เมื่อพูดถึง MOU ปี 2543 (MOU 2000) ใครจะไปคิดว่ามันคืออีกหนึ่งความพยายามที่ขมขื่นของไทยเรา เพื่อกอบกู้อำนาจต่อรองที่เคยถูกฉกชิงไปจากคำตัดสินอันไม่เป็นธรรมของคดีเขาพระวิหาร วัตถุประสงค์หลักของMOUฉบับนี้ มันก็คือการ วางกรอบการเจรจาปักปันเขตแดนกับกัมพูชาอย่างจริงจังเสียที โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเอาแต่หยิบยกแผนที่เจ้ากรรมที่ถูกใช้ในศาลโลกมาอ้างอิงอยู่ฝ่ายเดียว และเพื่อเสริมอำนาจต่อรองของไทย ในเวทีเจรจาที่เคยถูกกดดันมานาน
เบื้องหลังการริเริ่มและผลักดัน MOU ที่เต็มไปด้วยความหวังและความเจ็บปวดนี้ ก็คือ รัฐบาลไทยในขณะนั้นคือ คุณชวน หลีกภัย ส่วนผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็น ผู้ผลักดันคนสำคัญและต้องแบกรับภาระหนักอึ้ง ก็คือคุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในยุคนั้น ซึ่งหวังว่านี่จะเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ประวัติศาสตร์อันขมขื่นไม่ซ้ำรอยเดิมอีก.
อย่างไรก็ตามภายในประเทศไทย มีความเห็นแตกแยก เกี่ยวกับ MOU 2000 แบ่งเป็น 2 ฝ่ายหลัก ดังนี้:
สำหรับฝ่ายที่สนับสนุนให้ใช้ MOU 2000 (ปี 2543) ต่อไปเนี่ย (ส่วนใหญ่ก็มาจากกระทรวงต่างประเทศ, กองทัพที่ทำงานหน้างานจริง, แล้วก็นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศ) เขามีเหตุผลหลักๆ แบบนี้ครับ:
ทำไมต้องไปต่อกับ MOU43?
เป็นเครื่องมือเจรจาที่ยุติธรรมที่สุดตอนนี้: นี่คือสิ่งเดียวที่ทำให้เราเจรจากับกัมพูชาได้แบบมีน้ำหนักเท่ากัน เพราะ MOU ตัวนี้บังคับให้ใช้หลักฐาน 3 อย่างประกอบกัน คือ สนธิสัญญาปี 1904/1907 (ที่เน้นสันปันน้ำ) กับ แผนที่ 1:200,000 (ที่กัมพูชาชอบอ้าง) มันเลยช่วย ป้องกันไม่ให้กัมพูชาเอาแต่ยกแผนที่อย่างเดียว มากดดันเราเหมือนตอนคดีพระวิหารเมื่อก่อน
ช่วยรักษาสถานะทางกฎหมายของเรา: ถ้าเราไปยกเลิก MOU 2543 เราจะเสียเปรียบทันที เพราะกัมพูชาจะหาเรื่องฟ้องศาลโลกได้อีก โดยอ้างว่า "ไทยไม่ยอมร่วมมือแก้ปัญหาแบบสันติวิธี" ซึ่งจะทำให้เราดูไม่ดีในสายตาชาวโลก
ยังคุมพื้นที่พิพาทได้: การมี JBC (คณะกรรมการเขตแดนร่วม) ภายใต้ MOU 2543 มันเป็นช่องทางให้ ทหารไทยยังคงอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนได้ชั่วคราว โดยที่เราก็จะไม่โดนกล่าวหาว่า "ไปรุกล้ำอธิปไตย" ของเขา
ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ: ทั้งอาเซียนและ UN ต่างก็มองว่า MOU 2543 เป็นกลไกที่ใช้แก้ไขข้อพิพาทชายแดนได้อย่างสันติ แล้วก็ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการแก้ปัญหาแบบนี้
มาดูเหตุผลของฝ่ายที่อยากให้ยกเลิก MOU43 กันบ้างครับ (หลักๆ ก็เป็นพวกกลุ่มชาตินิยม, นักการเมืองบางพรรค, แล้วก็ทหารสายแข็งๆ หน่อย) พวกเขามีเหตุผลที่น่าสนใจอยู่หลายข้อเลย:
ทำไมต้องยกเลิก MOU 43?
กัมพูชาไม่จริงใจใช้ MOU: เหตุผลข้อแรกเลยคือ พวกเขาเชื่อว่ากัมพูชาไม่ได้จริงใจกับการใช้ MOUตัวนี้ เพราะกัมพูชามักจะ ปฏิเสธการเจรจาเรื่องเขาพระวิหารในเวที JBC (คณะกรรมการเขตแดนร่วม) โดยอ้างว่าศาลโลกตัดสินไปแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ MOU 43 ที่ควรจะสร้างสมดุล เสียสมดุลไปทันที
ถูกใช้เป็นเครื่องมือรุกพื้นที่: อีกข้อที่กังวลคือ กัมพูชาใช้ช่วงเวลาที่กำลังเจรจา JBC เนี่ย แอบสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ทับซ้อน ซะงั้น เช่น ทำถนน หรือสนามบินใกล้ปราสาทตาพรหม แล้วก็อาศัยจังหวะนี้ไปอ้างเรื่อง "การครอบครองโดยพฤตินัย" (Effectivités) ว่าตัวเองมีสิทธิ์ในพื้นที่นั้นๆ เพราะได้เข้าไปพัฒนาแล้ว
จำกัดการทำงานของทหาร: MOU 43 มีเรื่อง "พื้นที่สงบ" ที่ถูกตีความว่าห้ามไทยส่งทหารเข้าไปในจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆ อย่างเช่น ช่องบันไดหัก ซึ่งพวกเขามองว่านี่เป็นการจำกัดการปฏิบัติงานของทหารเรา
ไม่มีความคืบหน้ามา 23 ปี: ประเด็นสุดท้ายที่ชัดเจนคือ ตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2023 การเจรจามี ความคืบหน้าแค่ 5% เท่านั้น จากพื้นที่พิพาททั้งหมด ซึ่งฝ่ายที่ต้องการยกเลิกมองว่านี่มัน เสียเวลาเปล่า มานานกว่าสองทศวรรษแล้ว
สำหรับความเห็นส่วนตัวผมนะ ถ้าเรา ยกเลิก MOU 2543 ถามว่าไทยจะเสียประโยชน์ไหม? คำตอบคือ ใช่ครับ เราจะเสียประโยชน์มากกว่าได้ประโยชน์เยอะเลย ถ้าเราถอนตัวหรือยกเลิก MOU 2543 ไป
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นก็คือ เราจะไม่มีกรอบเจรจาเรื่องเขตแดนทางบกที่ตกลงร่วมกันไว้แล้ว ซึ่งแปลว่าเราจะเจรจาปักปันเขตแดนอย่างเป็นทางการไม่ได้อีกต่อไป และจะอ้างสิทธิ์อะไรก็ยากขึ้นเยอะ นอกจากนี้ เรายังอาจจะเสียความชอบธรรมในการคัดค้านแผนที่ Annex I ด้วย เพราะถ้าเราไม่ได้อยู่ใน MOU ที่ใช้สนธิสัญญาปี 1904–1907 ควบคู่กันไป เราก็จะไปเถียงเรื่องแผนที่เจ้าปัญหาแผ่นนั้นยากขึ้นมากๆ ที่สำคัญคือมันจะเปิดช่องให้กัมพูชาใช้เวทีนานาชาติมาบีบเราแทนการคุยกันตรงๆ ได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะกัมพูชาจะนำเรื่องนี้กลับไปที่ศาลโลกอีกรอบ(ซึ่งตอนนี้ก็หาเรื่องขึ้นแล้ว) ซึ่งเราไม่เล่นด้วยกับศาลโลกก็คงไปที่UNเพื่อกดดันเรา สุดท้ายแล้ว เราจะเสียภาพลักษณ์ทางการทูตอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะจะดูเหมือนเรากำลังหลีกเลี่ยงการเจรจา ซึ่งอาจทำให้เราเสียหน้าในเวทีระหว่างประเทศและในอาเซียนเลยล่ะครับ
ถึงแม้ว่าไทยเราจะยืนยันมาตลอดว่าไม่ยอมให้เรื่องเขตแดนขึ้นศาลโลกอีกแล้ว แต่การที่เราคงMOU 2543 เอาไว้ มันยังเป็นสิ่งที่เราควรทำ เพราะมันช่วยให้เรามีแต้มต่ออยู่ไม่น้อยเลย
ที่บอกว่าควรเก็บไว้ ก็เพราะ MOU ตัวนี้จะทำให้ไทยเรา มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธแผนที่ 1:200,000 ได้อย่างชอบธรรม โดยที่เราสามารถเอาสนธิสัญญาที่พูดถึงหลักสันปันน้ำมาอ้างร่วมได้ไงครับ มันเหมือนเป็นการยืนยันว่าเราไม่ได้แค่ดื้อแพ่งนะ แต่เรามีหลักฐานอีกชิ้นที่หนักแน่นพอจะโต้แย้งได้
แล้วที่สำคัญคือ มันยังช่วยให้ไทยเรา รักษาสิทธิ์ในการปักปันพื้นที่ตามหลักภูมิศาสตร์และข้อกฎหมายจริงๆ คือเอาเรื่องความถูกต้องของพื้นที่มาคุยกัน ไม่ใช่แค่ไปยอมตามแผนที่ที่อาจจะผิดพลาด
และสุดท้าย MOU นี่แหละครับ ที่เป็นช่องทางให้เราได้ เจรจากันแบบ "รัฐต่อรัฐ" คือคุยกันเองระหว่างไทยกับกัมพูชา แทนที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากเวทีระหว่างประเทศ หรือถูกลากขึ้นเวทีระดับนานาชาติอีกรอบนั่นเองครับ พูดง่ายๆ คือมันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราควบคุมเกมได้ง่ายขึ้นเยอะเลย.
เรื่องนี้มีหลายแง่มุม! เพื่อนๆ มีมุมมองไหนที่อยากแบ่งปันกันบ้างไหมครับ?
MOU 2543: แผลใจไทย-กัมพูชา...ตกลงควรไปต่อหรือพอแค่นี้?
เบื้องหลังการริเริ่มและผลักดัน MOU ที่เต็มไปด้วยความหวังและความเจ็บปวดนี้ ก็คือ รัฐบาลไทยในขณะนั้นคือ คุณชวน หลีกภัย ส่วนผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็น ผู้ผลักดันคนสำคัญและต้องแบกรับภาระหนักอึ้ง ก็คือคุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในยุคนั้น ซึ่งหวังว่านี่จะเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ประวัติศาสตร์อันขมขื่นไม่ซ้ำรอยเดิมอีก.
อย่างไรก็ตามภายในประเทศไทย มีความเห็นแตกแยก เกี่ยวกับ MOU 2000 แบ่งเป็น 2 ฝ่ายหลัก ดังนี้:
สำหรับฝ่ายที่สนับสนุนให้ใช้ MOU 2000 (ปี 2543) ต่อไปเนี่ย (ส่วนใหญ่ก็มาจากกระทรวงต่างประเทศ, กองทัพที่ทำงานหน้างานจริง, แล้วก็นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศ) เขามีเหตุผลหลักๆ แบบนี้ครับ:
ทำไมต้องไปต่อกับ MOU43?
เป็นเครื่องมือเจรจาที่ยุติธรรมที่สุดตอนนี้: นี่คือสิ่งเดียวที่ทำให้เราเจรจากับกัมพูชาได้แบบมีน้ำหนักเท่ากัน เพราะ MOU ตัวนี้บังคับให้ใช้หลักฐาน 3 อย่างประกอบกัน คือ สนธิสัญญาปี 1904/1907 (ที่เน้นสันปันน้ำ) กับ แผนที่ 1:200,000 (ที่กัมพูชาชอบอ้าง) มันเลยช่วย ป้องกันไม่ให้กัมพูชาเอาแต่ยกแผนที่อย่างเดียว มากดดันเราเหมือนตอนคดีพระวิหารเมื่อก่อน
ช่วยรักษาสถานะทางกฎหมายของเรา: ถ้าเราไปยกเลิก MOU 2543 เราจะเสียเปรียบทันที เพราะกัมพูชาจะหาเรื่องฟ้องศาลโลกได้อีก โดยอ้างว่า "ไทยไม่ยอมร่วมมือแก้ปัญหาแบบสันติวิธี" ซึ่งจะทำให้เราดูไม่ดีในสายตาชาวโลก
ยังคุมพื้นที่พิพาทได้: การมี JBC (คณะกรรมการเขตแดนร่วม) ภายใต้ MOU 2543 มันเป็นช่องทางให้ ทหารไทยยังคงอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนได้ชั่วคราว โดยที่เราก็จะไม่โดนกล่าวหาว่า "ไปรุกล้ำอธิปไตย" ของเขา
ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ: ทั้งอาเซียนและ UN ต่างก็มองว่า MOU 2543 เป็นกลไกที่ใช้แก้ไขข้อพิพาทชายแดนได้อย่างสันติ แล้วก็ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการแก้ปัญหาแบบนี้
มาดูเหตุผลของฝ่ายที่อยากให้ยกเลิก MOU43 กันบ้างครับ (หลักๆ ก็เป็นพวกกลุ่มชาตินิยม, นักการเมืองบางพรรค, แล้วก็ทหารสายแข็งๆ หน่อย) พวกเขามีเหตุผลที่น่าสนใจอยู่หลายข้อเลย:
ทำไมต้องยกเลิก MOU 43?
กัมพูชาไม่จริงใจใช้ MOU: เหตุผลข้อแรกเลยคือ พวกเขาเชื่อว่ากัมพูชาไม่ได้จริงใจกับการใช้ MOUตัวนี้ เพราะกัมพูชามักจะ ปฏิเสธการเจรจาเรื่องเขาพระวิหารในเวที JBC (คณะกรรมการเขตแดนร่วม) โดยอ้างว่าศาลโลกตัดสินไปแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ MOU 43 ที่ควรจะสร้างสมดุล เสียสมดุลไปทันที
ถูกใช้เป็นเครื่องมือรุกพื้นที่: อีกข้อที่กังวลคือ กัมพูชาใช้ช่วงเวลาที่กำลังเจรจา JBC เนี่ย แอบสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ทับซ้อน ซะงั้น เช่น ทำถนน หรือสนามบินใกล้ปราสาทตาพรหม แล้วก็อาศัยจังหวะนี้ไปอ้างเรื่อง "การครอบครองโดยพฤตินัย" (Effectivités) ว่าตัวเองมีสิทธิ์ในพื้นที่นั้นๆ เพราะได้เข้าไปพัฒนาแล้ว
จำกัดการทำงานของทหาร: MOU 43 มีเรื่อง "พื้นที่สงบ" ที่ถูกตีความว่าห้ามไทยส่งทหารเข้าไปในจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆ อย่างเช่น ช่องบันไดหัก ซึ่งพวกเขามองว่านี่เป็นการจำกัดการปฏิบัติงานของทหารเรา
ไม่มีความคืบหน้ามา 23 ปี: ประเด็นสุดท้ายที่ชัดเจนคือ ตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2023 การเจรจามี ความคืบหน้าแค่ 5% เท่านั้น จากพื้นที่พิพาททั้งหมด ซึ่งฝ่ายที่ต้องการยกเลิกมองว่านี่มัน เสียเวลาเปล่า มานานกว่าสองทศวรรษแล้ว
สำหรับความเห็นส่วนตัวผมนะ ถ้าเรา ยกเลิก MOU 2543 ถามว่าไทยจะเสียประโยชน์ไหม? คำตอบคือ ใช่ครับ เราจะเสียประโยชน์มากกว่าได้ประโยชน์เยอะเลย ถ้าเราถอนตัวหรือยกเลิก MOU 2543 ไป
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นก็คือ เราจะไม่มีกรอบเจรจาเรื่องเขตแดนทางบกที่ตกลงร่วมกันไว้แล้ว ซึ่งแปลว่าเราจะเจรจาปักปันเขตแดนอย่างเป็นทางการไม่ได้อีกต่อไป และจะอ้างสิทธิ์อะไรก็ยากขึ้นเยอะ นอกจากนี้ เรายังอาจจะเสียความชอบธรรมในการคัดค้านแผนที่ Annex I ด้วย เพราะถ้าเราไม่ได้อยู่ใน MOU ที่ใช้สนธิสัญญาปี 1904–1907 ควบคู่กันไป เราก็จะไปเถียงเรื่องแผนที่เจ้าปัญหาแผ่นนั้นยากขึ้นมากๆ ที่สำคัญคือมันจะเปิดช่องให้กัมพูชาใช้เวทีนานาชาติมาบีบเราแทนการคุยกันตรงๆ ได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะกัมพูชาจะนำเรื่องนี้กลับไปที่ศาลโลกอีกรอบ(ซึ่งตอนนี้ก็หาเรื่องขึ้นแล้ว) ซึ่งเราไม่เล่นด้วยกับศาลโลกก็คงไปที่UNเพื่อกดดันเรา สุดท้ายแล้ว เราจะเสียภาพลักษณ์ทางการทูตอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะจะดูเหมือนเรากำลังหลีกเลี่ยงการเจรจา ซึ่งอาจทำให้เราเสียหน้าในเวทีระหว่างประเทศและในอาเซียนเลยล่ะครับ
ถึงแม้ว่าไทยเราจะยืนยันมาตลอดว่าไม่ยอมให้เรื่องเขตแดนขึ้นศาลโลกอีกแล้ว แต่การที่เราคงMOU 2543 เอาไว้ มันยังเป็นสิ่งที่เราควรทำ เพราะมันช่วยให้เรามีแต้มต่ออยู่ไม่น้อยเลย
ที่บอกว่าควรเก็บไว้ ก็เพราะ MOU ตัวนี้จะทำให้ไทยเรา มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธแผนที่ 1:200,000 ได้อย่างชอบธรรม โดยที่เราสามารถเอาสนธิสัญญาที่พูดถึงหลักสันปันน้ำมาอ้างร่วมได้ไงครับ มันเหมือนเป็นการยืนยันว่าเราไม่ได้แค่ดื้อแพ่งนะ แต่เรามีหลักฐานอีกชิ้นที่หนักแน่นพอจะโต้แย้งได้
แล้วที่สำคัญคือ มันยังช่วยให้ไทยเรา รักษาสิทธิ์ในการปักปันพื้นที่ตามหลักภูมิศาสตร์และข้อกฎหมายจริงๆ คือเอาเรื่องความถูกต้องของพื้นที่มาคุยกัน ไม่ใช่แค่ไปยอมตามแผนที่ที่อาจจะผิดพลาด
และสุดท้าย MOU นี่แหละครับ ที่เป็นช่องทางให้เราได้ เจรจากันแบบ "รัฐต่อรัฐ" คือคุยกันเองระหว่างไทยกับกัมพูชา แทนที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากเวทีระหว่างประเทศ หรือถูกลากขึ้นเวทีระดับนานาชาติอีกรอบนั่นเองครับ พูดง่ายๆ คือมันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราควบคุมเกมได้ง่ายขึ้นเยอะเลย.
เรื่องนี้มีหลายแง่มุม! เพื่อนๆ มีมุมมองไหนที่อยากแบ่งปันกันบ้างไหมครับ?