ในวันที่ 15 มิถุนายน 2505 โลกได้จารึกบาดแผลลึกไว้บนหัวใจของประชาชนชาวไทย เมื่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้หยิบยกเอา "แผนที่ 1:200,000" หรือที่เรียกกันว่า Annex I Map ขึ้นมาเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ชี้ขาดอนาคตของปราสาทหินศักดิ์สิทธิ์ที่เคยยืนหยัดอยู่บนผืนดินของไทย
คำพิพากษานี้ ได้กล่าวอ้างถึงสิ่งที่เรียกว่า "การนิ่งเฉย" (acquiescence) ของไทยในอดีต ศาลให้เหตุผลว่า เมื่อแผนที่ถูกจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ถูกส่งมอบให้เรานั้น เราไม่ได้แสดงการคัดค้านอย่างเป็นทางการอย่างทันท่วงที และ...นั่นถูกตีความว่าคือ "การยอมรับโดยปริยาย" ต่อเส้นเขตแดนบิดเบี้ยวที่ปรากฏบนแผนที่นั้น เส้นที่ลากผ่านไปอย่างไร้ความเข้าใจในภูมิประเทศที่แท้จริง เส้นที่ขัดแย้งกับ
"สันปันน้ำ" ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาที่เราเคยร่วมลงนามกันไว้แต่แรก
เป็นเรื่องน่าขมขื่นที่ศาลโลกกลับเทน้ำหนักให้แก่
"แผนที่" เพียงแผ่นเดียว แผนที่ที่อาจเต็มไปด้วยข้อบกพร่องทางเทคนิค ที่ถูกสร้างขึ้นในยุคที่เทคโนโลยียังด้อยพัฒนา...หนักแน่นกว่าเจตนารมณ์แห่งข้อตกลงที่เคยบรรจงรังสรรค์ขึ้นด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้น ศาลยังใช้ "มาตรฐานสองบรรทัดฐาน" อย่างเห็นได้ชัด เมื่อนำเหตุผลเรื่อง "การนิ่งเฉย" มาตัดสินเรา แต่กลับไม่พิจารณาถึงข้อเท็จจริงว่าไทยได้ปกครองดูแลเขาพระวิหารมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี โดยที่อีกฝ่ายก็ "นิ่งเฉย" ไม่คัดค้านเช่นกัน
แถลงการณ์ของรัฐบาลไทยภายหลังคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505
"รัฐบาลขอแถลงให้ประชาชนชาวไทย และชาวโลกทั้งหลายทราบทั่วกันว่า ภายหลังที่ได้อ่านคำพิพากษาโดยตลอดแล้ว รัฐบาลมีความเสียใจที่ไม่อาจจะเห็นด้วยกับคำตัดสินของศาล ด้วยเหตุผลหลายประการทั้งในทางข้อเท็จจริง ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ และในทางหลักความยุติธรรม
ศาลมิได้ยึดตัวบทสนธิสัญญาระหว่างประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศส แต่กลับยึดตามแผนที่ซึ่งขัดต่อตัวบทอันชัดแจ้งของสนธิสัญญา
ในการนี้ศาลอ้างเหตุที่ฝ่ายไทยมิได้ประท้วงความไม่ถูกต้องของแผนที่ เป็นทางให้ฝ่ายไทยจะต้องเสียอธิปไตยบนดินแดน แต่ในขณะเดียวกันไม่ใช้หลักเดียวกันนี้ขึ้นกล่าวอ้างแก่ฝ่ายกัมพูชาและฝรั่งเศสในเรื่องการปกครองของฝ่ายไทยเหนือเขาพระวิหารมาเป็นเวลาช้านานกว่า 50 ปี
นอกจากจะไม่ยอมรับฟังและหักล้างคารมและเหตุผลที่ฝ่ายไทยเสนอต่อศาลแล้ว ในคำพิพากษายังแสดงให้เห็นว่าไม่มีความพยายามสืบหาข้อเท็จจริงในท้องที่ให้แน่ชัด ทั้งไม่นำพาต่อความเห็นผู้เชี่ยวชาญการแผนที่ที่ฝ่ายไทยได้เชิญไปให้ความเห็นและข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ศาลอย่างเต็มที่
นอกจากนั้นยังมีข้อสำคัญอีกว่า แผนที่ซึ่งศาลถือเป็นหลักชี้ขาดให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารนั้น ก็เป็นแผนที่ซึ่งได้สร้างขึ้นผิดไปจากความแท้จริงแห่งภูมิประเทศอีกด้วย
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ รัฐบาลไทยจึงขอประกาศอย่างชัดแจ้งว่า ประเทศไทยจะยึดมั่นและยืนหยัดในการธำรงรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนของตน และจะใช้สิทธิทุกประการที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมและปกป้องผลประโยชน์ของชาติสืบต่อไป"
แผนที่มรณะ: แถลงการณ์ปี 05 เผยความเจ็บปวดไทย ทำไมถึงปฏิเสธคำตัดสินศาลโลก
ในวันที่ 15 มิถุนายน 2505 โลกได้จารึกบาดแผลลึกไว้บนหัวใจของประชาชนชาวไทย เมื่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้หยิบยกเอา "แผนที่ 1:200,000" หรือที่เรียกกันว่า Annex I Map ขึ้นมาเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ชี้ขาดอนาคตของปราสาทหินศักดิ์สิทธิ์ที่เคยยืนหยัดอยู่บนผืนดินของไทย
คำพิพากษานี้ ได้กล่าวอ้างถึงสิ่งที่เรียกว่า "การนิ่งเฉย" (acquiescence) ของไทยในอดีต ศาลให้เหตุผลว่า เมื่อแผนที่ถูกจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ถูกส่งมอบให้เรานั้น เราไม่ได้แสดงการคัดค้านอย่างเป็นทางการอย่างทันท่วงที และ...นั่นถูกตีความว่าคือ "การยอมรับโดยปริยาย" ต่อเส้นเขตแดนบิดเบี้ยวที่ปรากฏบนแผนที่นั้น เส้นที่ลากผ่านไปอย่างไร้ความเข้าใจในภูมิประเทศที่แท้จริง เส้นที่ขัดแย้งกับ "สันปันน้ำ" ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาที่เราเคยร่วมลงนามกันไว้แต่แรก
เป็นเรื่องน่าขมขื่นที่ศาลโลกกลับเทน้ำหนักให้แก่ "แผนที่" เพียงแผ่นเดียว แผนที่ที่อาจเต็มไปด้วยข้อบกพร่องทางเทคนิค ที่ถูกสร้างขึ้นในยุคที่เทคโนโลยียังด้อยพัฒนา...หนักแน่นกว่าเจตนารมณ์แห่งข้อตกลงที่เคยบรรจงรังสรรค์ขึ้นด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้น ศาลยังใช้ "มาตรฐานสองบรรทัดฐาน" อย่างเห็นได้ชัด เมื่อนำเหตุผลเรื่อง "การนิ่งเฉย" มาตัดสินเรา แต่กลับไม่พิจารณาถึงข้อเท็จจริงว่าไทยได้ปกครองดูแลเขาพระวิหารมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี โดยที่อีกฝ่ายก็ "นิ่งเฉย" ไม่คัดค้านเช่นกัน
แถลงการณ์ของรัฐบาลไทยภายหลังคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505
"รัฐบาลขอแถลงให้ประชาชนชาวไทย และชาวโลกทั้งหลายทราบทั่วกันว่า ภายหลังที่ได้อ่านคำพิพากษาโดยตลอดแล้ว รัฐบาลมีความเสียใจที่ไม่อาจจะเห็นด้วยกับคำตัดสินของศาล ด้วยเหตุผลหลายประการทั้งในทางข้อเท็จจริง ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ และในทางหลักความยุติธรรม
ศาลมิได้ยึดตัวบทสนธิสัญญาระหว่างประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศส แต่กลับยึดตามแผนที่ซึ่งขัดต่อตัวบทอันชัดแจ้งของสนธิสัญญา
ในการนี้ศาลอ้างเหตุที่ฝ่ายไทยมิได้ประท้วงความไม่ถูกต้องของแผนที่ เป็นทางให้ฝ่ายไทยจะต้องเสียอธิปไตยบนดินแดน แต่ในขณะเดียวกันไม่ใช้หลักเดียวกันนี้ขึ้นกล่าวอ้างแก่ฝ่ายกัมพูชาและฝรั่งเศสในเรื่องการปกครองของฝ่ายไทยเหนือเขาพระวิหารมาเป็นเวลาช้านานกว่า 50 ปี
นอกจากจะไม่ยอมรับฟังและหักล้างคารมและเหตุผลที่ฝ่ายไทยเสนอต่อศาลแล้ว ในคำพิพากษายังแสดงให้เห็นว่าไม่มีความพยายามสืบหาข้อเท็จจริงในท้องที่ให้แน่ชัด ทั้งไม่นำพาต่อความเห็นผู้เชี่ยวชาญการแผนที่ที่ฝ่ายไทยได้เชิญไปให้ความเห็นและข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ศาลอย่างเต็มที่
นอกจากนั้นยังมีข้อสำคัญอีกว่า แผนที่ซึ่งศาลถือเป็นหลักชี้ขาดให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารนั้น ก็เป็นแผนที่ซึ่งได้สร้างขึ้นผิดไปจากความแท้จริงแห่งภูมิประเทศอีกด้วย
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ รัฐบาลไทยจึงขอประกาศอย่างชัดแจ้งว่า ประเทศไทยจะยึดมั่นและยืนหยัดในการธำรงรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนของตน และจะใช้สิทธิทุกประการที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมและปกป้องผลประโยชน์ของชาติสืบต่อไป"