ในการให้การด้วยวาจาต่อศาลโลกของทีมนักกฎหมายฝ่ายไทย นำโดยนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ตามด้วยนักกฎหมาย ทนายความ ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามจะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยอย่างสุดกำลัง
เมื่อเทียบกับการทูตและนโยบายการต่างประเทศในยุคระบอบทักษิณ จะทำให้เห็นเส้นแบ่งระหว่างการทำงานราชการต่างประเทศที่มุ่งปกป้องชาติ กับการต่างประเทศแบบขี้ข้าขายชาติ
1) ประเด็นสำคัญที่ท่านทูตวีระชัยหยิบยกขึ้นมาให้การต่อศาลโลก ตอบโต้และตอกกลับฝ่ายกัมพูชา ล้วนแต่ชัดเจน และขับเน้นให้เห็นภาพแห่งปัญหาแท้จริงยิ่งขึ้น เช่น
ปัญหาการปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในยุครัฐบาลก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย แต่เป็นเพราะนโยบายการต่างประเทศที่ก้าวร้าวและทะเยอทะยานของฝ่ายกัมพูชาเอง!
ฝ่ายไทยปฏิบัติตามคำพิพากษา 2505 ครบถ้วนไปแล้ว โดยที่ฝ่ายกัมพูชาแสดงออกถึงการยอมรับ กระทั่งเมื่อกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยฝ่ายเดียวจึงพยายามก่อเหตุขึ้นมา แม้ว่าไทยเจรจาก็ไม่เป็นผล มีการยั่วยุ ทำให้ไทยต้องใช้แนวทางป้องกันตนเอง
บันทึกข้อตกลง (MOU) 2543 เป็นเอกสารสำคัญที่กัมพูชายอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรไม่ได้อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา มีการกำหนดแนวทางเจรจาผ่านทางคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือเจบีซี (Joint Border Committee) โดยใช้หลักสันปันน้ำ ขณะเดียวกัน ฝ่ายกัมพูชากลับละเมิด MOU กระทั่งถูกฝ่ายไทยประท้วงอย่างเป็นทางการ
กัมพูชาจัดทำข้อมูลเท็จ สร้างเรื่องขึ้นมา โดยเจตนาเพื่อใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือ เจตนาไม่บริสุทธิ์ พยายามให้ศาลตีความพื้นที่เส้นเขตแดนระหว่างประเทศ มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรัก ทั้งๆ ที่ ในปี 2505 ศาลโลกได้ปฏิเสธที่จะพิพากษาอย่างชัดแจ้งไปแล้ว การร้องขอให้ศาลตีความเส้นเขตแดนดังกล่าวจึงเป็นคำขอที่รับไม่ได้ เป็นเหมือนคำอุทธรณ์ ถือว่าเป็นคำร้องโดยมิชอบ
ยังไม่นับความพยายามต่อสู้ของฝ่ายไทย ที่หยิบยกเอาแผนที่ชุดใหญ่ นำมาหักล้างฝ่ายกัมพูชา แสดงให้ศาลเห็นว่าแผนที่ที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามจะอ้างซ้ำแล้วซ้ำอีกนั้น ไม่อยู่กับร่องกับรอย มีปัญหาความถูกต้อง ไม่ชอบธรรม และไม่สามารถนำมาใช้ได้จริงขนาดไหน
เป็นภาพที่ขัดแย้งกับการให้การของฝ่ายกัมพูชาเมื่อวันก่อน ที่เขาหยิบเอาแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลระบอบทักษิณไปอ้างถึง เพื่อใช้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายกัมพูชาเขา
2) ต้องไม่ลืมว่า ท่านทูตวีรชัยคนนี้เองที่เคยถูกนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เสนอรัฐบาลสมัครให้ย้ายพ้นจากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย หลังทำบันทึกคัดค้านการออกแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวของกัมพูชา
จากนั้น ระบอบทักษิณก็เดินหน้าออกแถลงการณ์ร่วมฯ จนสำเร็จ
ครั้งนั้น นายวีรชัยถูกย้ายไปเป็นเอกอัคราชทูตประจำกระทรวง
หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายวีรชัยจึงได้กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม ก่อนจะได้รับการมอบหมายจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้เป็นหัวหน้าทีมกฎหมายฝ่ายไทยสู้คดีในศาลโลก
ปัจจุบัน นายนพดลถูก ป.ป.ช.ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลฎีกาฯ คำฟ้องบางตอนระบุว่า “ฝักใฝ่ผลประโยชน์กัมพูชายิ่งกว่าผลประโยชน์ไทย...”
3) ล่าสุด ปรากฏว่า นายนพดล ปัทมะ เขียนเฟซบุ๊ค พยายามแก้ตัว
นายนพดลอ้างว่า “ทำไมเวลาเขมรพูดว่ารัฐบาลเก่าไปรุกรานเขา เขาจึงต้องกลับไปศาลโลก ท่านไม่เชื่อ แต่ท่านเชื่อว่ารัฐบาลสมัครไปสนับสนุนเขาให้ขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลก”
ขอตอบว่า ก็เพราะว่าคนฟังเขาไม่ได้เชื่อเพราะว่าเขมรพูด หรือฝรั่งฝ่ายเขมรพูด แต่เขาเชื่อเพราะพิจารณาตามข้อมูลข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ทนโท่
นพดลอ้างว่า “...ถ้าทำแบบรัฐบาลสมัคร บริเวณชายแดนนั้นจะมีแต่สันติภาพ และเขมรจะไม่นำคดีมายื่นตีความต่อศาลโลกอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้แน่”
ขอตอบว่า อาจจะเป็นไปได้ เพราะฝ่ายการเมืองของเขมรคงสมประโยชน์ของตนเอง โดยไม่สนใจความถูกต้องชอบธรรม เนื่องจากประเทศไทยมีรัฐบาลที่ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติตน แต่กลับมีพฤติกรรมไปฝักใฝ่ผลประโยชน์ของรัฐบาลเขมร ดังที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด และฟ้องร้องต่อศาลฎีกาฯ แล้วนั่นเอง
ขอเรียกร้องให้นายนพดลอย่าได้สร้างความสับสนให้สังคมไทยอีกเลย
ยิ่งดิ้น ยิ่งมัดแน่น
เชิญไปต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกาฯ จะดีกว่า
ภาพและการกระทำของนายนพดล โดยเฉพาะการไปพินอบพิเทากับฮุนเซนนั้น ติดตาตรึงใจคนไทยที่ไม่ใช่ขี้ข้าทักษิณและไม่ใช่ขี้ข้าฮุนเซนเหลือเกิน!
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/6284
ปล.คอยดูกันครับ...ความจริงก็คือความจริง...หนีไม่พ้นครับ...เอิ๊ก ๆ ๆ
เส้นแบ่งระหว่างการปกป้องชาติ กับการขายชาติ
เมื่อเทียบกับการทูตและนโยบายการต่างประเทศในยุคระบอบทักษิณ จะทำให้เห็นเส้นแบ่งระหว่างการทำงานราชการต่างประเทศที่มุ่งปกป้องชาติ กับการต่างประเทศแบบขี้ข้าขายชาติ
1) ประเด็นสำคัญที่ท่านทูตวีระชัยหยิบยกขึ้นมาให้การต่อศาลโลก ตอบโต้และตอกกลับฝ่ายกัมพูชา ล้วนแต่ชัดเจน และขับเน้นให้เห็นภาพแห่งปัญหาแท้จริงยิ่งขึ้น เช่น
ปัญหาการปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในยุครัฐบาลก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย แต่เป็นเพราะนโยบายการต่างประเทศที่ก้าวร้าวและทะเยอทะยานของฝ่ายกัมพูชาเอง!
ฝ่ายไทยปฏิบัติตามคำพิพากษา 2505 ครบถ้วนไปแล้ว โดยที่ฝ่ายกัมพูชาแสดงออกถึงการยอมรับ กระทั่งเมื่อกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยฝ่ายเดียวจึงพยายามก่อเหตุขึ้นมา แม้ว่าไทยเจรจาก็ไม่เป็นผล มีการยั่วยุ ทำให้ไทยต้องใช้แนวทางป้องกันตนเอง
บันทึกข้อตกลง (MOU) 2543 เป็นเอกสารสำคัญที่กัมพูชายอมรับว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรไม่ได้อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา มีการกำหนดแนวทางเจรจาผ่านทางคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือเจบีซี (Joint Border Committee) โดยใช้หลักสันปันน้ำ ขณะเดียวกัน ฝ่ายกัมพูชากลับละเมิด MOU กระทั่งถูกฝ่ายไทยประท้วงอย่างเป็นทางการ
กัมพูชาจัดทำข้อมูลเท็จ สร้างเรื่องขึ้นมา โดยเจตนาเพื่อใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือ เจตนาไม่บริสุทธิ์ พยายามให้ศาลตีความพื้นที่เส้นเขตแดนระหว่างประเทศ มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรัก ทั้งๆ ที่ ในปี 2505 ศาลโลกได้ปฏิเสธที่จะพิพากษาอย่างชัดแจ้งไปแล้ว การร้องขอให้ศาลตีความเส้นเขตแดนดังกล่าวจึงเป็นคำขอที่รับไม่ได้ เป็นเหมือนคำอุทธรณ์ ถือว่าเป็นคำร้องโดยมิชอบ
ยังไม่นับความพยายามต่อสู้ของฝ่ายไทย ที่หยิบยกเอาแผนที่ชุดใหญ่ นำมาหักล้างฝ่ายกัมพูชา แสดงให้ศาลเห็นว่าแผนที่ที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามจะอ้างซ้ำแล้วซ้ำอีกนั้น ไม่อยู่กับร่องกับรอย มีปัญหาความถูกต้อง ไม่ชอบธรรม และไม่สามารถนำมาใช้ได้จริงขนาดไหน
เป็นภาพที่ขัดแย้งกับการให้การของฝ่ายกัมพูชาเมื่อวันก่อน ที่เขาหยิบเอาแถลงการณ์ร่วมของรัฐบาลระบอบทักษิณไปอ้างถึง เพื่อใช้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายกัมพูชาเขา
2) ต้องไม่ลืมว่า ท่านทูตวีรชัยคนนี้เองที่เคยถูกนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เสนอรัฐบาลสมัครให้ย้ายพ้นจากอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย หลังทำบันทึกคัดค้านการออกแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวของกัมพูชา
จากนั้น ระบอบทักษิณก็เดินหน้าออกแถลงการณ์ร่วมฯ จนสำเร็จ
ครั้งนั้น นายวีรชัยถูกย้ายไปเป็นเอกอัคราชทูตประจำกระทรวง
หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายวีรชัยจึงได้กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม ก่อนจะได้รับการมอบหมายจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้เป็นหัวหน้าทีมกฎหมายฝ่ายไทยสู้คดีในศาลโลก
ปัจจุบัน นายนพดลถูก ป.ป.ช.ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลฎีกาฯ คำฟ้องบางตอนระบุว่า “ฝักใฝ่ผลประโยชน์กัมพูชายิ่งกว่าผลประโยชน์ไทย...”
3) ล่าสุด ปรากฏว่า นายนพดล ปัทมะ เขียนเฟซบุ๊ค พยายามแก้ตัว
นายนพดลอ้างว่า “ทำไมเวลาเขมรพูดว่ารัฐบาลเก่าไปรุกรานเขา เขาจึงต้องกลับไปศาลโลก ท่านไม่เชื่อ แต่ท่านเชื่อว่ารัฐบาลสมัครไปสนับสนุนเขาให้ขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลก”
ขอตอบว่า ก็เพราะว่าคนฟังเขาไม่ได้เชื่อเพราะว่าเขมรพูด หรือฝรั่งฝ่ายเขมรพูด แต่เขาเชื่อเพราะพิจารณาตามข้อมูลข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ทนโท่
นพดลอ้างว่า “...ถ้าทำแบบรัฐบาลสมัคร บริเวณชายแดนนั้นจะมีแต่สันติภาพ และเขมรจะไม่นำคดีมายื่นตีความต่อศาลโลกอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้แน่”
ขอตอบว่า อาจจะเป็นไปได้ เพราะฝ่ายการเมืองของเขมรคงสมประโยชน์ของตนเอง โดยไม่สนใจความถูกต้องชอบธรรม เนื่องจากประเทศไทยมีรัฐบาลที่ไม่ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติตน แต่กลับมีพฤติกรรมไปฝักใฝ่ผลประโยชน์ของรัฐบาลเขมร ดังที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด และฟ้องร้องต่อศาลฎีกาฯ แล้วนั่นเอง
ขอเรียกร้องให้นายนพดลอย่าได้สร้างความสับสนให้สังคมไทยอีกเลย
ยิ่งดิ้น ยิ่งมัดแน่น
เชิญไปต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกาฯ จะดีกว่า
ภาพและการกระทำของนายนพดล โดยเฉพาะการไปพินอบพิเทากับฮุนเซนนั้น ติดตาตรึงใจคนไทยที่ไม่ใช่ขี้ข้าทักษิณและไม่ใช่ขี้ข้าฮุนเซนเหลือเกิน!
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/6284
ปล.คอยดูกันครับ...ความจริงก็คือความจริง...หนีไม่พ้นครับ...เอิ๊ก ๆ ๆ