คล้ายกับว่า การดับเครื่องชนศาลรัฐธรรมนูญของบรรดา ส.ส.และ ส.ว.ที่ร่วมกันเสนอและผ่านร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม
จะเป็นการโยกคลอนต่อความศักดิ์สิทธิ์ของ "ศาล"
เหตุผลเพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องจาก ส.ว. ด้วยมติ 3 ต่อ 2 เพื่อพิจารณาว่าการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของ ส.ส.และ ส.ว.ผิดมาตรา 68
เท่ากับเป็นการก้าวก่าย แทรกแซงอำนาจตามรัฐธรรมนูญของ "สมาชิกรัฐสภา"
อาจเป็นองค์ประกอบ 1 ซึ่งทำให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระตกเป็นเป้าในทางการเมือง
แต่ที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงก็คือ กรณีอันเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร
ยิ่งรายละเอียดการต่อสู้คดีระหว่างฝ่ายผู้ร้อง คือ กัมพูชา กับ ฝ่ายผู้ถูกร้อง คือ ไทย ได้รับการนำออกมาแผ่แบอย่างโปร่งใสมากขึ้นเพียงใด
ยิ่งทำให้สภาวะบิดเบือน เบี่ยงเบน อันเคยเกิดเมื่อปี 2551-2554 บังเกิดการสั่นไหว
เป็นความสั่นไหวไม่เพียงแต่ต่อขบวนการคลั่งชาติ หากแม้กระทั่งพรรคการเมืองในรัฐสภาบางพรรคที่แห่ตามกระแสของขบวนการคลั่งชาติ
คลั่งชาติ หลงชาติ
น่าสังเกตว่า ทิศทางและแนวโน้มของรูปการต่อสู้คดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศดำเนินไปใน 2 แนวทาง
แนวทาง 1 ศาลไม่รับพิจารณาคำร้องของผู้ร้อง
แนวทาง 1 ศาลรับพิจารณาคำร้องของผู้ร้อง นั่นหมายถึง การนำเข้าสู่กระบวนการตีความใหม่จากคำพิพากษาเมื่อปี 2505
มี 2 แนวทางนี้เท่านั้นไม่มีแนวทางอื่น
หากคำวินิจฉัยของศาลดำเนินไปในแนวทางที่ 1 นั่นหมายถึงทุกอย่างจะหวนกลับไปยึดบรรทัดฐานเดิมเมื่อปี 2505 ขณะเดียวกัน หากคำวินิจฉัยของศาลดำเนินไปในแนวทางที่ 2 นั่นหมายถึงการนำเอาบรรทัดฐานเดิมเมื่อปี 2505 มาตีความใหม่
ที่น่าสนใจก็คือ กระบวนการต่อสู้ของฝ่ายไทย คือ กระบวนการต่อสู้อันอยู่บนบรรทัดฐานเดิมเมื่อปี 2505
นั่นก็คือ ยอมรับว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ พื้นที่ทับซ้อนอันเป็นกรณีพิพาท คือ ปมเงื่อนที่ศาลอาจนำมาวินิจฉัยอีกครั้งว่าสมควรจะดำเนินไปอย่างไร ตรงนี้ต่างหากเป็นความล่อแหลม เป็นความหวาดเสียว
หากศาลรับคำร้องไว้พิจารณา
กระบวนการต่อสู้ของไทยที่ดำเนินไปตามพื้นฐานคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศวินิจฉัยไว้เมื่อปี 2505 มีความสำคัญ
สำคัญตรงที่สอดรับกับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเมื่อปี 2551
สำคัญตรงที่แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเมื่อปี 2551 ถูกกระแสคัดค้าน ต่อต้านอย่างรุนแรงว่าจะทำให้ไทยต้องเสียงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร
แม้แต่ศาลปกครองก็วินิจฉัยว่า "อาจจะ" ทำให้เสียอธิปไตย
แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยว่า "อาจจะ" ทำให้เสียดินแดน เสียอธิปไตย
กระทั่ง นายนพดล ปัทมะ ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคาราคาซังมาทุกวันนี้ เพราะถูกฟ้องร้องโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต่อศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ทั้งๆ ที่แถลงการณ์นี้กระทำบนพื้นฐานแห่งคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี 2505 ทุกประการ
ทั้งๆ ที่การต่อสู้ของคณะทนายความก็ยืนบนหลักการเดียวกัน
หลักการที่ 1 ปราสาทพระวิหารอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา หลักการที่ 1 พื้นที่โดยรอบปราสาทเป็นพื้นที่ทับซ้อน มิได้เป็นกัมพูชา มิได้เป็นของไทย
ที่ระทึกคือศาลโลกจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร
คำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในอีกไม่เกิน 6 เดือนข้างหน้าจึงทรงความหมาย
ทรงความหมาย 1 ต่อทั้งไทยและทั้งกัมพูชา ทรงความหมาย 1 ต่อระบบคิดอันดำรงอยู่ภายในสังคมไทยอันเคยมีบทบาทอย่างสูงระหว่างปี 2551-2553
ทรงความหมายต่อกระบวนการตุลาการ
ที่มา : มติชน
********************************************
พวกคลั่งชาติ คลั่งศาล อ่านเยอะๆนะครับ เคี๊ยกๆๆ
บทบาท ศาลโลก ระบบคิด ระบบตุลาการ กรณี เขาพระวิหาร
จะเป็นการโยกคลอนต่อความศักดิ์สิทธิ์ของ "ศาล"
เหตุผลเพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องจาก ส.ว. ด้วยมติ 3 ต่อ 2 เพื่อพิจารณาว่าการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของ ส.ส.และ ส.ว.ผิดมาตรา 68
เท่ากับเป็นการก้าวก่าย แทรกแซงอำนาจตามรัฐธรรมนูญของ "สมาชิกรัฐสภา"
อาจเป็นองค์ประกอบ 1 ซึ่งทำให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระตกเป็นเป้าในทางการเมือง
แต่ที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงก็คือ กรณีอันเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร
ยิ่งรายละเอียดการต่อสู้คดีระหว่างฝ่ายผู้ร้อง คือ กัมพูชา กับ ฝ่ายผู้ถูกร้อง คือ ไทย ได้รับการนำออกมาแผ่แบอย่างโปร่งใสมากขึ้นเพียงใด
ยิ่งทำให้สภาวะบิดเบือน เบี่ยงเบน อันเคยเกิดเมื่อปี 2551-2554 บังเกิดการสั่นไหว
เป็นความสั่นไหวไม่เพียงแต่ต่อขบวนการคลั่งชาติ หากแม้กระทั่งพรรคการเมืองในรัฐสภาบางพรรคที่แห่ตามกระแสของขบวนการคลั่งชาติ
คลั่งชาติ หลงชาติ
น่าสังเกตว่า ทิศทางและแนวโน้มของรูปการต่อสู้คดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศดำเนินไปใน 2 แนวทาง
แนวทาง 1 ศาลไม่รับพิจารณาคำร้องของผู้ร้อง
แนวทาง 1 ศาลรับพิจารณาคำร้องของผู้ร้อง นั่นหมายถึง การนำเข้าสู่กระบวนการตีความใหม่จากคำพิพากษาเมื่อปี 2505
มี 2 แนวทางนี้เท่านั้นไม่มีแนวทางอื่น
หากคำวินิจฉัยของศาลดำเนินไปในแนวทางที่ 1 นั่นหมายถึงทุกอย่างจะหวนกลับไปยึดบรรทัดฐานเดิมเมื่อปี 2505 ขณะเดียวกัน หากคำวินิจฉัยของศาลดำเนินไปในแนวทางที่ 2 นั่นหมายถึงการนำเอาบรรทัดฐานเดิมเมื่อปี 2505 มาตีความใหม่
ที่น่าสนใจก็คือ กระบวนการต่อสู้ของฝ่ายไทย คือ กระบวนการต่อสู้อันอยู่บนบรรทัดฐานเดิมเมื่อปี 2505
นั่นก็คือ ยอมรับว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ พื้นที่ทับซ้อนอันเป็นกรณีพิพาท คือ ปมเงื่อนที่ศาลอาจนำมาวินิจฉัยอีกครั้งว่าสมควรจะดำเนินไปอย่างไร ตรงนี้ต่างหากเป็นความล่อแหลม เป็นความหวาดเสียว
หากศาลรับคำร้องไว้พิจารณา
กระบวนการต่อสู้ของไทยที่ดำเนินไปตามพื้นฐานคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศวินิจฉัยไว้เมื่อปี 2505 มีความสำคัญ
สำคัญตรงที่สอดรับกับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเมื่อปี 2551
สำคัญตรงที่แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเมื่อปี 2551 ถูกกระแสคัดค้าน ต่อต้านอย่างรุนแรงว่าจะทำให้ไทยต้องเสียงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร
แม้แต่ศาลปกครองก็วินิจฉัยว่า "อาจจะ" ทำให้เสียอธิปไตย
แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยว่า "อาจจะ" ทำให้เสียดินแดน เสียอธิปไตย
กระทั่ง นายนพดล ปัทมะ ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคาราคาซังมาทุกวันนี้ เพราะถูกฟ้องร้องโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต่อศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ทั้งๆ ที่แถลงการณ์นี้กระทำบนพื้นฐานแห่งคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี 2505 ทุกประการ
ทั้งๆ ที่การต่อสู้ของคณะทนายความก็ยืนบนหลักการเดียวกัน
หลักการที่ 1 ปราสาทพระวิหารอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา หลักการที่ 1 พื้นที่โดยรอบปราสาทเป็นพื้นที่ทับซ้อน มิได้เป็นกัมพูชา มิได้เป็นของไทย
ที่ระทึกคือศาลโลกจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร
คำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในอีกไม่เกิน 6 เดือนข้างหน้าจึงทรงความหมาย
ทรงความหมาย 1 ต่อทั้งไทยและทั้งกัมพูชา ทรงความหมาย 1 ต่อระบบคิดอันดำรงอยู่ภายในสังคมไทยอันเคยมีบทบาทอย่างสูงระหว่างปี 2551-2553
ทรงความหมายต่อกระบวนการตุลาการ
ที่มา : มติชน
********************************************
พวกคลั่งชาติ คลั่งศาล อ่านเยอะๆนะครับ เคี๊ยกๆๆ