ความสำเร็จของการปฏิรูประบบสาธารณสุขของไทย และ รัฐบาลประชานิยมกับความล้มเหลวของโครงสร้างบริการสาธารณสุขไทย

กระทู้สนทนา
สุขวิชโนมิกส์: ความสำเร็จของการปฏิรูประบบสาธารณสุขของไทย และ รัฐบาลีประชานิยม: ความล้มเหลวของโครงสร้างบริการสาธารณสุขไทย/ Sukhvichnomics: the Success of Thailand’s Health System Reform vs. Populism:  the Failure of Structural Sustainability

บทคัดย่อ
บทความนี้ศึกษาการปฏิรูประบบสาธารณสุขของไทย โดยเปรียบเทียบปรัชญา “สุขวิชโนมิกส์” กับนโยบายประชานิยม ผ่านกรอบแนวคิดเรื่อง “ความยั่งยืนเชิงโครงสร้าง” และ “การมีส่วนร่วมของประชาชนปรัชญา” สุขวิชโนมิกส์ ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ผู้คิดกระบวนทัศน์ในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เน้นการวางระบบที่ยึดโยงกับชุมชน การกระจายอำนาจ และการพัฒนาเชิงป้องกันในระยะยาว ในขณะที่รัฐบาลประชานิยม ซึ่งต้องสานต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ปี 2540-2544 เพื่อขยายการบริการสุขภาพให้ครอบคลุม 100% ตามเป้าหมายของเแผนพัฒนาฯ 8  กลับละเลยการออกแบบระบบใหม่ ด้วยการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน และไม่ได้วางกลไกโครงสร้างที่ยั่งยืน เลือกใช้ระบบซึ่งแพทย์เพียงคนเดียวออกแบบสำหรับท้องถิ่นเล็กๆ

ส่งผลให้เกิด “กับดักเชิงโครงสร้าง” ทั้งในด้านงบประมาณ ทรัพยากรบุคลากร และคุณภาพบริการ บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการย้อนกลับไปทบทวนหลักคิดของสุขวิชโนมิกส์ เพื่อสร้างระบบสุขภาพที่เท่าเทียม ยืดหยุ่น และยั่งยืน รองรับความท้าทายในอนาคตได้อย่างแท้จริง

บทนำ
การปฏิรูประบบสาธารณสุขในประเทศไทยนับตั้งแต่ทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา เป็นกระบวนการที่สะท้อนความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่าง “การออกแบบเชิงโครงสร้างระยะยาว” กับ “นโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยประชานิยม”
ปรัชญาสุขวิชโนมิกส์ ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ระหว่างดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เป็นแนวทางการปฏิรูปซึ่งผ่านการพิสูจน์แล้วในเชิงประจักษ์ว่าให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านระบบบริการสุขภาพชุมชน การกระจายอำนาจ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งให้ความสำคัญกับสิทธิด้านสุขภาพของพลเมืองไทย โดยกำหนดเป้าหมายให้รัฐบาลต้องขยายบริการสาธารณสุขให้ครอบคลุม 100 % ของราษฎรไทยภายในห้วงระยะเวลาของแผนพัฒนาฯ 8  เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากปรัชญานี้  อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลปี 2545 ( ล่าช้าจากแผนพัฒนาฯ8 เนื่องจากวิกฤตปี 2540)  ดำเนินนโยบาย “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” โดยขาดการออกแบบเชิงระบบ ไม่มีส่วนร่วมของประชาชน และไม่ได้วางกลไกโครงสร้างที่ยั่งยืน เลือกใช้ระบบซึ่งแพทย์เพียงคนเดียวออกแบบสำหรับท้องถิ่นเล็กๆ

จึงก่อให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งในด้านงบประมาณ คุณภาพการให้บริการ และภาระงานของบุคลากรสาธารณสุข
บทความนี้มุ่งวิเคราะห์เปรียบเทียบปรัชญาเชิงโครงสร้างของสุขวิชโนมิกส์กับแนวนโยบายประชานิยมด้านสุขภาพ เพื่อชี้ให้เห็นจุดอ่อนของโครงสร้างปัจจุบัน และเสนอแนวทางการหวนกลับสู่หลักคิดที่เน้นความเสมอภาค ความยืดหยุ่น และความยั่งยืนของระบบสุขภาพไทยในระยะยาว

บทวรรณกรรมปริทัศน์

การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการปฏิรูประบบสาธารณสุขของไทยมักเน้นที่บริบทของ “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ซึ่งริเริ่มในปี พ.ศ. 2545 โดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 อย่างไรก็ตาม งานวิชาการจำนวนมากกลับละเลยรากฐานทางความคิดและโครงสร้างนโยบายที่วางไว้ก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะแนวคิดที่วางอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) และรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเกิดขึ้นจากปรัชญาสุขวิชโนมิกส์

งานของ ประเวศ วะสี (2542) และ สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ (2546) ให้ความสำคัญกับแนวคิด “สุขภาพเป็นเรื่องของประชาชน” และ “การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น” ซึ่งสอดคล้องกับสุขวิชโนมิกส์ โดยมองว่าสุขภาพต้องเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชุมชนและการมีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่บริการทางการแพทย์ในระบบราชการ

ในขณะเดียวกัน การวิเคราะห์ของ พงษ์พิสุทธิ์ จันทร์เทศ (2551) วิจารณ์ว่าโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค แม้จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพในระยะสั้น แต่กลับสร้างปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การเบียดงบประมาณจากระดับปฐมภูมิไปสู่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ และเพิ่มภาระงานให้บุคลากรโดยไม่เพิ่มทรัพยากรตามสัดส่วน

นอกจากนี้ งานของ ศ.นพ.ธีระ วัชรปราณีต (2561) ยังชี้ว่าโครงสร้างระบบสุขภาพไทยยังขาดความยืดหยุ่น และไม่สามารถรองรับวิกฤตการณ์สาธารณสุขระดับชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างนโยบายระดับชาติ ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

จากวรรณกรรมที่ทบทวนพบว่า ยังมีช่องว่างในการศึกษาผลของแนวคิดเชิงนโยบายในระดับโครงสร้าง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบ “สุขวิชโนมิกส์” กับ “ประชานิยมทางสุขภาพ” ทั้งในเชิงผลลัพธ์และความยั่งยืนในระยะยาว

ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology)
บทความนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยอาศัยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) จากเอกสารต้นฉบับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544), รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540, รายงานการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ, เอกสารอภิปรายของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รวมถึงบทความวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในช่วง พ.ศ. 2538–2565

การเปรียบเทียบระหว่างแนวคิดสุขวิชโนมิกส์และนโยบายประชานิยมด้านสุขภาพ ใช้กรอบวิเคราะห์เชิงแนวคิด (Conceptual Framework) ที่เน้น 3 มิติหลัก คือ

ความยั่งยืนเชิงโครงสร้าง – วิเคราะห์ว่าระบบมีความสามารถในการดำรงอยู่และพัฒนาได้ในระยะยาวเพียงใด

การมีส่วนร่วมของประชาชน – ตรวจสอบระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายและออกแบบระบบบริการ

ผลกระทบต่อระบบบริการสุขภาพ – วิเคราะห์ทั้งในเชิงคุณภาพบริการ งบประมาณ และภาระงานของบุคลากร

ข้อมูลถูกสังเคราะห์ผ่านกระบวนการวิเคราะห์แบบเทียบเคียง (Comparative Analysis) เพื่อระบุจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และข้อจำกัดของแต่ละแนวทางนโยบาย พร้อมอภิปรายถึงทางเลือกเชิงนโยบายในอนาคต

การวิเคราะห์ (Analysis)

จากการเปรียบเทียบระหว่าง ปรัชญาสุขวิชโนมิกส์ กับ นโยบายประชานิยมด้านสุขภาพ พบข้อแตกต่างเชิงโครงสร้างที่สำคัญใน 3 มิติหลัก:

1. ความยั่งยืนเชิงโครงสร้าง (Structural Sustainability)
สุขวิชโนมิกส์: วางแผนล่วงหน้า มีระบบเชื่อมโยงตั้งแต่ระดับชุมชนถึงระดับชาติ มีกลไกสนับสนุนระยะยาว เช่น การกระจายอำนาจ และการลงทุนในระบบสุขภาพปฐมภูมิ

ประชานิยม: เน้นผลลัพธ์ระยะสั้น ขาดการออกแบบโครงสร้างรองรับ งบประมาณถูกบีบให้รองรับปริมาณผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น โดยไม่มีแผนระยะยาวรองรับ

2. การมีส่วนร่วมของประชาชน (Public Participation)

สุขวิชโนมิกส์: สนับสนุนให้ชุมชนมีบทบาทในการออกแบบและบริหารจัดการระบบสุขภาพ เช่น สภาสุขภาพระดับพื้นที่

ประชานิยม: ออกแบบจากส่วนกลาง ประชาชนมีบทบาทเป็นเพียงผู้รับบริการ ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางนโยบาย

3. ผลกระทบต่อบริการสุขภาพ (Impact on Health Services)

สุขวิชโนมิกส์: เน้นการป้องกัน (preventive care) ลดภาระระบบในระยะยาว ยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวม

ประชานิยม: มุ่งรักษา (curative care) เมื่อเกิดปัญหาแล้ว ส่งผลให้โรงพยาบาลและบุคลากรแบกรับภาระเกินตัว

สรุป

สุขวิชโนมิกส์เสนอแนวทางที่ออกแบบเพื่อ “ยกระดับทั้งระบบ” อย่างมียุทธศาสตร์และยั่งยืน ในขณะที่ประชานิยมเน้น “การเข้าถึงที่รวดเร็ว” โดยไม่รองรับด้วยโครงสร้างที่มั่นคง ทำให้เกิดปัญหาในระยะยาว เช่น งบประมาณบานปลาย คุณภาพการบริการลดลง และบุคลากรล้นภาระ

บทสรุป

จากการศึกษานี้สามารถสรุปได้ว่า “สุขวิชโนมิกส์” เป็นแนวคิดเชิงโครงสร้างที่มุ่งวางระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน การกระจายอำนาจ และการพัฒนาเชิงป้องกัน ซึ่งต่างจากแนวทางประชานิยมที่เน้นผลลัพธ์ในระยะสั้นโดยขาดกลไกโครงสร้างรองรับ ส่งผลให้เกิดปัญหาเรื้อรังด้านงบประมาณ บุคลากร และคุณภาพบริการ


ข้อเสนอของบทความคือ การทบทวนกลับไปสู่หลักคิดของสุขวิชโนมิกส์ เพื่อออกแบบระบบสุขภาพที่เท่าเทียม ยืดหยุ่น และพร้อมรับมือกับวิกฤตในอนาคตอย่างแท้จริง.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่