กับดักรัฐประหารในประเทศไทย

กระทู้สนทนา
กับดักรัฐประหารในประเทศไทย


บทคัดย่อ


บทความนี้วิเคราะห์ทางเลือกเชิงนโยบายและผลกระทบทางการเมืองในกรณีที่แนวทาง “สุขวิชโนมิกส์” ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบในระบบเลือกตั้งไทยช่วงปลายทศวรรษ 2530 ถึงต้นทศวรรษ 2540 โดยเปรียบเทียบกับแนวทางประชานิยมที่ได้รับการผลักดันหลังปี 2544 ภายใต้รัฐบาลที่เน้นการกระจายผลประโยชน์ผ่านนโยบายกลางทางการคลัง แต่ขาดการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและการมีส่วนร่วมทางสังคม บทความเสนอว่า หากประเทศไทยยึดแนวทาง “สุขวิชโนมิกส์” ที่เน้นการกระจายอำนาจ การสร้างธรรมาภิบาล และการมีส่วนร่วมของพลเมืองอย่างแท้จริง ประเทศอาจหลีกเลี่ยงวิกฤตรัฐประหารซ้ำซากที่เกิดขึ้นในปี 2549 และ 2557 ซึ่งสะท้อนถึงความล้มเหลวเชิงสถาบันและการเมืองที่ฝังลึก


1. บทนำ


การเมืองไทยในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาเป็นภาพสะท้อนของการต่อสู้ระหว่างสองแนวทางเชิงอุดมการณ์หลัก: หนึ่งคือแนวทางประชานิยมซึ่งเน้นผลประโยชน์เฉพาะหน้าและการขยายฐานเสียงผ่านสวัสดิการเชิงปริมาณ อีกหนึ่งคือแนวทาง “สุขวิชโนมิกส์” ซึ่งพัฒนาโดย คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ที่เน้นการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง สร้างระบบราชการที่โปร่งใส ยั่งยืน และมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง


แม้แนวทางสุขวิชโนมิกส์จะได้รับการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ แต่กลับไม่ถูกนำไปใช้ต่อเนื่องหลังการเปลี่ยนรัฐบาลในปี 2544 ซึ่งนำไปสู่การย้อนกลับของการกระจายอำนาจและการผูกขาดนโยบายโดยกลุ่มการเมือง ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระยะยาวและจบลงด้วยรัฐประหารถึงสองครั้งในเวลาเพียง 8 ปี


2. สุขวิชโนมิกส์:


สุขวิชโนมิกส์คือชุดแนวคิดนโยบายที่วางอยู่บน “4 เสาหลักแห่งความมั่นคงของประชาชน” ได้แก่ การศึกษา สาธารณสุข ความยุติธรรม และความมั่นคงทางสังคม แนวทางนี้เน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ท้องถิ่น และประชาชน โดยมีการผลักดันอย่างจริงจังผ่านรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งรับรองสิทธิพื้นฐานและการมีส่วนร่วมของพลเมืองในกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะ

หลังการเลือกตั้งปี 2544 รัฐบาลใหม่ได้นำแนวนโยบายประชานิยมมาใช้ โดยปรับแนวคิด “30 บาทรักษาทุกโรค” จากระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองแทนการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ส่งผลให้ระบบราชการและองค์กรปกครองท้องถิ่นถูกกันออกจากกระบวนการตัดสินใจ


3. ผลของการไม่สานต่อนโยบายสุขวิชโนมิกส์


การไม่ดำเนินนโยบายกระจายอำนาจและการขาดธรรมาภิบาลในการบริหารภาครัฐ นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทั้งในเชิงเศรษฐกิจและพื้นที่ ระหว่างเมืองกับชนบท และระหว่างกลุ่มที่เข้าถึงอำนาจกับกลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ประชานิยมในแบบ “รัฐจัดให้ทุกอย่าง” ส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมพึ่งพา ขาดความเข้มแข็งขององค์กรชุมชน และสร้างความตึงเครียดระหว่างกลุ่มการเมืองต่าง ๆ จนนำไปสู่เหตุรัฐประหารปี 2549 และ 2557 โดยกองทัพอ้างความชอบธรรมจาก “ความแตกแยกของสังคม” ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและการละเลยแนวทางสุขวิชโนมิกส์


4. บทเรียนจากโอกาสที่สูญหาย


หากแนวทางของ คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ได้รับการสนับสนุนผ่านกลไกการเลือกตั้งและสืบทอดต่อเนื่องหลังปี 2544 ประเทศไทยอาจบรรลุเป้าหมายของ “รัฐประชาชน” ที่รัฐธรรมนูญปี 2540 วางไว้ โดยมีระบบสุขภาพที่ยั่งยืน ระบบราชการที่รับผิดชอบต่อประชาชน และระบบการศึกษาที่พัฒนาอย่างทั่วถึง

ประเทศอาจสามารถป้องกันความไม่ไว้วางใจทางการเมือง ปลดชนวนความตึงเครียดระหว่างชนชั้น และสร้างการมีส่วนร่วมที่แท้จริง โดยไม่ต้องพึ่งอำนาจพิเศษหรือรัฐประหาร


5. บทสรุป


การไม่สานต่อแนวทางสุขวิชโนมิกส์คือโศกนาฏกรรมทางนโยบายที่ประเทศไทยต้องชดใช้มานานกว่าสองทศวรรษ หากสังคมไทยต้องการหลุดพ้นจากวังวนของรัฐประหาร ความแตกแยก และการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ จำเป็นต้องย้อนกลับไปทบทวนแนวคิดดั้งเดิมที่ตั้งอยู่บนฐานของการกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วมของประชาชน และการพัฒนาสถาบันในระบอบประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่