ความสัมพันธ์ของประชาชนสองฝั่งชายแดนไม่เคยมีความขัดแย้งรุนแรง แม้จะมีข้อพิพาททางการเมืองเรื่องเขตแดนก็ตาม โดยตลอด 20 ปีที่ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ พบว่าคนท้องถิ่นยังคงมีสายสัมพันธ์แบบเครือญาติและวิถีชีวิตร่วมกันได้อย่างสงบ
ตั้งแต่ไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาในปี 2551 ปัญหาความไม่ไว้วางใจระหว่างประเทศเริ่มขยายวง โดยเฉพาะในเชิงนโยบาย ที่ทั้งสองรัฐใช้เป็นเครื่องมือบรรลุผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง และอ้างว่าเพื่อ “สันติภาพและความมั่นคง” โดยปราศจากความโปร่งใส
แฉที่มา MOU 43 และกระบวนการเจรจาที่ไม่เป็นธรรม ย้อนถึงกระบวนการเจรจาเขตแดนที่เริ่มตั้งแต่ปี 2537 และนำไปสู่การลงนาม MOU 2543 (MOU 43) เพื่อสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนใหม่ โดยอ้างอิงสนธิสัญญาสมัยอาณานิคมและแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งภาคีฯ เห็นว่าไม่ใช่แผนที่ที่ไทยรับรองอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ
แถลงการณ์ระบุว่า MOU 43 ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และเป็นการอ้างแผนที่ที่ไม่ผ่านกระบวนการ.....จึงถือว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และ ละเมิด....โดยตรง
ภาคีฯ ยังเห็นว่าการใช้กลไกภายใต้ MOU 43 เช่น JBC, GBC และ RBC ล้วนเป็นกระบวนการที่เปิดช่องให้ไทยเสียเปรียบในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ และอาจกลายเป็นฝ่ายถูกกล่าวหาว่า “รุกราน” ในเวทีศาลโลก
วิถีชายแดนไม่มีปัญหา แต่การเมืองสร้างปัญหา รัฐทั้งสองใช้นโยบาย “สมประโยชน์” ที่ซ่อนผลประโยชน์ทางการเมือง
ตั้งแต่ไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาในปี 2551 ปัญหาความไม่ไว้วางใจระหว่างประเทศเริ่มขยายวง โดยเฉพาะในเชิงนโยบาย ที่ทั้งสองรัฐใช้เป็นเครื่องมือบรรลุผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง และอ้างว่าเพื่อ “สันติภาพและความมั่นคง” โดยปราศจากความโปร่งใส
แฉที่มา MOU 43 และกระบวนการเจรจาที่ไม่เป็นธรรม ย้อนถึงกระบวนการเจรจาเขตแดนที่เริ่มตั้งแต่ปี 2537 และนำไปสู่การลงนาม MOU 2543 (MOU 43) เพื่อสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนใหม่ โดยอ้างอิงสนธิสัญญาสมัยอาณานิคมและแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งภาคีฯ เห็นว่าไม่ใช่แผนที่ที่ไทยรับรองอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ