แค่รู้ลมหายใจ ถึงกับทำให้ขึ้นสวรรค์ได้เลยเหรอ

สวัสดีครับ พอดีเพิ่งเริ่มศึกษาศาสนาพุทธ แล้วก็ได้ไปลองอ่านลองฟัง ลองปฏิบัติดูบ้าง ซึ่งเท่าที่ฟังมา พระศาสดาทรงกล่าวถึงอานิสงส์ของอานาปานสติ เอาไว้มากทีเดียว ทรงถึงกับกล่าวไว้ว่า แม้เจริญเพียงชั่วลัดนิ้วมือ กุศลที่ได้นั้นยิ่งกว่าใส่บาตรกับพระอรหันต์ และขอแค่เพียงกระทำให้ได้วันละสามเวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือ ก็ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่ห่างจากพระองค์แล้ว

อยากทราบว่า อานาปานสติ มีกำลังถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ ทั้งที่ยังไม่ได้ถึงขั้นวิปัสสนา เข้าไปตามเห็นเกิดดับ
แปลว่าแบบนี้ แค่เพียงเจริญอานาปานสติ โดยที่ไม่ต้องไปทำมหาทายอะไร เมื่อขันธ์นี้แตกเราก็สามารถเข้าสู่ภพภูมิที่ดีได้เลยใช่ไหมครับ
แล้วคนที่แค่เพียงเจริญอานาปานสติ สมมติไม่เคยเข้าไปทำปริญญา 3 เพื่อละกามหรือศึกษาปฏิจสมุปบาทเลย จะสามารถบรรลุธรรมได้ไหมครับ

รบกวนขอความรู้ด้วยครับ ขอบคุณครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
มีอานิสงส์มากอย่างที่กล่าวจริงครับ
เพียงแต่การลงมือทำมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น และต้องเป็นสัมมาสมาธิ

ทาน ศีล สมาธิ+วิปัสสนา=ปัญญา
จะเห็นว่ามันเป็นระดับขั้นของมันอยู่ ไม่รู้จักทำทาน ก็ยากที่จะรักษาศีลไว้ได้
เมื่อไม่มีศีล สมาธิก็ไม่ทรงตัว ไม่สามารถเข้าถึงสมาธิระดับฌาน
เมื่อไม่ได้ฌานอะไรที่เขาว่าดี ให้พิจารณาเป็นวิปัสสนา ก็ได้แค่คิดตามที่เขาว่ามา(สัญญา)
แต่ไม่ได้เข้าใจด้วยปัญญา กิเลสก็ไม่ได้หายไปไหน เพราะยังทำตัวเหมือนเดิม

การฝึกสมาธิก็เหมือนการออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
จะเอาร่างกายไปทำภารกิจอะไรต่อก็ได้
ในทางไม่ดี อย่างพวกหมอผี เอาสมาธิไปหากิน สมาธิแบบนี้อยู่ได้ไม่นาน

เอาสมาธิไปใช้วิปัสสนา วิปัสสนาก็เหมือนการลับมีดให้คม
แล้วเอาร่างกายที่แข็งแรง ออกแรงเอามีดที่พึ่งลับเสร็จ
ไปฟันสู้กิเลส ยิ่งแรงเยอะ(ฌานสูง) มีดคมมากๆ(วิปัสสนาจนถ่องแท้)
ก็สามารถชนะกิเลส / สังโยชน์ข้อเทพๆ ได้ไปเรื่อยๆ
***สังโยชน์ 3ข้อแรกของพระโสดาบัน ต้องใช้สมาธิระดับ ฌาน1

สมาธิเป็น 1  ใน 10 หนทางแห่งบุญกุศล ที่แบ่งได้ ทั้งทางกาย วาจา ใจ
การฝึกใจคือขั้นสูงสุด ที่เริ่มด้วยสมถภาวนา และต่อด้วย วิปัสสนาภาวนา
ทำไมการฝึกใจจึงเป็นขั้นสูงสุด เพราะใจเป็นนาย กาย วาจา เป็นบ่าว
เมื่อควบคุมจิตใจได้ ที่เหลือก็เป็นเรื่องง่าย เมื่อเริ่มฝึกใจ หรือ ฝึกสมาธิ
ก็เริ่มนับถอยหลังได้อย่างเป็นทางการ ในการที่จะชนะกิเลสถาวร จนถึงขั้นสิ้นภพสิ้นชาติ

อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีระดับของมันอยู่
หากไม่ผ่านขั้นก่อนหน้ามาแล้ว จะไม่สามารถทรงขั้นที่สูงกว่าได้
หาก พร่องใน ทาน ศีล สมาธิย่อยไม่คืบหน้า ไม่ใช่แค่นั้น ไม่คิดจะทำสมาธิเลยต่างหาก
เพราะระดับจิตใจละมุนไม่พอ ละเอียดไม่พอที่จะ จับมันมาฝึก กักขัง หน่วงเนี่ยว
การคิดที่จะฝึกสมาธิ มันฟ้องในตัวเอง ว่าท่านๆได้ก้าวข้ามบารมีต้นๆมาแล้ว
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม ทำบุญในขั้นที่สูงกว่า จึงได้บุญมากกว่า
เพราะบุญต้นๆ ท่านๆได้ทำไว้พอประมาณแล้ว

อีกอย่าง ศาสนาพุทธ สอนเรื่อง กฏแห่งกรรม เป็นหัวใจหลัก
ทำอะไรแบบไหน ก็ได้รับผลแบบนั้นไม่ขาดไม่เกิน ตรงๆตัว
เช่น หากเน้นฝึกสมาธิ เพราะมีระดับบุญสูงกว่า ไม่สนการทำทาน
แน่นอนว่าได้อานิสงส์เยอะกว่าทาน เพราะก้าวเข้าใกล้พระนิพพานมากกว่า
แต่ระหว่างทาง ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะขัดสน อดๆอยากๆ เป็นต้น
ระดับบุญที่สูงกว่า หมายถึง ระดับบุญที่จะพาก้าวข้ามการเวียนว่ายตายเกิด
ไม่ได้หมายความว่า ฝึกสมาธิจะได้ผลบุญในทุกมิติ อยากได้ผลบุญแบบไหน ต้องทำแบบ ตรงๆตัว
ยกเว้นว่า การฝึกสมาธิไปช่วยเพิ่มระดับบุญโดยรวมอย่างมาก
จนทำให้สามารถ มีโอกาสได้รับผลบุญอื่นๆในอดีตที่ยังไม่ให้ผล ให้ได้รับผลเร็วขึ้น
คล้ายๆที่เรียกว่าสะเดาะเคราะห์ สร้างบุญเพิ่ม เพื่อให้สามารถรับผลบุญอื่นๆเพิ่มได้
หรือ ที่เรียกว่าบุญส่ง บุญเสริม

---------------------------

ก่อนจะไปละกาม เอาชนะ สังโยชน์ 3ข้อแรกให้ได้ก่อน 3ข้อแรก เป็นระดับพระโสดาบันพระสกิทาคามี
ละโกรธ ละกาม เป็นขอบเขตของพระอนาคามี จะได้ไม่ต้องไปสู้กับข้าศึกผิดตัว
เพราะแพ้แล้ว จะหมดกำลังใจไปเสียก่อน เหมือนที่ทุกคนชอบหลงตัวเอง
เอาความคิดตนเองเป็นใหญ่ ข้าดีกว่าเก่งกว่าเอง ข้ากล่าวถูกเองกล่าวผิด
พวกนี้เป็นสิ่งที่เอาชนะได้ยาก เพราะ มานะ เป็นสังโยชน์ตัวแม่ เฉพาะพระอรหันต์ถึงจะชนะได้
เวลามีคนโต้เถียงกันไปมาในนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะสอนธรรมะข้ออื่นๆมาเยอะ
ในเมื่อไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ย่อมแสดงความเป็นพระอรหันต์ออกมาไม่ได้

PS: ว่าจะตอบ จขกท สั้นๆ ดันยาว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่