ความร่วมมือ PPP การก่อตั้งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ในยุคคอมมิวนิสต์ ใน พื้นที่สีชมพู

กระทู้สนทนา
สุขวิชโนมิกส์: ความร่วมมือ PPP การก่อตั้งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ในยุคคอมมิวนิสต์ 


บทคัดย่อ


“สุขวิชโนมิกส์” คือปรัชญานโยบายสาธารณะที่มีรากฐานอยู่บนแนวคิดการพัฒนาที่เน้น “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” โดยเน้นกลไกการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่น การมีส่วนร่วมของชุมชน และการสร้างชาติอย่างยั่งยืน ปรัชญานี้ได้รับการพัฒนาโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล และถูกนำมาใช้จริงเป็นครั้งแรกในยุคสงครามเย็นของประเทศไทย โดยเฉพาะในการพัฒนาระบบสาธารณสุขชนบทใน “พื้นที่สีชมพู” ซึ่งเป็นเขตกันชนระหว่างพื้นที่ที่ถูกคอมมิวนิสต์ยึดครอง (“เขตสีแดง”) กับพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลไทย (“เขตสีขาว”)

งานวิจัยฉบับนี้นำเสนอกรณีศึกษาของ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช (รพร.) ซึ่งก่อตั้งขึ้นตามแนวคิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) โดยถือเป็นต้นแบบที่บุกเบิกของประเทศไทย ความริเริ่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนของ “สุขวิชโนมิกส์” ที่เน้นการสร้างระบบสาธารณะอย่างยืดหยุ่น โดยไม่รื้อทำลายโครงสร้างหรืออัตลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น

ด้วยการสนับสนุนที่สำคัญจากภาคเอกชน เช่น บริษัทคาลเท็กซ์ และการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงสาธารณสุขและชุมชนในพื้นที่ โครงการนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของระบบสาธารณสุขที่กระจายอำนาจ โปร่งใส และเป็นเจ้าของโดยชุมชนอย่างแท้จริง แนวทางการมีส่วนร่วมนี้ยังส่งผลให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาวและความไว้วางใจจากประชาชน แม้ในพื้นที่ที่เคยเปราะบางหรือมีความขัดแย้งทางการเมือง

งานศึกษานี้เสนอว่า “สุขวิชโนมิกส์” เป็นกรอบแนวคิดที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในบริบทอื่น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัดหรือมีความเปราะบางทางสังคมและการเมือง และแสดงให้เห็นว่ากรอบคิดเชิงปรัชญาที่กำเนิดจากประเทศไทยนี้ สามารถต่อยอดสู่เวทีนโยบายระดับโลกในด้านการปฏิรูประบบสุขภาพ PPP และการพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทที่เปราะบางได้อย่างมีพลัง

บทนำ (Introduction)

ในช่วงสงครามเย็นของประเทศไทย รัฐบาลไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากขบวนการคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในพื้นที่สีชมพู ซึ่งเป็นเขตกันชนระหว่างพื้นที่ที่คอมมิวนิสต์มีอิทธิพล (พื้นที่สีแดง) และพื้นที่ภายใต้การควบคุมของรัฐไทย (พื้นที่สีขาว) ด้วยบริบทความขัดแย้งทางอุดมการณ์และความเหลื่อมล้ำในชนบท รัฐบาลจึงต้องเร่งหาวิธีการสร้างความเข้มแข็งในระดับท้องถิ่น และหนึ่งในนโยบายสำคัญที่เกิดขึ้นคือการก่อตั้ง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐและภาคเอกชน (Public–Private Partnership: PPP)

โครงการนี้เริ่มต้นในสมัยรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทน้ำมันข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน CALTEX ซึ่งมี ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ดำรงตำแหน่ง CEO ในขณะนั้น เขาได้รับการเชิญจากนายกรัฐมนตรีให้มาดำรงตำแหน่งรองประธานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และมีบทบาทสำคัญในการออกแบบแนวคิด กลไกการบริหารจัดการ และระดมทุนจากภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนการสร้างโรงพยาบาลในพื้นที่ชนบทห่างไกล โดยเริ่มจากโรงพยาบาลขนาด 18 เตียง จนเติบโตเป็นเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีความสำคัญระดับประเทศ

แนวคิดเบื้องหลังความร่วมมือรูปแบบใหม่นี้ต่อมาได้กลายเป็นรากฐานของ “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ซึ่งเป็นปรัชญาการพัฒนาเชิงนโยบายที่เน้นความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อสร้างระบบสุขภาพและการศึกษาที่มีความยั่งยืน ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เน้นการกระจายอำนาจ และสร้างการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

ปรัชญานี้ถูกนำมาใช้ในระดับนโยบายชาติในช่วงที่ ฯพณฯ สุขวิช ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2538–2540) โดยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน “การอภิวัฒน์การศึกษา 2538” (The 1995 Education Revolution in Thailand) และเป็นผู้นำเสนอแนวทาง “ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแก่นหลักของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544)

แผนฯ ฉบับที่ 8 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์นโยบายพัฒนาไทย โดยยกระดับบทบาทของประชาชนจาก “ผู้รับนโยบาย” มาเป็น “ผู้ร่วมออกแบบและขับเคลื่อนนโยบาย” อย่างเป็นระบบ นำไปสู่กระบวนการมีส่วนร่วมในทุกระดับ และปูทางไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่

ลำดับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์มีดังนี้:

26 ธันวาคม 2539: เริ่มต้นกระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จากการเลือกตั้งและการสรรหา
11 ตุลาคม 2540: ประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน”

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถือเป็นผลลัพธ์เชิงสถาบันที่ต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแนวคิดการพัฒนาในแผนฯ ฉบับที่ 8 โดยวางรากฐานของสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และการกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่น และยืนยันหลักการว่าการรักษาพยาบาลเป็น “สิทธิของประชาชน” ไม่ใช่ “การให้ทาน” ผ่านบทบัญญัติสำคัญ เช่น มาตรา 52, 62 และ 82

จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในพื้นที่สีชมพู แนวคิดสุขวิชโนมิกส์ได้ขยายตัวเป็นกรอบคิดระดับชาติที่มีผลกระทบยั่งยืนต่อระบบสุขภาพ การศึกษา และการพัฒนาเชิงสังคมของไทยอย่างเป็นรูปธรรม

บทวรรณกรรมปริทัศน์

การศึกษาวรรณกรรมเกี่ยวกับการพัฒนาระบบสุขภาพชนบทไทยในช่วงสงครามเย็นเผยให้เห็นความซับซ้อนของบริบททางการเมือง ความมั่นคง และการพัฒนา โดยเฉพาะในพื้นที่สีชมพู ซึ่งเป็นโซนรอยต่อระหว่างอิทธิพลของคอมมิวนิสต์และรัฐไทย (ทศวรรษ 2510–2520) งานวิจัยส่วนมากมุ่งเน้นบทบาทของรัฐ เช่น โครงการหมู่บ้านป้องกันตนเองและแผนพัฒนาชนบทแบบบูรณาการ แต่มีน้อยมากที่กล่าวถึงการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในฐานะกำลังขับเคลื่อนเชิงโครงสร้าง**

แนวคิด Public–Private Partnerships (PPPs) ได้ชัดเจนขึ้นจากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช (รพร.) โครงการ PPP ตัวอย่างชั้นยอดในช่วงนั้น โดยเฉพาะความร่วมมือกับบริษัท Caltex ที่มีหน้าที่ด้าน CSR ตามกฎหมายของสหรัฐฯ การประสานงานระหว่าง Caltex รัฐ และชุมชนภายใต้การนำของคุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานมูลนิธิตั้งแต่ต้น จึงเป็นรากฐานของแนวคิดที่ต่อมาเรียกว่า “สุขวิชโนมิกส์”

ปัจจุบัน สุขวิชโนมิกส์ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการสถาปนาทางวิชาการ มีการปรากฏตัวในเวทีระดับนานาชาติ เช่น SSRN, ResearchGate และ Encyclopedia.pub ซึ่งวิเคราะห์แนวคิดนี้ว่าเป็นปรัชญาการพัฒนาที่ “สร้างโดยไม่ทำลาย” (constructing without destroying) พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างยืดหยุ่นและยั่งยืน

เอกสารจาก ERIC โดย Manitkul (2025) ยังชี้ว่าแนวคิดเชิงปรัชญานี้ขยายผลมาสู่ภาคการศึกษาอย่างเป็นระบบ ผ่าน:

การปรับโครงสร้างโรงเรียนทั่วประเทศ
การปฏิรูปหลักสูตรเน้นคุณธรรมและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การพัฒนาครูให้เป็นผู้นำเชิงวิพากษ์ที่สะท้อนผลเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
การปฏิรบรระบบบริหารการศึกษาผ่านระบบโรงเรียนนิติบุคคล

นอกจากนี้ ยังมีกรณีศึกษาของ ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเน้นการบริหารแบบ PPP โปร่งใส สะท้อนการวางรากฐานสุขวิชโนมิกส์ในระดับชาติจริง

สรุปว่าจากการทบทวนวรรณกรรมข้างต้น สุขวิชโนมิกส์มิใช่เพียง “ปรัชญาเชิงนามธรรม” แต่เป็น กรอบนโยบายเชิงปฏิบัติที่มีศักยภาพสูง สามารถปรับใช้ในประเทศกำลังพัฒนา ในระบบสาธารณสุขและการศึกษา ที่เน้นความยืดหยุ่น ยั่งยืน เป็นธรรม และเปิดพื้นที่ให้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

วิธีดำเนินการวิจัย (Methodology)

1. ลักษณะการศึกษา (Research Design)
งานศึกษานี้ใช้ กระบวนการศึกษาเชิงพรรณนาเชิงคุณภาพ (qualitative descriptive case study) มุ่งวิเคราะห์กรณีศึกษาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เพื่อทำความเข้าใจแนวคิด Sukavichinomics ที่นำมาใช้ในช่วงสงครามเย็น ผ่านการร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน

2. แหล่งข้อมูล (Data Sources)
เอกสารต้นฉบับและเอกสารราชการ เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8, ประกาศรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540, บันทึกนโยบาย PPP, และรายงานของมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช

คำปราศรัยและบทความวิชาการ โดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เช่น Keynote Address “The Four Pillars of Sukavichinomics” ในที่ประชุม SEAMEO (1997) และผลงานตีพิมพ์ใน SSRN, ERIC, ResearchGate, Encyclopedia.pub
เอกสารโครงการ PPP ในระบบสาธารณสุข เช่น ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระนางเจ้าฯ สิริกิติ์ และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ

3. เทคนิคการเก็บข้อมูล (Data Collection Techniques)
การวิเคราะห์เอกสาร (Document Analysis): ระบุแนวคิดหลัก (เช่น Sukavichinomics, PPP), บริบททางประวัติศาสตร์, ตัวแบบการดำเนินงาน, และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง

สัมภาษณ์เชิงลึก (Optional): หากเป็นไปได้ อาจสัมภาษณ์ผู้มีส่วนร่วม เช่น เจ้าหน้าที่มูลนิธิ, บุคลากรสถานพยาบาล, หรือผู้รู้ในโครงการ เพื่อเสริมความลึกของข้อมูล

4. เครื่องมือวิเคราะห์ (Analytical Framework)
ใช้ การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงธีม (thematic content analysis) เพื่อจัดกลุ่มประเด็นสำคัญ เช่น การกระจายอำนาจ, ความมีส่วนร่วมของชุมชน, ความยั่งยืนของโครงการ, และผลลัพธ์เชิงสุขภาพ

สังเคราะห์บริบทสาธารณะ (เช่น สงครามเย็น, พื้นที่สีชมพู, ข้อจำกัดระบบรัฐ) และนโยบายเชิงแอ็กชั่น (เช่น การตั้งโรงพยาบาล, PPP, Sukavichinomics)

5. ขั้นตอนการวิเคราะห์ (Analysis Procedure)
เริ่มจากการรวบรวมและอ่านเอกสารหลักทั้งหมดอย่างละเอียด
จัดหมวดหมู่และตีความข้อความสำคัญตามธีม

เปรียบเทียบกลไกการดำเนินงานของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกับรัฐธรรมนูญและแผนพัฒนา
ตรวจสอบว่า Sukavichinomics มีบทบาทอย่างไรในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่ริเริ่มจนถึงผลกระทบ
สรุปข้อค้นพบและตีความในบริบทการพัฒนาระบบสุขภาพชนบท

6. ความน่าเชื่อถือของการศึกษา (Trustworthiness)
ความน่าเชื่อถือ (Credibility): ใช้แหล่งข้อมูลหลายมิติผสมผสานกัน (เอกสาร, บทความ, นโยบาย), และหากมีสัมภาษณ์ก็ช่วยสร้างความเข้มข้น
ความเที่ยงตรง (Dependability): บันทึกขั้นตอนและหลักการวิเคราะห์ อย่างละเอียด ให้ผู้อื่นสามารถติดตามและตรวจสอบได้

ความยืนยง (Transferability): รายละเอียดบริบทเชิงประวัติศาสตร์และนโยบายช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าผลลัพธ์อาจนำไปปรับใช้กับบริบทอื่นได้อย่างไร


บทวิเคราะห์: สุขวิชโนมิกส์กับบทบาทของโรงพยาบาลในการสร้างสันติภาพโลก
(Sukavichinomics and Rural Hospitals as Peace Architecture)

✳️ บริบท: พื้นที่สีชมพูและความร้าวรานในสงครามเย็นไทย
ในช่วงทศวรรษ 2510–2520 พื้นที่ชายขอบของรัฐไทยที่เรียกว่า “พื้นที่สีชมพู” เป็นแนวรอยต่อทางอำนาจระหว่างรัฐไทยกับขบวนการคอมมิวนิสต์ โดยเต็มไปด้วยความรุนแรง ความหวาดระแวง และความไม่ไว้วางใจระหว่าง “ฝ่ายรัฐ” และ “ฝ่ายป่า” ผู้คนในพื้นที่เดียวกันมองกันเองเป็นศัตรู

แต่ในท่ามกลางความร้าวรานนี้ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช กลับกลายเป็น “พื้นที่กลางแห่งความเมตตา” ที่นำทั้งสองฝ่ายมาพบกันในฐานะ “มนุษย์” และ “ผู้เจ็บป่วย” ไม่ใช่ฝ่ายสงครามอีกต่อไป

🪷 สุขวิชโนมิกส์: ปรัชญาแห่งการ “สร้างโดยไม่ทำลาย”

หนึ่งในหลักสำคัญของสุขวิชโนมิกส์ คือแนวคิด “constructing without destroying” – การพัฒนาโดยไม่ทำลายรากฐานเดิมของสังคม ไม่ทำลายศักดิ์ศรีของผู้คน ไม่ซ้ำเติมฝ่ายใดในความขัดแย้ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่