆ
เรื่องพวกนี้..ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรครับ
แต่สิ่งที่พบเจอบ่อยๆ คือ
"การขาดความเพียรมักเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ฝึกฝนหลายท่าน"
หมายความว่า พอเราพบเจอครูอาจารย์ที่สอนถูกต้อง
และสอนให้เราเข้าใจแนวทางการฝึกดีแล้ว
แต่เราเองนั่นแหละ ที่อาจจะยังมีความเพียรน้อย
ยังไม่ขยันฝึกฝนให้ต่อเนื่องมากพอ
พอผ่านเวลาไปสักพัก เราก็จะเริ่มรู้สึกเนือยๆ เฉื่อยชา
รู้สึกว่าเราฝึกตามอาจารย์ท่านนี้แล้ว แต่เรายังไม่ก้าวหน้ามากนัก
เราก็เลยต้องหาดู/หาฟังคลิปใหม่ๆ ของอาจารย์ท่านใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ
ใครที่รู้สึกแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดมหันต์อะไรนะครับ
แต่ลองตรวจสอบใจตัวเองดูด้วยว่า
จริงๆ แล้ว เราคุ้นชินหรือติดนิสัยในการชอบอ่าน/ดู/ฟังธรรมมากเกินไปหรือเปล่า?
เราแบ่งเวลาส่วนใหญ่ให้การอ่าน/ดู/ฟังธรรมมากไป
แต่แบ่งเวลาส่วนน้อยให้การฝึกฝนปฏิบัติ
เราก็เลยรู้สึกว่า ฝึกแล้วไม่ค่อยก้าวหน้า
(ที่จริง คือ ฝึกฝนน้อยไป มีความเพียรไม่เหมาะสมต่อเนื่อง)
ก็เลยอยากหาครูอาจารย์ใหม่ๆ มาช่วยแนะนำ
เผื่อว่าจะ "คลิ๊ก" โดนใจ ทำให้ฝึกได้ก้าวหน้าเร็วกว่าเดิม อะไรประมาณนั้น
...ซึ่งมันก็จะกลายเป็นว่า
เราเอาเวลาส่วนใหญ่ไปใช้กับความเพลิดเพลินในการฟังธรรม
และติดนิสัยในการหาอะไรใหม่ๆ มาอ่าน มาดู มาฟัง อยู่เรื่อยๆ
แทนที่จะให้เวลาส่วนใหญ่กับการฝึกฝนปฏิบัติ
(ทั้งๆ ที่ก็รู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่ยังเอาชนะความขี้เกียจฝึกไม่ได้)
เราจึงต้องย้อนกลับมาดูตัวเองว่า
ที่ผ่านมา ที่เรายังไม่ก้าวหน้ามากพอ
เพราะเรายังมีความเพียรน้อย ไม่ขยันฝึก??
หรือยังฝึกไม่ต่อเนื่อง??
หรือเราฝึกผิดวิธี?? ฯลฯ
แล้วเราก็ต้องหาทางปรับปรุงแก้ไขที่ต้นเหตุ
ไม่ใช่มุ่งแสวงหา "ถ้อยคำใหม่ๆ" หรือ "เทคนิคใหม่ๆ"
หรือ "ครูอาจารย์ใหม่ๆ" มาคอยกระตุ้นอยู่เสมอ
พอเบื่อๆ พอรู้สึกไม่ก้าวหน้า ก็แสวงหาอาจารย์ใหม่ไปเรื่อยๆ
ปัญหานี้ ก็สามารถสืบสาวย้อนมาที่ตัวเราเองที่ยังเพียรไม่พอ..ใช่หรือไม่?
หรือเราต้องตรวจเช็คดูว่า เราฝึกถูกวิธีหรือไม่? วางจิตวางใจถูกต้องหรือไม่?
หรือหากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า
แนวทางของอาจารย์ท่านเดิมอาจจะไม่ถูกจริตของตัวเอง
การได้พบเจอครูอาจารย์ท่านใหม่ที่สอนได้ถูกทางและถูกจริตมากกว่า
ทำให้เราก้าวหน้าได้ดีขึ้น ก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิดอะไรครับ
เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะครับ
แต่ละท่านก็ต้องลองพิจารณาหาความเหมาะสมกับตัวเองดูครับ
ยุคนี้มีอาจารย์สอนธรรมะเยอะ แต่คุณภาพไม่เยอะเท่าปริมาณ
(แต่ต้องขออภัยว่าไม่ได้บันทึกแหล่งข้อมูลต้นทางไว้ แต่ไม่ใช่มาจาก AI นะคะ น่าจะมาจากเว็บนึง)
ขอเอามาแบ่งปันเผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้าง
คำถาม :
มีพระและฆราวาสหลายท่านนำธรรมะของพระพุทธองค์
แล้วนำมาสอนคนอื่น แล้วก็มีผู้คนชื่นชม
แล้วก็เรียกผู้สอนเหล่านั้นว่า "อาจารย์"
เราสงสัยว่า สมัยนี้ ทำไมมีอาจารย์หน้าใหม่เยอะจัง?
เราเลยลองดูการสอนของท่านเหล่านั้นบางท่าน
เราไม่แน่ใจว่า พวกท่านสอนถูกทางหรือไม่?
จะมีวิธีพิจารณาได้อย่างไรคะ?
------------
คำตอบ :
ประเด็นนี้มีรายละเอียดเยอะครับ
ขอให้ข้อมูลคร่าวๆ ประมาณนี้นะครับ
1. ผู้ฝึกฝนแต่ละคนก็มีปัญญา/จริตนิสัย ต่างกันไป
การพิจารณาว่า เราควรฟังคำสอนจากครูอาจารย์ท่านไหน?
เทคนิคการฝึกแบบไหนที่เหมาะกับตัวเรา? เป็นต้น
เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดต่างกันไปในแต่ละคน
ก็ต้องลองศึกษา ลองฝึกฝน ลองสังเกตผลดูครับ
บางคนฟังอาจารย์ A สอน แต่ไม่เข้าใจการอธิบายแบบนั้น
แต่พอได้ฟังอาจารย์ B สอนในหลักการเดียวกัน กลับเข้าใจได้ง่ายกว่า
ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ครูอาจารย์แต่ละท่าน (ที่สอนถูกทาง)
ก็อาจจะมีเทคนิคในการสอน มีการใช้คำอธิบายที่ต่างกันไป
2. ประเด็นที่บอกว่า "ไม่แน่ใจว่า ท่านเหล่านั้นสอนถูกต้องหรือไม่?"
การที่เราจะไปพิจารณาว่าอะไรถูกหรือผิด
เราก็ต้อง "รู้จริง" และแม่นยำมากพอสมควรว่า
"อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง"
เพราะถ้าเรายังไม่ "รู้จริง" มากพอ
เราก็อาจจะพิจารณาแบบผิดๆ ได้
เช่น คนที่สอนถูกแล้ว แต่เราก็ไปว่าเขาสอนผิด
หรือคนที่สอนผิด เรากลับไปสนับสนุนว่าเขาสอนดี สอนให้เข้าใจง่าย เป็นต้น
การพิจารณาเรื่องพวกนี้ บางกรณีก็ไม่ง่าย
แต่บางกรณีก็ไม่ยากนัก
โดยพิจารณาแก่นคำสอนหรือหลักการเบื้องต้นบางอย่าง
ซึ่งหากเราศึกษา ทำความเข้าใจ และได้ผ่านการฝึกฝนอย่างถูกต้องมามากพอสมควร
ถ้าใครสอนผิดไปจากแก่นหรือหลักการพื้นฐาน
เราก็พอจะสังเกตได้ไม่ยากนัก
เพราะฉะนั้น ในหลายกรณี มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิจารณาว่าใครสอนถูกหรือผิด
เพราะมันมีรายละเอียดยิบย่อยในคำสอนและเทคนิคการปฏิบัติ
ซึ่งแต่ละคนสอนสามารถประยุกต์ได้ต่างกัน
หรือถ้าเป็นเรื่องสภาวธรรมขั้นลึกๆ สูงๆ นั้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิจารณาได้ด้วยปัญญาของตนเองว่า
"ใครสอนถูกทาง ใครสอนคลาดเคลื่อน"
เพราะเราเองก็ยังไม่ได้รู้จริง ยังไม่ได้เข้าถึงสภาวธรรมขั้นสูงแบบนั้น
เพราะฉะนั้น ใครจะอ้างอะไรยังไง? เราก็ไม่รู้จริงว่า สิ่งไหนมันถูกต้องหรือไม่?
เรื่องพวกนี้ ก็ตอบได้กว้างๆ ว่า
...ในเมื่อเราไม่มีปัญญามากพอ เราก็ต้องหาคำแนะนำจากครูอาจารย์ที่ "รู้จริง"
ที่มีประสบการณ์ในการภาวนา หรือด้านปริยัติมากพอ ซึ่งก็น่าจะหาได้ไม่ยากนัก
มีครูอาจารย์ไม่น้อย ที่เราพอจะเชื่อใจในคำแนะนำของท่านได้
ส่วนอาจารย์หน้าใหม่ที่เป็นพระหรือฆราวาสหลายท่านนั้น
หากเราไม่มั่นใจว่า ท่านเหล่านั้นสอนถูกทางหรือไม่?
บางคำสอนก็ดูเหมือนจะใช่ แต่บางคำสอนก็ดูแปร่งๆ แปลกๆ เป็นต้น
เรื่องพวกนี้ หากมันยากเกินปัญญาของเราที่จะพิจารณาว่า..ท่านเหล่านั้นสอนผิดหรือถูก?
เรารู้สึกสงสัยว่า ทำไมถึงมีคนจำนวนไม่น้อยเรียนรู้จากท่านเหล่านั้น?
แต่เรากลับฟังแล้วไม่เข้าใจ หรือไม่แน่ใจในการสอนเหล่านั้น เป็นต้น
ก็ขอแนะนำว่า... ทางออกง่ายๆ ก็คือ
..อาจารย์ท่านไหนที่เราไม่มั่นใจ แล้วเราไม่อยากเสี่ยง
เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้จากท่านเหล่านั้น ... ก็แค่นั้นเองครับ
รวมทั้งถ้าไม่มีความจำเป็นใดๆ
เราก็ไม่ต้องไปด่วนตัดสินว่า
...ท่านเหล่านั้นสอนผิดหรือถูก? น่าเคารพหรือไม่?
เพราะมันมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา เช่น
เจตนาในการสอน มีเรื่องลาภ-ยศ-สรรเสริญ แฝงอยู่ด้วยหรือไม่?
หรือเป็นการแสดงออกของวิปัสสนูปกิเลส
(คือ เชื่อว่าตนบรรลุผลอะไรบางอย่าง แล้วก็มีความหลง มีความอยากที่จะสั่งสอนผู้อื่น)
หรือท่านเหล่านั้นมีการประพฤติปฏิบัติที่เหมาะสมมากน้อยแค่ไหน? เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่หมดหนทางที่จะหาครูอาจารย์ที่น่าเชื่อถือ
เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงเรียนรู้จากผู้ที่เราไม่มั่นใจ
เราก็เลือกรับฟังคำสอน/คำแนะนำ
จากครูอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่เป็นที่รู้จัก
หรือที่อ้างอิงได้ หรือที่น่าเชื่อถือ
ซึ่งมีอยู่มากมายพอสมควร
หรือในกรณีที่ได้ตรวจสอบอย่างรอบคอบ และมั่นใจแล้วว่า
อาจารย์ท่านนั้นสอนผิดหรือคลาดเคลื่อนไป หรือประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสม
หากเราพอจะพูดคุย ให้ข้อมูลแก่ผู้ฝึกฝนท่านอื่นๆ ได้ เพื่อเตือนไม่ให้หลงผิด
เราก็ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณาทำตามสมควรครับ
ที่สำคัญ คือ ชาวพุทธต้องมีเมตตา/ใจกว้าง/สุภาพ ต่อเพื่อนมนุษย์ที่แตกต่างนะครับ
อะไรที่พอจะสะกิดเตือนกันได้ ก็ใช้สติปัญญาพิจารณาในการลงมือทำอย่างเหมาะสม
ไม่ใช่ทำไปเพราะไม่พอใจ หรือโกรธเกลียด ฯลฯ
3. ผู้ที่จะสอนธรรมะ หรือรวมถึงการภาวนา (สติปัฏฐาน)
ก็ต้องเข้าใจแก่นคำสอนอย่างดีพอสมควรเพื่อที่จะเผยแผ่อย่างถูกต้อง
ซึ่งมันรวมถึงการต้องฝึกฝนตนเอง
มีประสบการณ์มากพอกับการภาวนา และการเอาธรรมะไปใช้ในชีวิต
และก็พร้อมที่จะทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีได้พอสมควร
ยังไม่นับรวมถึงสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ ความสามารถในการสื่อสาร
เพื่อให้เข้าถึงผู้คนที่มีความหลากหลายทั้งระดับสติปัญญาและจริตนิสัย
การจะเข้าใจเข้าถึง "แก่นธรรม" นั้น
เป็นเรื่องของการฝึกฝนให้เกิดผลจริง เกิดผลที่ถูกต้องแก่ตนเอง
ไม่ใช่แค่การจดจำข้อมูลในตำราได้แม่นยำ
คิดวิเคราะห์-เชื่อมโยง-บรรยายหลักการต่างๆ ได้ลึกล้ำ
...แต่ขาดการฝึกฝนภาวนาอย่างมากพอ
หรือถ้าคนที่เป็นผู้สอน ผ่านการฝึกแบบผิดๆ ได้ผลที่คลาดเคลื่อน
แล้วเข้าใจว่า กำลังฝึกอย่างถูกต้อง ได้ผลที่ถูกต้อง แล้วก็นำมาสอนต่อๆ กันไป
ก็ส่งผลเสียได้ครับ
4. ลองตรวจสอบใจตัวเองว่า
ที่เราต้องการแสวงหาครูอาจารย์ใหม่ๆ
เพราะเรามี "กิเลส" มี "ความอยาก" ชักนำอยู่ด้วยหรือไม่?
เช่น อยากได้ทางลัดในการฝึกที่ให้ผลเร็วกว่าเดิม
อยากบรรลุธรรมเร็วๆ อยากก้าวหน้าไวๆ เป็นต้น
มีประโยคหนึ่งซึ่งเคยได้ยินมาหลายวาระ ประมาณว่า "หยุดแสวงหาครูอาจารย์"
ใจความสำคัญของประโยคนี้
ไม่ได้หมายความว่า ในการศึกษาธรรม หรือฝึกภาวนา เราไม่จำเป็นต้องมีครูอาจารย์
หรือบังคับให้เราต้องมีครูอาจารย์เพียงคนเดียว ห้ามมีอาจารย์หลายท่าน
...ไม่ใช่แบบนั้น!!
แต่สื่อความหมายประมาณว่า
เมื่อได้เจอครูอาจารย์ที่เราพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว
ลองฝึกฝน ลองสัมผัสผลด้วยตนเองแล้ว
ถือเป็นครูอาจารย์ที่สอนไปตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้
สอนให้เราเข้าใจได้ สอนด้วยวิธีการที่ถูกจริตเรา หรืออื่นๆ
... เราก็สมควรให้เวลามากๆ ในการฝึกฝนตามคำแนะนำของอาจารย์นั้นๆ
และเลิกเอาเวลาไปเที่ยวแสวงหาครูอาจารย์คนโน้นคนนี้จนมากเกินจำเป็น
การเรียนรู้จากหลายครูอาจารย์..ไม่ใช่เรื่องผิดครับ
ผู้ฝึกฝนบางท่านที่มีประสบการณ์มาพอสมควร
ก็สามารถนำคำแนะนำของหลายอาจารย์
มาปรับประยุกต์ให้เหมาะกับตัวเองได้ครับ
แล้วแต่ผู้ฝึกฝนแต่ละท่านจะพิจารณาตามความเหมาะสมเลยครับ
เพียงแต่ว่า ประโยคที่ว่า "หยุดแสวงหาครูอาจารย์" นั้น
เป็นคำเตือนที่มีประโยชน์ในหลายบริบท เช่น
ผู้ฝึกฝนหลายท่าน เวลาฝึกฝนไปสักพักหรือฝึกไปนานๆ
แล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่ก้าวหน้าเร็วดั่งใจ
หรือได้ฟังคำแนะนำจากอาจารย์ท่านเดิมๆ แล้วรู้สึกจำเจ
ก็อยากจะหาฟังคำแนะนำจากอาจารย์ท่านใหม่ๆ บ้าง
เผื่อจะได้คำแนะนำ ได้มุมมองอะไรใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นเราไม่ให้เฉื่อยชา
หรือครูอาจารย์ใหม่ๆ อาจจะสอนได้ถูกจริตมากกว่า ทำให้ก้าวหน้าได้เร็วขึ้น หรืออื่นๆ
เรื่องพวกนี้..ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรครับ
แต่สิ่งที่พบเจอบ่อยๆ คือ
"การขาดความเพียรมักเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ฝึกฝนหลายท่าน"
หมายความว่า พอเราพบเจอครูอาจารย์ที่สอนถูกต้อง
และสอนให้เราเข้าใจแนวทางการฝึกดีแล้ว
แต่เราเองนั่นแหละ ที่อาจจะยังมีความเพียรน้อย
ยังไม่ขยันฝึกฝนให้ต่อเนื่องมากพอ
พอผ่านเวลาไปสักพัก เราก็จะเริ่มรู้สึกเนือยๆ เฉื่อยชา
รู้สึกว่าเราฝึกตามอาจารย์ท่านนี้แล้ว แต่เรายังไม่ก้าวหน้ามากนัก
เราก็เลยต้องหาดู/หาฟังคลิปใหม่ๆ ของอาจารย์ท่านใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ
ใครที่รู้สึกแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดมหันต์อะไรนะครับ
แต่ลองตรวจสอบใจตัวเองดูด้วยว่า
จริงๆ แล้ว เราคุ้นชินหรือติดนิสัยในการชอบอ่าน/ดู/ฟังธรรมมากเกินไปหรือเปล่า?
เราแบ่งเวลาส่วนใหญ่ให้การอ่าน/ดู/ฟังธรรมมากไป
แต่แบ่งเวลาส่วนน้อยให้การฝึกฝนปฏิบัติ
เราก็เลยรู้สึกว่า ฝึกแล้วไม่ค่อยก้าวหน้า
(ที่จริง คือ ฝึกฝนน้อยไป มีความเพียรไม่เหมาะสมต่อเนื่อง)
ก็เลยอยากหาครูอาจารย์ใหม่ๆ มาช่วยแนะนำ
เผื่อว่าจะ "คลิ๊ก" โดนใจ ทำให้ฝึกได้ก้าวหน้าเร็วกว่าเดิม อะไรประมาณนั้น
...ซึ่งมันก็จะกลายเป็นว่า
เราเอาเวลาส่วนใหญ่ไปใช้กับความเพลิดเพลินในการฟังธรรม
และติดนิสัยในการหาอะไรใหม่ๆ มาอ่าน มาดู มาฟัง อยู่เรื่อยๆ
แทนที่จะให้เวลาส่วนใหญ่กับการฝึกฝนปฏิบัติ
(ทั้งๆ ที่ก็รู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่ยังเอาชนะความขี้เกียจฝึกไม่ได้)
เราจึงต้องย้อนกลับมาดูตัวเองว่า
ที่ผ่านมา ที่เรายังไม่ก้าวหน้ามากพอ
เพราะเรายังมีความเพียรน้อย ไม่ขยันฝึก??
หรือยังฝึกไม่ต่อเนื่อง??
หรือเราฝึกผิดวิธี?? ฯลฯ
แล้วเราก็ต้องหาทางปรับปรุงแก้ไขที่ต้นเหตุ
ไม่ใช่มุ่งแสวงหา "ถ้อยคำใหม่ๆ" หรือ "เทคนิคใหม่ๆ"
หรือ "ครูอาจารย์ใหม่ๆ" มาคอยกระตุ้นอยู่เสมอ
พอเบื่อๆ พอรู้สึกไม่ก้าวหน้า ก็แสวงหาอาจารย์ใหม่ไปเรื่อยๆ
ปัญหานี้ ก็สามารถสืบสาวย้อนมาที่ตัวเราเองที่ยังเพียรไม่พอ..ใช่หรือไม่?
หรือเราต้องตรวจเช็คดูว่า เราฝึกถูกวิธีหรือไม่? วางจิตวางใจถูกต้องหรือไม่?
หรือหากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า
แนวทางของอาจารย์ท่านเดิมอาจจะไม่ถูกจริตของตัวเอง
การได้พบเจอครูอาจารย์ท่านใหม่ที่สอนได้ถูกทางและถูกจริตมากกว่า
ทำให้เราก้าวหน้าได้ดีขึ้น ก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิดอะไรครับ
เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะครับ
แต่ละท่านก็ต้องลองพิจารณาหาความเหมาะสมกับตัวเองดูครับ