บูชายันต์ “นพดล” สังเวยคดีพระวิหาร

กระทู้สนทนา


           การไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนกัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารของนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนให้กับกัมพูชาและเป็นเรื่องที่นายนพดลต้องชดใช้ด้วยชีวิต โดยล่าสุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ตั้งองค์คณะขึ้นเพื่อพิจารณาคดีที่เกิดจากการกระทำดังกล่าวของนายนพดลแล้ว
       
        19 มีนาคม 2556 คือวันที่นายนพดลต้องจดจำ เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ได้มอบหมายให้ทนายความยื่นฟ้องนายนพดลต่อศาลฎีกาฯ เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ในกรณีที่นายนพดลไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ที่สนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาไทย
       
        พฤติกรรมอำพรางส่อเจตนายกแผ่นดินไทยให้เขมร ป.ป.ช.ได้ย้อนความในสำนวนฟ้องว่านับแต่ศาลโลกลงความเห็นเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ภายใต้อาณาเขตอธิปไตยของกัมพูชาฯ และไทยได้ยื่นแถลงการณ์เพื่อประท้วงคำพิพากษาศาลโลกและยังสงวนสิทธิ์ที่จะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคตด้วย โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติกำหนดเขตปราสาทพระวิหารเพื่อปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลโลกโดยขีดเส้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าครอบปราสาทพระวิหารเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 4 ตร.กม. และยึดถือปฏิบัติมาจนทุกวันนี้
       
        กระทั่ง พ.ศ. 2548 กัมพูชายื่นเอกสารต่อองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว ทางนายมนัสพาสน์ ชูโต เอกอัคราชฑูตไทยประจำสหรัฐ ไปคัดค้านไว้ในการประชุมบอร์ดมรดกโลกที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ จนกัมพูชาไม่สามารถขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ ต่อมาสมัยนายสมัคร สุนทรเวช รับหน้าที่นายกรัฐมนตรี ช่วงระหว่างวันที่ 3 - 4 มีนาคม 2551 นายสมัคร ได้ไปพบผู้นำกัมพูชาเรื่องขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปหารือกับนายสก อาน รองนายกฯ และรมต.ประจำสำนักนายกฯกัมพูชา โดยกัมพูชาขอให้ไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร
       
        จากนั้นนายนพดล ได้นำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ให้ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศพิจารณา ทางนายวีรชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ในขณะนั้น มีบันทึกช่วยจำคัดค้านเรื่องดังกล่าว แต่จำเลยไม่เห็นด้วยจึงเสนอครม.ให้นายวีระชัย พลาศรัย พ้นจากตำแหน่ง ทั้งที่นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงทักท้วง แต่นายนพดล ยังยืนยันว่าไม่สามารถรวมงานกับอธิบดีที่มีความคิดเช่นนี้ได้
       
        ต่อมานายนพดล ยังเดินทางไปเขมรอีกหารือกับนายสก อาน เรื่องปราสาทพระวิหารรวมไปถึงการกำหนดเขตทางทะเลระหว่างประเทศ และมีความประสงค์จะทำแถลงการณ์ร่วมโดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน มีการนำเรื่องเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ แบบปิดบังอำพรางและมีเหตุจูงใจแอบแฝง แล้วนำเข้าที่ประชุมครม.โดยไม่มีเอกสารแจกให้ที่ประชุมพิจารณาล่วงหน้า เพียงแต่แสดงแผนที่บนจอภาพ ใช้เวลา 15 นาที มีรัฐมนตรีอภิปรายทักท้วงในเรื่องเขตแดน แต่นายนพดล ก็ยืนยันว่าไม่มีปัญหา และกระทำอย่างลุกลี้ลุกลนให้ครม.ยอมรับร่างคำแถลงการณ์ จนวันที่ 18 มิถุนายน 2551 นายนพดล ได้ลงนามในแถลงการณ์ดังกล่าว ไม่สนใจในเสียงทักท้วง ท้วงติงจากหลายฝ่าย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่