4) อภิปรายผลและผลลัพธ์ (Discussion and Results)
ส่วนอภิปรายผลและผลลัพธ์นี้นำเสนอการแปลความหมายเชิงทฤษฎีและหลักฐานเชิงประจักษ์จากการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่าง หลักคิด ของ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ กับ สถาปัตยกรรมเชิงสถาบันในรัฐธรรมนูญ 2540 โดยเน้นกลไกการแปลงพาราไดม์ (paradigm translation) สู่การออกแบบสถาบันของรัฐไทยสมัยใหม่ (modern state institutional design). ผลการวิเคราะห์ให้ภาพของ “สถาบันที่เกิดขึ้นจากหลักคิด” (idea-driven institutions) อย่างชัดเจนในห้ามิติหลัก: มนุษย์, เมือง, ดิจิทัล, ความยั่งยืน และประสิทธิภาพรัฐ.
4.1 การยืนยันความสัมพันธ์เชิงสถาบันระหว่าง ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์กับรัฐธรรมนูญ 2540
การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis) และการแมปเชิงแนวคิด (concept-mapping) แสดงให้เห็นความสอดคล้องเชิงโครงสร้างระหว่างพาราไดม์สุขวิชโนมิกส์กับบทบัญญัติและกลไกของรัฐธรรมนูญ 2540 ประเด็นสำคัญที่ได้จากการวิเคราะห์มีดังนี้:
ฐานคิด “คนเป็นศูนย์กลางของระบบเศรษฐกิจ–สังคม” ถูกแปลงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น สิทธิการศึกษา 12+3, สิทธิในการพัฒนา และการรับรองคุณภาพบริการสาธารณะ และ สิทธิการรักษาพยาบาล มาตรา 52,62, &82
ฐานคิด “เมืองเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนา” ถูกแปลงเป็นการกระจายอำนาจด้านงบประมาณ การวางแผน และการกำกับดูแลท้องถิ่น
ฐานคิด “ข้อมูลและดิจิทัลคือรากฐานรัฐสมัยใหม่” สะท้อนในกลไกความโปร่งใส การเปิดเผยข้อมูล และสถาบันตรวจสอบอิสระ
ฐานคิด “ความยั่งยืนและสิทธิชุมชน” ถูกแปลเป็นสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร และกลไกประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ฐานคิด “รัฐต้องมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบได้” ปรากฏในกลไกตรวจสอบ ฝ่ายอิสระ และระบบบริหารราชการแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์
ผลการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างนี้ยืนยันว่า รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ได้เป็นกฎหมายที่เกิดจากเหตุการณ์ทางการเมืองแบบเฉพาะหน้า แต่เป็น “สถาปัตยกรรมเชิงสถาบันของพาราไดม์สุขวิชโนมิกส์” อย่างเป็นระบบ
4.2 ผลลัพธ์เชิงสถาบัน (Institutional Outcomes)
ผลลัพธ์ที่วัดได้จากการแปลงพาราไดม์สู่สถาบัน สามารถจัดอยู่ใน 4 กลุ่ม:
4.2.1 การสถาปนาสิทธิและมาตรฐานทางสังคม
รัฐธรรมนูญ 2540 กำหนดสิทธิทางสังคมและมาตรฐานขั้นต่ำของรัฐไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น:
สิทธิการศึกษาแบบมีคุณภาพ
สิทธการรักษาพยาบาลครอบคลุม พื้นที่ 100%
มาตรฐานบริการภาครัฐทุกๆด้าน
สิทธิชุมชนและส่วนร่วมสาธารณะ
ผลลัพธ์นี้ทำให้เกิด “Minimum State Guarantees” ซึ่งยกฐานคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างถาวร
4.2.2 การปรับโครงสร้างรัฐสู่การบริหารสมัยใหม่
ผลลัพธ์รวมถึง:
องค์กรอิสระ
ระบบตรวจสอบถ่วงดุล
ระบบจัดทำงบประมาณแบบใหม่
กลไกเปิดเผยข้อมูล
ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับหลักคิดสุขวิชโนมิกส์เรื่อง “รัฐต้องตรวจสอบได้ มีข้อมูล และมีประสิทธิภาพสูง”
4.2.3 การกระจายอำนาจและการเกิดขึ้นของ “รัฐแบบเมือง”
ผลลัพธ์ชัดเจนสองประการ:
พื้นที่ท้องถิ่นได้อำนาจวางแผนและใช้งบประมาณมากขึ้น
เมืองกลายเป็นหน่วยวิเคราะห์และหน่วยพัฒนาเศรษฐกิจ
สิ่งนี้ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนจาก “รัฐรวมศูนย์แบบราชการ” ไปสู่ “รัฐแบบพื้นที่และเมือง”
4.2.4 การสร้างระบบข้อมูลและความโปร่งใส
เมื่อรัฐธรรมนูญบังคับให้หน่วยงานรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลและถูกรับผิดชอบมากขึ้น ผลลัพธ์คือ:
ระบบข้อมูลภาครัฐเริ่มเชื่อมโยง
การประเมินผลเชิงนโยบายมีฐานข้อมูลรองรับ
ประชาชนมีบทบาทกำกับตรวจสอบ
ส่งผลให้ “Digital Governance” กลายเป็นทิศทางหลีกเลี่ยงไม่ได้ของประเทศไทยหลังปี 2540
4.3 ผลลัพธ์เชิงเหตุผล: รัฐธรรมนูญ 2540 ในฐานะการถอดรหัส ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์
จากผลการวิเคราะห์สามารถสรุปได้ว่า การออกแบบของรัฐธรรมนูญ 2540 คือ “การถอดรหัสหลักคิดของ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์” โดยมี 3 เหตุผลเชิงสถาบัน:
ความสอดคล้องเชิงแนวคิด (Conceptual Alignment)
ทุกโครงสร้างหลักในรัฐธรรมนูญเชื่อมโยงกับองค์ประกอบพื้นฐานของสุขวิชโนมิกส์อย่างเป็นระบบ
ความสอดคล้องเชิงกลไก (Mechanism Alignment)
กลไกทางกฎหมาย เช่น องค์กรอิสระ สิทธิชุมชน หรือการกระจายอำนาจ ทำหน้าที่เหมือน “ระบบปฏิบัติการ” ที่แปลงหลักคิดสู่การทำงานจริง
ความสอดคล้องเชิงผลลัพธ์ (Outcome Alignment)
ผลลัพธ์หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้สอดคล้องกับผลที่พึงคาดหมายตามพาราไดม์สุขวิชโนมิกส์ ทั้งด้านคน เมือง ดิจิทัล คุณภาพรัฐ และความยั่งยืน
4.4 ข้อค้นพบสำคัญ (Key Findings)
รัฐธรรมนูญ 2540 เป็น Institutional Encoding ของ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์
หลักคิดเชิงเศรษฐศาสตร์–สังคมสามารถแปลงเป็นสถาบันถาวรได้จริงผ่านรัฐธรรมนูญ
การออกแบบสถาบันแบบ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ทำให้รัฐไทยเข้าสู่ความเป็นรัฐสมัยใหม่เร็วกว่าที่คาดการณ์
ผลลัพธ์เชิงสถาบันที่เกิดขึ้นยังคงส่งผลยาวถึงปัจจุบันแม้รัฐธรรมนูญ 2540 ถูกยกเลิก
นี่เป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนของ “แนวคิดกำหนดสถาบัน” (Ideas Shape Institutions) ซึ่งพบได้ในประเทศที่มีการปฏิรูปเชิงพาราไดม์ เช่น ฟินแลนด์ เกาหลีใต้ และไอร์แลนด์
4.5 การอภิปราย
ผลลัพธ์ทั้งหมดสนับสนุนว่า ช่วงปี 2538–2540 ถือเป็น “จุดเปลี่ยนของรัฐไทย” (Thai State Turning Point) ซึ่งเกิดจากหลักคิด ของ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์และถูกทำให้เป็นรูปธรรมผ่านรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งสะท้อนความสามารถของผู้ออกแบบนโยบายในการแปลงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์พัฒนาให้เป็นสถาบันถาวรของรัฐ
บทสรุป (Conclusion)
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ เป็นกรอบคิดเชิงพาราไดม์ที่สามารถถูกแปลงให้เป็น “สถาปัตยกรรมเชิงสถาบัน” ได้จริงผ่านรัฐธรรมนูญ 2540 และกลไกการปฏิรูประบบราชการในช่วงหลังปี 2540 เป็นต้นมา โดยหลักคิดสำคัญของสุขวิชโนมิกส์—มนุษย์ เมือง ดิจิทัล ความยั่งยืน และประสิทธิภาพรัฐ—ได้กลายเป็นแกนกลางของการยกระดับระบบราชการไทยสู่ความเป็น “รัฐสมัยใหม่” (modern state) อย่างเป็นลำดับขั้น
ผลลัพธ์ทางสถาบันที่เกิดขึ้น เช่น สิทธิพื้นฐานใหม่ องค์กรอิสระ ระบบข้อมูลภาครัฐ การกระจายอำนาจ และมาตรฐานบริการสาธารณะ เป็นหลักฐานว่าพาราไดม์สุขวิชโนมิกส์ได้ถูก “ถอดรหัส” (institutional encoding) และฝังอยู่ในโครงสร้างรัฐไทยอย่างยั่งยืน แม้รัฐธรรมนูญ 2540 จะถูกยกเลิกไปแล้วก็ตาม
ดังนั้น การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า สุขวิชโนมิกส์ไม่ใช่เพียงแนวคิดด้านเศรษฐศาสตร์การพัฒนา แต่เป็นกรอบคิดสำหรับ “สถาปัตยกรรมรัฐ” ที่สามารถใช้กำหนดทิศทางการปฏิรูประบบราชการไทยในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิผล และยังแสดงให้เห็นพลังของ “แนวคิดเชิงพาราไดม์” ในการออกแบบรัฐและยกระดับคุณภาพประชาธิปไตยและบริการสาธารณะ
ข้อเสนอเชิงนโยบาย (Policy Recommendations)
ข้อเสนอเชิงนโยบายต่อไปนี้ออกแบบให้สอดคล้องกับ แผนแม่บทปฏิรูประบบราชการตามหลักสุขวิชโนมิกส์ แบ่งเป็น 5 แกนหลักตามพาราไดม์สุขวิชโนมิกส์
1. มนุษย์ (Human-Centric State)
จัดทำมาตรฐานขั้นต่ำของรัฐ (Minimum State Guarantees) ครอบคลุม การศึกษา สาธารณสุข และสวัสดิการพื้นฐาน
พัฒนากลไกประเมินผลบริการภาครัฐแบบ “คุณภาพประชาชนเป็นตัวตั้ง”
ยกระดับการพัฒนาทักษะข้าราชการให้เป็น State Workforce 4.0 เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การสื่อสารสาธารณะ และนวัตกรรมบริการ
2. เมือง (City-Driven Development)
เพิ่มอำนาจด้านงบประมาณและการวางแผนให้ท้องถิ่น เพื่อให้เมืองเป็นศูนย์กลางการพัฒนา
ปรับโครงสร้างราชการส่วนภูมิภาคให้เป็น “ตัวเสริม” แทน “ตัวควบคุมท้องถิ่น”
พัฒนาเมืองนำร่อง (City Labs) สำหรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ นโยบายสังคม และโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ
3. ดิจิทัลและข้อมูล (Digital & Data Governance)
สร้างระบบข้อมูลภาครัฐแบบเชื่อมโยง (Gov Data Interoperability)
ขยายระบบ Digital One-Stop Service ให้เป็น “รัฐดิจิทัลเต็มรูปแบบ”
กำหนดเกณฑ์เปิดเผยข้อมูล (Open Data Standards) เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของระบบราชการ
ส่งเสริมการใช้ AI, Big Data และระบบคาดการณ์ (predictive governance) ในการตัดสินใจเชิงนโยบาย
4. ความยั่งยืนและสิทธิชุมชน (Sustainability & Community Rights)
บูรณาการเป้าหมาย SDGs เข้าสู่ระบบราชการทุกระดับ
ปรับปรุงระบบ EIA/EHIA ให้ทันสมัย โปร่งใส และตั้งอยู่บนข้อมูลจริง
สร้าง “แพลตฟอร์มสิทธิชุมชน” เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตาม ตรวจสอบ และมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรท้องถิ่น
5. ประสิทธิภาพรัฐและธรรมาภิบาล (State Capacity & Governance)
ปฏิรูประบบประเมินผลงานราชการเป็น Performance-Based Governance
ปรับโครงสร้างองค์กรอิสระให้มีความเป็นอิสระ โปร่งใส และเชื่อมโยงฐานข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบ
ลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงานรัฐ โดยใช้หลัก “ภารกิจเป็นตัวกำหนดโครงสร้าง” (function-based restructuring)
จัดตั้งหน่วยนโยบายภาครัฐ (Public Policy Delivery Unit) ทำหน้าที่ผลักดันนโยบายเร่งด่วนและนโยบายข้ามกระทรวง
สรุปภาพรวมเชิงนโยบาย
ข้อเสนอทั้งหมดนี้สะท้อนหลักสุขวิชโนมิกส์ในฐานะ “พิมพ์เขียวการออกแบบรัฐสมัยใหม่” ที่มุ่งสร้าง รัฐที่มีสมรรถนะสูง, ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล, เน้นคนเป็นศูนย์กลาง, ใช้เมืองเป็นพื้นที่พัฒนา, และยึดความยั่งยืนเป็นฐาน เพื่อให้ระบบราชการไทยก้าวสู่รูปแบบที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองต่อประชาชนในศตวรรษที่ 21
ปรัชญาเศรษฐศาสตร์ซึ่งออกแบบรัฐไทยและนำไปสู่รัฐธรรมนูญ 2540 ตอนที่ 4
ส่วนอภิปรายผลและผลลัพธ์นี้นำเสนอการแปลความหมายเชิงทฤษฎีและหลักฐานเชิงประจักษ์จากการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่าง หลักคิด ของ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ กับ สถาปัตยกรรมเชิงสถาบันในรัฐธรรมนูญ 2540 โดยเน้นกลไกการแปลงพาราไดม์ (paradigm translation) สู่การออกแบบสถาบันของรัฐไทยสมัยใหม่ (modern state institutional design). ผลการวิเคราะห์ให้ภาพของ “สถาบันที่เกิดขึ้นจากหลักคิด” (idea-driven institutions) อย่างชัดเจนในห้ามิติหลัก: มนุษย์, เมือง, ดิจิทัล, ความยั่งยืน และประสิทธิภาพรัฐ.
4.1 การยืนยันความสัมพันธ์เชิงสถาบันระหว่าง ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์กับรัฐธรรมนูญ 2540
การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis) และการแมปเชิงแนวคิด (concept-mapping) แสดงให้เห็นความสอดคล้องเชิงโครงสร้างระหว่างพาราไดม์สุขวิชโนมิกส์กับบทบัญญัติและกลไกของรัฐธรรมนูญ 2540 ประเด็นสำคัญที่ได้จากการวิเคราะห์มีดังนี้:
ฐานคิด “คนเป็นศูนย์กลางของระบบเศรษฐกิจ–สังคม” ถูกแปลงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น สิทธิการศึกษา 12+3, สิทธิในการพัฒนา และการรับรองคุณภาพบริการสาธารณะ และ สิทธิการรักษาพยาบาล มาตรา 52,62, &82
ฐานคิด “เมืองเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนา” ถูกแปลงเป็นการกระจายอำนาจด้านงบประมาณ การวางแผน และการกำกับดูแลท้องถิ่น
ฐานคิด “ข้อมูลและดิจิทัลคือรากฐานรัฐสมัยใหม่” สะท้อนในกลไกความโปร่งใส การเปิดเผยข้อมูล และสถาบันตรวจสอบอิสระ
ฐานคิด “ความยั่งยืนและสิทธิชุมชน” ถูกแปลเป็นสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร และกลไกประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ฐานคิด “รัฐต้องมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบได้” ปรากฏในกลไกตรวจสอบ ฝ่ายอิสระ และระบบบริหารราชการแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์
ผลการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างนี้ยืนยันว่า รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ได้เป็นกฎหมายที่เกิดจากเหตุการณ์ทางการเมืองแบบเฉพาะหน้า แต่เป็น “สถาปัตยกรรมเชิงสถาบันของพาราไดม์สุขวิชโนมิกส์” อย่างเป็นระบบ
4.2 ผลลัพธ์เชิงสถาบัน (Institutional Outcomes)
ผลลัพธ์ที่วัดได้จากการแปลงพาราไดม์สู่สถาบัน สามารถจัดอยู่ใน 4 กลุ่ม:
4.2.1 การสถาปนาสิทธิและมาตรฐานทางสังคม
รัฐธรรมนูญ 2540 กำหนดสิทธิทางสังคมและมาตรฐานขั้นต่ำของรัฐไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น:
สิทธิการศึกษาแบบมีคุณภาพ
สิทธการรักษาพยาบาลครอบคลุม พื้นที่ 100%
มาตรฐานบริการภาครัฐทุกๆด้าน
สิทธิชุมชนและส่วนร่วมสาธารณะ
ผลลัพธ์นี้ทำให้เกิด “Minimum State Guarantees” ซึ่งยกฐานคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างถาวร
4.2.2 การปรับโครงสร้างรัฐสู่การบริหารสมัยใหม่
ผลลัพธ์รวมถึง:
องค์กรอิสระ
ระบบตรวจสอบถ่วงดุล
ระบบจัดทำงบประมาณแบบใหม่
กลไกเปิดเผยข้อมูล
ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับหลักคิดสุขวิชโนมิกส์เรื่อง “รัฐต้องตรวจสอบได้ มีข้อมูล และมีประสิทธิภาพสูง”
4.2.3 การกระจายอำนาจและการเกิดขึ้นของ “รัฐแบบเมือง”
ผลลัพธ์ชัดเจนสองประการ:
พื้นที่ท้องถิ่นได้อำนาจวางแผนและใช้งบประมาณมากขึ้น
เมืองกลายเป็นหน่วยวิเคราะห์และหน่วยพัฒนาเศรษฐกิจ
สิ่งนี้ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนจาก “รัฐรวมศูนย์แบบราชการ” ไปสู่ “รัฐแบบพื้นที่และเมือง”
4.2.4 การสร้างระบบข้อมูลและความโปร่งใส
เมื่อรัฐธรรมนูญบังคับให้หน่วยงานรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลและถูกรับผิดชอบมากขึ้น ผลลัพธ์คือ:
ระบบข้อมูลภาครัฐเริ่มเชื่อมโยง
การประเมินผลเชิงนโยบายมีฐานข้อมูลรองรับ
ประชาชนมีบทบาทกำกับตรวจสอบ
ส่งผลให้ “Digital Governance” กลายเป็นทิศทางหลีกเลี่ยงไม่ได้ของประเทศไทยหลังปี 2540
4.3 ผลลัพธ์เชิงเหตุผล: รัฐธรรมนูญ 2540 ในฐานะการถอดรหัส ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์
จากผลการวิเคราะห์สามารถสรุปได้ว่า การออกแบบของรัฐธรรมนูญ 2540 คือ “การถอดรหัสหลักคิดของ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์” โดยมี 3 เหตุผลเชิงสถาบัน:
ความสอดคล้องเชิงแนวคิด (Conceptual Alignment)
ทุกโครงสร้างหลักในรัฐธรรมนูญเชื่อมโยงกับองค์ประกอบพื้นฐานของสุขวิชโนมิกส์อย่างเป็นระบบ
ความสอดคล้องเชิงกลไก (Mechanism Alignment)
กลไกทางกฎหมาย เช่น องค์กรอิสระ สิทธิชุมชน หรือการกระจายอำนาจ ทำหน้าที่เหมือน “ระบบปฏิบัติการ” ที่แปลงหลักคิดสู่การทำงานจริง
ความสอดคล้องเชิงผลลัพธ์ (Outcome Alignment)
ผลลัพธ์หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้สอดคล้องกับผลที่พึงคาดหมายตามพาราไดม์สุขวิชโนมิกส์ ทั้งด้านคน เมือง ดิจิทัล คุณภาพรัฐ และความยั่งยืน
4.4 ข้อค้นพบสำคัญ (Key Findings)
รัฐธรรมนูญ 2540 เป็น Institutional Encoding ของ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์
หลักคิดเชิงเศรษฐศาสตร์–สังคมสามารถแปลงเป็นสถาบันถาวรได้จริงผ่านรัฐธรรมนูญ
การออกแบบสถาบันแบบ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ทำให้รัฐไทยเข้าสู่ความเป็นรัฐสมัยใหม่เร็วกว่าที่คาดการณ์
ผลลัพธ์เชิงสถาบันที่เกิดขึ้นยังคงส่งผลยาวถึงปัจจุบันแม้รัฐธรรมนูญ 2540 ถูกยกเลิก
นี่เป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนของ “แนวคิดกำหนดสถาบัน” (Ideas Shape Institutions) ซึ่งพบได้ในประเทศที่มีการปฏิรูปเชิงพาราไดม์ เช่น ฟินแลนด์ เกาหลีใต้ และไอร์แลนด์
4.5 การอภิปราย
ผลลัพธ์ทั้งหมดสนับสนุนว่า ช่วงปี 2538–2540 ถือเป็น “จุดเปลี่ยนของรัฐไทย” (Thai State Turning Point) ซึ่งเกิดจากหลักคิด ของ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์และถูกทำให้เป็นรูปธรรมผ่านรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งสะท้อนความสามารถของผู้ออกแบบนโยบายในการแปลงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์พัฒนาให้เป็นสถาบันถาวรของรัฐ