ไทยยอมรับเป็นครั้งแรกว่าแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน โดยไม่มีการระบุว่ายกเว้นระวางใด ทั้งๆ ที่แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 นั้นฝ่ายสยามไม่เคยลงนามยอมรับแผนที่ดังกล่าวในทุกระวาง และฝ่ายไทยยังได้ต่อสู้ในคดีปราสาทพระวิหารในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505 มาตลอดว่าแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ในระวางดงรักนั้นฝ่ายสยามไม่เคยลงนามยอมรับ และถือว่าเป็นผลงานของฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว ดังปรากฏความตอนหนึ่งในคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 ความตอนหนึ่งว่า: “ในระยะนี้ศาลกล่าวถึงเฉพาะข้อต่อสู้ของฝ่ายไทยในประการแรกก่อน ข้อต่อสู้นี้อาศัยเหตุผลซึ่งศาลพิจารณาเห็นว่า
ถูกต้อง ที่ว่าแผนที่ฉบับนี้ไม่เคยได้รับการรับรองเป็นทางการจากคณะกรรมการผสมชุดแรก เพราะเหตุว่าคณะกรรมการชุดนี้ได้หยุดปฏิบัติงานไปเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะจัดทำแผนที่ขึ้น เอกสารหลักฐานมิได้แสดงว่าแผนที่และเส้นเขตแดนนั้นได้กระทำขึ้นโดยอาศัยคำวินิจฉัยหรือคำสั่งของคณะกรรมการที่ได้ให้ไว้แก่คณะเจ้าหน้าที่สำรวจ ในขณะที่คณะกรรมการยังคงปฏิบัติงานอยู่...
ศาลจำต้องลงความเห็นว่าในระยะแรกเริ่มและขณะที่จัดทำแผนที่ขึ้นนั้น แผนที่ฉบับนี้ ไม่มีลักษณะผูกพันใดๆ”
ไทยยอมรับเป็นครั้งแรกว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ว่าเป็นเอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยกับกัมพูชา โดยไม่มีการยกเว้นในระวางใดทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศก็ไม่เคยพิพากษาสถานภาพของแผนที่และเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในระวางดงรัก ในคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 ตามที่กัมพูชาร้องขอแต่ประการใด ปรากฏตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศท้ายสุดที่ได้สรุปในเรื่องขอบเขตของคำพิพากษาเกี่ยวกับแผนที่และเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ความตอนหนึ่งว่า:
“คำแถลงสรุปข้อที่หนึ่งและข้อที่สองของกัมพูชาที่ขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดในเรื่องสภาพทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 (แผนที่มาตราส่วน 1: 200,000) และในเรื่องเส้นเขตแดนในอาณาบริเวณที่พิพาท จะรับฟังได้ก็แต่เพียงในฐานที่เป็นการแสดงเหตุผลและมิใช่ข้อเรียกร้องที่จะต้องกล่าวถึงในบทปฏิบัติการของคำพิพากษา”
จึงถือว่าผลการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 5 - 7 มิถุนายน พ.ศ. 2543 นั้น มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐอย่างชัดเจน
ในตอนท้ายของหนังสือฉบับนี้
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้ทำเสนอไปยัง นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เพื่อทราบและพิจารณาเพื่อขออนุมัติเรื่องการลงนามใน MOU 2543 ความว่า:
“จึงกราบเรียนมาเพื่อกรุณาทราบและพิจารณา
1. อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่กรุงพนมเปญ ในระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายน ศกนี้ โดยกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาไทย เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในโอกาสต่อไป”
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศจึงถือว่าเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบในกรณีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่มาทำเป็นรับผิดชอบการพยายามจะให้เทศกิจมารื้อส้วมผู้ชุมนุมที่กำลังออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความผิดพลาดทั้งปวงเกี่ยวกับ MOU 2543
วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2543 นายวรากรณ์ สามโกเศศ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือกราบเรียน นายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมา และลงท้ายด้วยข้อเสนอของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีว่า:
“เห็นควรอนุมัติข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ และนำเรื่องเสนอเข้า ครม. เพื่อทราบต่อไป”
นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ลงนามเซ็นเอาไว้ในวันที่ 12 มิถุนายน 2543 ด้วยข้อความสั้นๆ ว่า
“อนุมัติ”
https://mgronline.com/daily/detail/9540000036657
จนในที่สุดเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2544 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนามรับรองบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีป ซึ่งต่อไปเรียกว่า “MOU 2544”
MOU 2544 เป็นบันทึกความเข้าใจที่กำหนดกรอบและกลไก ในการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปเรื่องการปักปันเขตแดน (delimitation) ทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนบนที่อยู่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ โดยมีพื้นที่ประมาณ 10,000 ตร.กม.ซึ่งต่อไปเรียกพื้นที่ส่วนนี้ว่า “พื้นที่ทับซ้อนส่วนบน”
และเรื่องการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม สำหรับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนล่างที่อยู่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ ในลักษณะพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area: JDA) โดยมีพื้นที่ประมาณ 16,000 ตร.กม. ซึ่งต่อไปเรียกพื้นที่ส่วนนี้ว่า “พื้นที่ทับซ้อนส่วนล่าง” โดยต้องดำเนินการทั้งสองเรื่องในลักษณะที่ไม่แบ่งแยกออกจากกัน (indivisible package)
และให้มีคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ดำเนินการพิจารณาและเจรจาร่วมกันในเรื่องนี้ ทั้งนี้ได้ตกลงกันว่า MOU 2544 และการดำเนินการทั้งหมดตาม MOU 2544 จะไม่กระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของแต่ละฝ่าย
ยัน พื้นที่ "ช่องอานม้า" สถานการณ์ปกติ หลังมีคนปั่นข่าว
ที่มาMOU 2543 ไทยยอมรับเป็นครั้งแรกแผนที่ 1:200,000 จนในที่สุดเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2544 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เซ็นต์รวบรัด
ไทยยอมรับเป็นครั้งแรกว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ว่าเป็นเอกสารหลักฐานที่ผูกพันไทยกับกัมพูชา โดยไม่มีการยกเว้นในระวางใดทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศก็ไม่เคยพิพากษาสถานภาพของแผนที่และเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในระวางดงรัก ในคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 ตามที่กัมพูชาร้องขอแต่ประการใด ปรากฏตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศท้ายสุดที่ได้สรุปในเรื่องขอบเขตของคำพิพากษาเกี่ยวกับแผนที่และเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ความตอนหนึ่งว่า:
“คำแถลงสรุปข้อที่หนึ่งและข้อที่สองของกัมพูชาที่ขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดในเรื่องสภาพทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 (แผนที่มาตราส่วน 1: 200,000) และในเรื่องเส้นเขตแดนในอาณาบริเวณที่พิพาท จะรับฟังได้ก็แต่เพียงในฐานที่เป็นการแสดงเหตุผลและมิใช่ข้อเรียกร้องที่จะต้องกล่าวถึงในบทปฏิบัติการของคำพิพากษา”
จึงถือว่าผลการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 5 - 7 มิถุนายน พ.ศ. 2543 นั้น มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐอย่างชัดเจน
ในตอนท้ายของหนังสือฉบับนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้ทำเสนอไปยัง นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เพื่อทราบและพิจารณาเพื่อขออนุมัติเรื่องการลงนามใน MOU 2543 ความว่า: “จึงกราบเรียนมาเพื่อกรุณาทราบและพิจารณา
1. อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่กรุงพนมเปญ ในระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายน ศกนี้ โดยกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาไทย เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในโอกาสต่อไป”
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศจึงถือว่าเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบในกรณีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่มาทำเป็นรับผิดชอบการพยายามจะให้เทศกิจมารื้อส้วมผู้ชุมนุมที่กำลังออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความผิดพลาดทั้งปวงเกี่ยวกับ MOU 2543
วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2543 นายวรากรณ์ สามโกเศศ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือกราบเรียน นายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมา และลงท้ายด้วยข้อเสนอของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีว่า:
“เห็นควรอนุมัติข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศ และนำเรื่องเสนอเข้า ครม. เพื่อทราบต่อไป”
นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ลงนามเซ็นเอาไว้ในวันที่ 12 มิถุนายน 2543 ด้วยข้อความสั้นๆ ว่า “อนุมัติ”
https://mgronline.com/daily/detail/9540000036657
จนในที่สุดเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2544 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนามรับรองบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีป ซึ่งต่อไปเรียกว่า “MOU 2544”