ประเด็นนี้มีการเสนอหลักการ เพื่อให้เกิดความปรองดอง สมานฉันท์เสริมสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งที่อาจจะนำไปสู่สงครามแย่งชิงดินแดน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น
นั่นคือผนวกพื้นที่ 4.6 ตร.กม. และตัวปราสาทพระวิหารเป็น “มรดกโลก” ร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดและไม่มีใครเสียหาย
ปรากฏว่า “กัมพูชา” ไม่เอาด้วย อ้างว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของเขา
ว่าที่จริงแล้วแนวทางนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีสุดคือได้ประโยชน์ร่วมกัน เพียงแต่ว่าสมัยที่นายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปลงนามบันทึกข้อตกลงเอาไว้ดังต่อไปนี้
“โดยกัมพูชาได้ขอร้องว่าความร่วมมือระหว่างไทย-กัมพูชาในเรื่องนี้ จะเริ่มขึ้นหลังจากที่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งในครั้งนั้นฝ่ายไทยได้รับทราบโดยขอให้มีการร่วมมือและปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดในทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก การพัฒนาพื้นที่และการบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทพระวิหาร”
นี่คือ “ใบเสร็จ” สำคัญที่ไทยเสียค่าโง่ไปตามระเบียบ
คำถามก็มีอยู่ว่าทำไมรัฐบาลไทยในขณะนั้นถึงไปยินยอมลงนามข้อตกลงทั้งๆที่ยังไม่ได้ตกลงกันในหลักการอย่างที่ควรจะเป็น มันมีอะไรลึกลับซับซ้อนหรือมีได้มีเสียอะไรกันหรือ
พอรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เข้ามาบริหารประเทศจึงไม่ยอมรับการดำเนินการของรัฐบาลชุดนั้นและกัมพูชา โดยยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.นั้นเป็นของไทยและไม่ยอมให้กัมพูชาเข้ามารุกล้ำเป็นอันขาด
นั่นทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งและเกิดการปะทะกันหลายครั้ง จนกระทั่งนำไปสู่การให้ศาลโลกตีความดังกล่าวเพื่อหวังได้พื้นที่ดังกล่าว อ้างว่าความเป็นมรดกโลกนอกจากตัวปราสาทแล้วจะต้องมีพื้นที่รองรับด้วย
ตัดตอนบางส่วนจากไทยรัฐ
รับรู้มานานแล้วว่า พระวิหารเป็นของเขมร
แต่พื้นที่ขัดแย้ง 4 .6 ตาราง กม ต่างหากที่ต้องยื้อไว้
เพราะไม่ได้ดสียแค่นี้ แต่จะเป็นจุดยึดโดยงในการกำหนดแผนที่ในทะเลด้วย
ที่มาที่ไปกรณีเขมรไปยื่นเรื่องพระวิหารต่อศาลโลก
นั่นคือผนวกพื้นที่ 4.6 ตร.กม. และตัวปราสาทพระวิหารเป็น “มรดกโลก” ร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดและไม่มีใครเสียหาย
ปรากฏว่า “กัมพูชา” ไม่เอาด้วย อ้างว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของเขา
ว่าที่จริงแล้วแนวทางนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีสุดคือได้ประโยชน์ร่วมกัน เพียงแต่ว่าสมัยที่นายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปลงนามบันทึกข้อตกลงเอาไว้ดังต่อไปนี้
“โดยกัมพูชาได้ขอร้องว่าความร่วมมือระหว่างไทย-กัมพูชาในเรื่องนี้ จะเริ่มขึ้นหลังจากที่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งในครั้งนั้นฝ่ายไทยได้รับทราบโดยขอให้มีการร่วมมือและปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดในทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก การพัฒนาพื้นที่และการบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทพระวิหาร”
นี่คือ “ใบเสร็จ” สำคัญที่ไทยเสียค่าโง่ไปตามระเบียบ
คำถามก็มีอยู่ว่าทำไมรัฐบาลไทยในขณะนั้นถึงไปยินยอมลงนามข้อตกลงทั้งๆที่ยังไม่ได้ตกลงกันในหลักการอย่างที่ควรจะเป็น มันมีอะไรลึกลับซับซ้อนหรือมีได้มีเสียอะไรกันหรือ
พอรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เข้ามาบริหารประเทศจึงไม่ยอมรับการดำเนินการของรัฐบาลชุดนั้นและกัมพูชา โดยยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.นั้นเป็นของไทยและไม่ยอมให้กัมพูชาเข้ามารุกล้ำเป็นอันขาด
นั่นทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งและเกิดการปะทะกันหลายครั้ง จนกระทั่งนำไปสู่การให้ศาลโลกตีความดังกล่าวเพื่อหวังได้พื้นที่ดังกล่าว อ้างว่าความเป็นมรดกโลกนอกจากตัวปราสาทแล้วจะต้องมีพื้นที่รองรับด้วย
ตัดตอนบางส่วนจากไทยรัฐ
รับรู้มานานแล้วว่า พระวิหารเป็นของเขมร
แต่พื้นที่ขัดแย้ง 4 .6 ตาราง กม ต่างหากที่ต้องยื้อไว้
เพราะไม่ได้ดสียแค่นี้ แต่จะเป็นจุดยึดโดยงในการกำหนดแผนที่ในทะเลด้วย