สัญญาณเตือนของ ‘กระเพาะทะลุ’ ภาวะที่อันตรายถึงชีวิต
“ปวดท้องรุนแรง จุกแน่นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน” ซึ่งอาจไม่ใช่แค่โรคกระเพาะธรรมดา ไม่ควรมองข้าม รู้เร็ว รักษาได้
วันนี้ “เดลินิวส์” นำบทความเพจรามาแชนแนล โดยผศ.นพ.พงศศิษฎ์ สิงหทัศน์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุและเวชบำบัดวิกฤตศัลยกรรม ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึง อาการ “ปวดท้องรุนแรง จุกแน่นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน” ซึ่งอาจไม่ใช่แค่โรคกระเพาะธรรมดา
เพราะอาการแบบนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “กระเพาะทะลุ” ภาวะที่อันตรายถึงชีวิตหากไม่รีบได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หลายคนอาจคิดว่าแค่ปวดท้องคงไม่น่ากังวล แต่เมื่อเกิดกระเพาะทะลุขึ้นจริง ๆ จะส่งผลกระทบรุนแรงทั้งระบบทางเดินอาหารและอวัยวะภายในช่องท้อง การรู้ทันอาการ รู้สาเหตุ และการป้องกัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
กระเพาะทะลุ คืออะไร
กระเพาะทะลุ หรือที่เรียกว่า gastric perforation คือภาวะที่ผนังของกระเพาะอาหาร ทำให้กรดในกระเพาะอาหาร เศษอาหาร และเชื้อแบคทีเรียรั่วไหลเข้าสู่โพรงช่องท้อง ภาวะนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากอาจนำไปสู่การติดเชื้อในช่องท้องและกระแสเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
กระเพาะทะลุ เกิดจากอะไร
สาเหตุของกระเพาะทะลุส่วนใหญ่เกิดจากภาวะแผลในกระเพาะอาหารเรื้อรังที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม จนลุกลามลึกลงไปจนทะลุผนัง โดยสาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H. pylori) เป็นสาเหตุหลักของแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น
การใช้ยากลุ่ม NSAIDs เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มไอบูโพรเฟน หรือแอสไพริน เป็นเวลานาน
พฤติกรรมการบริโภค การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือกินอาหารรสจัด เป็นปัจจัยเสริมให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอ
ความเครียดเรื้อรัง มีผลต่อระบบทางเดินอาหารและการหลั่งกรด
อุบัติเหตุหรือบาดเจ็บรุนแรง เช่น การเจาะทะลุจากอุปกรณ์ทางการแพทย์หรืออุบัติเหตุเฉียบพลัน
อาการของกระเพาะทะลุเป็นอย่างไร
อาการของกระเพาะทะลุจะมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยสัญญาณเตือนที่ควรระวัง ได้แก่
ปวดท้องเฉียบพลันและรุนแรง มักเริ่มที่บริเวณใต้ลิ้นปี่หรือกลางท้อง อาการปวดจะเกิดขึ้นทันทีและรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ท้องแข็งและบวม หน้าท้องจะแข็งตึงและบวมผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสหรือกดลงไป
คลื่นไส้และอาเจียน ผู้ป่วยอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ร่วมกับอาการปวดท้อง
ไข้และหนาวสั่น มีไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย ซึ่งเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในช่องท้อง
ชีพจรเต้นเร็วและหายใจหอบเหนื่อย หัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบเหนื่อย อาจเป็นสัญญาณของภาวะช็อกจากการติดเชื้อ
อุจจาระ หรือผายลมน้อยลง การทำงานของระบบทางเดินอาหารอาจลดลง ส่งผลให้มีการขับถ่ายน้อยลง
หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากการรักษาที่ล่าช้าอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบ หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
วิธีป้องกันกระเพาะทะลุ
แม้กระเพาะทะลุจะดูน่ากลัว แต่สามารถป้องกันได้ด้วยวิธีเหล่านี้
1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs โดยไม่จำเป็น
การใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาสเตียรอยด์ เป็นเวลานานสามารถทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลและกระเพาะทะลุได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเหล่านี้ และหากจำเป็นต้องใช้ ควรใช้ในขนาดและระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ
2. งดการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำสามารถทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและกระเพาะทะลุได้ การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดังกล่าว
3. รักษาแผลในกระเพาะอาหารอย่างจริงจัง
หากมีอาการของแผลในกระเพาะอาหาร เช่น ปวดท้อง แสบท้อง หรือจุกแน่น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม การรักษาแผลในกระเพาะอาหารอย่างต่อเนื่องและจริงจังสามารถป้องกันไม่ให้แผลลุกลามจนเกิดกระเพาะทะลุได้
4. จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม
ความเครียดสามารถกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดแผลและกระเพาะทะลุ การจัดการความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกาย นั่งสมาธิ หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดังกล่าว
5. กินอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคืองกระเพาะ
การกินอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้เป็นปกติ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือมันมาก ซึ่งอาจระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหาร
6. หลีกเลี่ยงการกลืนวัตถุแปลกปลอม
การกลืนวัตถุแปลกปลอม เช่น ของมีคมหรือสารกัดกร่อน สามารถทำลายผนังกระเพาะอาหารและทำให้เกิดการทะลุได้ ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการกลืนวัตถุที่อาจเป็นอันตราย
ภาวะแทรกซ้อนของกระเพาะทะลุ
ภาวะเลือดออก
ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียในช่องท้อง
เกิดฝีในช่องท้อง
ติดเชื้อในกระแสเลือด
การรักษากระเพาะทะลุ
การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยมักต้องรักษาในโรงพยาบาลแบบฉุกเฉิน ซึ่งมีแนวทางหลัก ๆ ดังนี้
การผ่าตัด
เป็นการรักษาหลัก เพื่อไปซ่อมรูที่ทะลุ การผ่าตัดมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของแผล รวมถึงสภาพร่างกายของผู้ป่วย การผ่าตัดควรดำเนินการภายใน 8 ชั่วโมงหลังจากวินิจฉัยเพื่อเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว การรักษาโดยไม่ผ่าตัดจะเลือกทำเป็นรายๆไป
การรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
หากกระเพาะทะลุเกิดจากแผลในกระเพาะอาหาร การรักษาแผลเป็นสิ่งสำคัญ แพทย์อาจสั่งยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เช่น ยากลุ่มโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (PPI) รวมถึงในกรณีติดเชื้อ helicobacter pylori ต้องให้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย helicobacter pylori ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของแผลในกระเพาะอาหารด้วย
การรักษาเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
เมื่อกระเพาะทะลุ อาจทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุช่องท้อง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การรักษาประกอบด้วยการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำเพื่อควบคุมการติดเชื้อ และการดูแลรักษาอื่น ๆ ตามอาการของผู้ป่วย
กระเพาะทะลุ เป็นภาวะอันตรายที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากไม่รีบรักษา อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม หากเราเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้น รู้จักป้องกัน และไม่ละเลยสัญญาณจากร่างกาย ก็สามารถหลีกเลี่ยงภาวะนี้ได้ หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการปวดท้องเฉียบพลันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่านิ่งนอนใจ รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อความปลอดภัยของชีวิต
... สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/5118260/
‘หมอสุรัตน์’ เปิด 10 ข้อควรจำ ‘โรคสมองเสื่อม’ เข้าใจก่อนจะหลงลืมตัวเอง
ดูแลมากพอหรือยัง! "หมอสุรัตน์" เปิด 10 ข้อควรจำ "โรคสมองเสื่อม" ถ้าความจำหายไป จะไม่มีวันรู้ด้วยซ้ำว่า “คุณเคยเป็นใคร”
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 68 ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช แพทย์เชี่ยวชาญด้านสมองและระบบประสาท โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “สาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์” ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคสมองเสื่อม โดยระบุว่า บรรยายโรคสมองเสื่อม เข้าใจก่อนจะหลงลืมตัวเอง 10 ข้อ ควรจำ
1.พออายุ 55+ โรคสมองเสื่อมเริ่มแอบมาเยือนเงียบ ๆ
ถึงอายุ 80 ปี โอกาสเป็นสูงถึง 30% — ไม่ใช่โรคหายาก แต่คือศัตรูเงียบที่แทบทุกบ้านต้องเจอ
2.ลืมตอนวัยรุ่น = น่าเอ็นดู / ลืมตอนแก่ = สัญญาณเตือน
ลืมชื่อเพื่อนตอนอายุ 25 คือเรื่องขำ
ลืมว่ากินข้าวหรือยังตอนอายุ 70 คือเรื่องเครียด
3.เจ้าตัวไม่รู้… แต่คนรอบข้างรู้หมด
คนที่เริ่มสมองเสื่อม มักพูดว่า “ฉันไม่ได้เปลี่ยน”
แต่ลูกหลานเห็นว่า พ่อเริ่มพูดซ้ำ ถามซ้ำ หงุดหงิดง่าย — นี่แหละ สัญญาณจริง
4.อย่ารอให้ลืมชื่อ ถึงจะรู้ว่าเป็น
บางคนเริ่มจากนิสัยเปลี่ยน — ใจร้อน หวาดระแวง ไม่ไว้ใจใคร
พอไปหาหมอถึงรู้ว่า สมองเริ่มเสื่อม ไม่ใช่แค่ “อารมณ์เสีย”
5.90% ของความเสี่ยง… ป้องกันได้ ถ้าเริ่มตั้งแต่ยังทำงานไหว
เดินวันละนิด ฝึกคิดวันละหน่อย เลิกของทอด ของหวาน —
นี่คือวัคซีนต้านสมองเสื่อม ที่ดีที่สุด
6.สมองที่เศร้า นานวันเข้า มักเสื่อมเงียบ ๆ
ซึมเศร้า เก็บตัว ไม่เจอใคร ไม่พูดจา — เสี่ยงพังทั้งอารมณ์และระบบประสาท
อย่าปล่อยให้ความเหงากัดกินสมอง
7.คุณใช้เวลานอน 1 ใน 3 ของชีวิต — แต่นอนไม่ดี = สมองพังทั้งวัน
หลับไม่ลึก = สมองไม่ซ่อม = ความจำถอย
อย่าประหยัดเวลานอน แล้วต้องจ่ายด้วยความทรงจำ
8.อาหารเสริมแพงแค่ไหน ก็สู้ “กับข้าวที่กินทุกวัน” ไม่ได้
สมองไม่ได้อยากได้เม็ดวิตามินแพง ๆ
มันอยากได้ผัก ปลา ถั่ว น้ำสะอาด — ทุกวัน
9.เลิกใช้คำว่า “ก็แค่แก่” เป็นข้ออ้าง
หลง ลืม สับสน อารมณ์เหวี่ยง — ถ้าเริ่มมีอาการ รีบไปหาหมอ
ดีกว่ารู้ตัวอีกที… แล้วถามคนข้าง ๆ ว่า “เธอเป็นใคร?”
10.คนที่เราเรียกว่า “ภาระ” เคยอุ้มเราตอนยังเดินไม่ได้
พ่อแม่ที่เป็นสมองเสื่อม ไม่ใช่เขาไม่รักเรา — แต่เขากำลังลืมแม้กระทั่งตัวเอง
หน้าที่ของเราคือ “เข้าใจเขา” เหมือนที่เขาเคยเข้าใจเราตอนเป็นเด็กไร้เดียงสา
คุณดูแลสมองตัวเองมากพอหรือยัง?
เพราะถ้าความจำหายไป… คุณจะไม่มีวันรู้ด้วยซ้ำว่า “คุณเคยเป็นใคร”...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/5119187/
มี 2 เรื่อง สัญญาณเตือนของ ‘กระเพาะทะลุ’ และ 10 ข้อควรจำ ‘โรคสมองเสื่อม’
“ปวดท้องรุนแรง จุกแน่นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน” ซึ่งอาจไม่ใช่แค่โรคกระเพาะธรรมดา ไม่ควรมองข้าม รู้เร็ว รักษาได้
วันนี้ “เดลินิวส์” นำบทความเพจรามาแชนแนล โดยผศ.นพ.พงศศิษฎ์ สิงหทัศน์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุและเวชบำบัดวิกฤตศัลยกรรม ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึง อาการ “ปวดท้องรุนแรง จุกแน่นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน” ซึ่งอาจไม่ใช่แค่โรคกระเพาะธรรมดา
เพราะอาการแบบนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “กระเพาะทะลุ” ภาวะที่อันตรายถึงชีวิตหากไม่รีบได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หลายคนอาจคิดว่าแค่ปวดท้องคงไม่น่ากังวล แต่เมื่อเกิดกระเพาะทะลุขึ้นจริง ๆ จะส่งผลกระทบรุนแรงทั้งระบบทางเดินอาหารและอวัยวะภายในช่องท้อง การรู้ทันอาการ รู้สาเหตุ และการป้องกัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
กระเพาะทะลุ คืออะไร
กระเพาะทะลุ หรือที่เรียกว่า gastric perforation คือภาวะที่ผนังของกระเพาะอาหาร ทำให้กรดในกระเพาะอาหาร เศษอาหาร และเชื้อแบคทีเรียรั่วไหลเข้าสู่โพรงช่องท้อง ภาวะนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากอาจนำไปสู่การติดเชื้อในช่องท้องและกระแสเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
กระเพาะทะลุ เกิดจากอะไร
สาเหตุของกระเพาะทะลุส่วนใหญ่เกิดจากภาวะแผลในกระเพาะอาหารเรื้อรังที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม จนลุกลามลึกลงไปจนทะลุผนัง โดยสาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H. pylori) เป็นสาเหตุหลักของแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น
การใช้ยากลุ่ม NSAIDs เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มไอบูโพรเฟน หรือแอสไพริน เป็นเวลานาน
พฤติกรรมการบริโภค การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือกินอาหารรสจัด เป็นปัจจัยเสริมให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอ
ความเครียดเรื้อรัง มีผลต่อระบบทางเดินอาหารและการหลั่งกรด
อุบัติเหตุหรือบาดเจ็บรุนแรง เช่น การเจาะทะลุจากอุปกรณ์ทางการแพทย์หรืออุบัติเหตุเฉียบพลัน
อาการของกระเพาะทะลุเป็นอย่างไร
อาการของกระเพาะทะลุจะมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยสัญญาณเตือนที่ควรระวัง ได้แก่
ปวดท้องเฉียบพลันและรุนแรง มักเริ่มที่บริเวณใต้ลิ้นปี่หรือกลางท้อง อาการปวดจะเกิดขึ้นทันทีและรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ท้องแข็งและบวม หน้าท้องจะแข็งตึงและบวมผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสหรือกดลงไป
คลื่นไส้และอาเจียน ผู้ป่วยอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ร่วมกับอาการปวดท้อง
ไข้และหนาวสั่น มีไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย ซึ่งเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในช่องท้อง
ชีพจรเต้นเร็วและหายใจหอบเหนื่อย หัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบเหนื่อย อาจเป็นสัญญาณของภาวะช็อกจากการติดเชื้อ
อุจจาระ หรือผายลมน้อยลง การทำงานของระบบทางเดินอาหารอาจลดลง ส่งผลให้มีการขับถ่ายน้อยลง
หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากการรักษาที่ล่าช้าอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบ หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
วิธีป้องกันกระเพาะทะลุ
แม้กระเพาะทะลุจะดูน่ากลัว แต่สามารถป้องกันได้ด้วยวิธีเหล่านี้
1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs โดยไม่จำเป็น
การใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาสเตียรอยด์ เป็นเวลานานสามารถทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลและกระเพาะทะลุได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเหล่านี้ และหากจำเป็นต้องใช้ ควรใช้ในขนาดและระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ
2. งดการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำสามารถทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและกระเพาะทะลุได้ การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดังกล่าว
3. รักษาแผลในกระเพาะอาหารอย่างจริงจัง
หากมีอาการของแผลในกระเพาะอาหาร เช่น ปวดท้อง แสบท้อง หรือจุกแน่น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม การรักษาแผลในกระเพาะอาหารอย่างต่อเนื่องและจริงจังสามารถป้องกันไม่ให้แผลลุกลามจนเกิดกระเพาะทะลุได้
4. จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม
ความเครียดสามารถกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดแผลและกระเพาะทะลุ การจัดการความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกาย นั่งสมาธิ หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดังกล่าว
5. กินอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคืองกระเพาะ
การกินอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้เป็นปกติ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือมันมาก ซึ่งอาจระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหาร
6. หลีกเลี่ยงการกลืนวัตถุแปลกปลอม
การกลืนวัตถุแปลกปลอม เช่น ของมีคมหรือสารกัดกร่อน สามารถทำลายผนังกระเพาะอาหารและทำให้เกิดการทะลุได้ ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการกลืนวัตถุที่อาจเป็นอันตราย
ภาวะแทรกซ้อนของกระเพาะทะลุ
ภาวะเลือดออก
ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียในช่องท้อง
เกิดฝีในช่องท้อง
ติดเชื้อในกระแสเลือด
การรักษากระเพาะทะลุ
การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยมักต้องรักษาในโรงพยาบาลแบบฉุกเฉิน ซึ่งมีแนวทางหลัก ๆ ดังนี้
การผ่าตัด
เป็นการรักษาหลัก เพื่อไปซ่อมรูที่ทะลุ การผ่าตัดมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของแผล รวมถึงสภาพร่างกายของผู้ป่วย การผ่าตัดควรดำเนินการภายใน 8 ชั่วโมงหลังจากวินิจฉัยเพื่อเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว การรักษาโดยไม่ผ่าตัดจะเลือกทำเป็นรายๆไป
การรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
หากกระเพาะทะลุเกิดจากแผลในกระเพาะอาหาร การรักษาแผลเป็นสิ่งสำคัญ แพทย์อาจสั่งยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เช่น ยากลุ่มโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (PPI) รวมถึงในกรณีติดเชื้อ helicobacter pylori ต้องให้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย helicobacter pylori ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของแผลในกระเพาะอาหารด้วย
การรักษาเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
เมื่อกระเพาะทะลุ อาจทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุช่องท้อง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การรักษาประกอบด้วยการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำเพื่อควบคุมการติดเชื้อ และการดูแลรักษาอื่น ๆ ตามอาการของผู้ป่วย
กระเพาะทะลุ เป็นภาวะอันตรายที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากไม่รีบรักษา อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม หากเราเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้น รู้จักป้องกัน และไม่ละเลยสัญญาณจากร่างกาย ก็สามารถหลีกเลี่ยงภาวะนี้ได้ หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการปวดท้องเฉียบพลันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่านิ่งนอนใจ รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อความปลอดภัยของชีวิต
... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/5118260/
‘หมอสุรัตน์’ เปิด 10 ข้อควรจำ ‘โรคสมองเสื่อม’ เข้าใจก่อนจะหลงลืมตัวเอง
ดูแลมากพอหรือยัง! "หมอสุรัตน์" เปิด 10 ข้อควรจำ "โรคสมองเสื่อม" ถ้าความจำหายไป จะไม่มีวันรู้ด้วยซ้ำว่า “คุณเคยเป็นใคร”
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 68 ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช แพทย์เชี่ยวชาญด้านสมองและระบบประสาท โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “สาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์” ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคสมองเสื่อม โดยระบุว่า บรรยายโรคสมองเสื่อม เข้าใจก่อนจะหลงลืมตัวเอง 10 ข้อ ควรจำ
1.พออายุ 55+ โรคสมองเสื่อมเริ่มแอบมาเยือนเงียบ ๆ
ถึงอายุ 80 ปี โอกาสเป็นสูงถึง 30% — ไม่ใช่โรคหายาก แต่คือศัตรูเงียบที่แทบทุกบ้านต้องเจอ
2.ลืมตอนวัยรุ่น = น่าเอ็นดู / ลืมตอนแก่ = สัญญาณเตือน
ลืมชื่อเพื่อนตอนอายุ 25 คือเรื่องขำ
ลืมว่ากินข้าวหรือยังตอนอายุ 70 คือเรื่องเครียด
3.เจ้าตัวไม่รู้… แต่คนรอบข้างรู้หมด
คนที่เริ่มสมองเสื่อม มักพูดว่า “ฉันไม่ได้เปลี่ยน”
แต่ลูกหลานเห็นว่า พ่อเริ่มพูดซ้ำ ถามซ้ำ หงุดหงิดง่าย — นี่แหละ สัญญาณจริง
4.อย่ารอให้ลืมชื่อ ถึงจะรู้ว่าเป็น
บางคนเริ่มจากนิสัยเปลี่ยน — ใจร้อน หวาดระแวง ไม่ไว้ใจใคร
พอไปหาหมอถึงรู้ว่า สมองเริ่มเสื่อม ไม่ใช่แค่ “อารมณ์เสีย”
5.90% ของความเสี่ยง… ป้องกันได้ ถ้าเริ่มตั้งแต่ยังทำงานไหว
เดินวันละนิด ฝึกคิดวันละหน่อย เลิกของทอด ของหวาน —
นี่คือวัคซีนต้านสมองเสื่อม ที่ดีที่สุด
6.สมองที่เศร้า นานวันเข้า มักเสื่อมเงียบ ๆ
ซึมเศร้า เก็บตัว ไม่เจอใคร ไม่พูดจา — เสี่ยงพังทั้งอารมณ์และระบบประสาท
อย่าปล่อยให้ความเหงากัดกินสมอง
7.คุณใช้เวลานอน 1 ใน 3 ของชีวิต — แต่นอนไม่ดี = สมองพังทั้งวัน
หลับไม่ลึก = สมองไม่ซ่อม = ความจำถอย
อย่าประหยัดเวลานอน แล้วต้องจ่ายด้วยความทรงจำ
8.อาหารเสริมแพงแค่ไหน ก็สู้ “กับข้าวที่กินทุกวัน” ไม่ได้
สมองไม่ได้อยากได้เม็ดวิตามินแพง ๆ
มันอยากได้ผัก ปลา ถั่ว น้ำสะอาด — ทุกวัน
9.เลิกใช้คำว่า “ก็แค่แก่” เป็นข้ออ้าง
หลง ลืม สับสน อารมณ์เหวี่ยง — ถ้าเริ่มมีอาการ รีบไปหาหมอ
ดีกว่ารู้ตัวอีกที… แล้วถามคนข้าง ๆ ว่า “เธอเป็นใคร?”
10.คนที่เราเรียกว่า “ภาระ” เคยอุ้มเราตอนยังเดินไม่ได้
พ่อแม่ที่เป็นสมองเสื่อม ไม่ใช่เขาไม่รักเรา — แต่เขากำลังลืมแม้กระทั่งตัวเอง
หน้าที่ของเราคือ “เข้าใจเขา” เหมือนที่เขาเคยเข้าใจเราตอนเป็นเด็กไร้เดียงสา
คุณดูแลสมองตัวเองมากพอหรือยัง?
เพราะถ้าความจำหายไป… คุณจะไม่มีวันรู้ด้วยซ้ำว่า “คุณเคยเป็นใคร”...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/5119187/