สำรวจตลาดนมพืช ใครยืนหนึ่ง หลัง OATSIDE หั่นราคาทุบกำแพงพรีเมียม

กระแส OATSIDE ลดราคาสู่ตลาดแมส! จากหลักร้อย เหลือ 59 บาท สะเทือนวงการ Plant-Based โพสต์ทูเดย์สำรวจตลาดนมพืชแต่ละเซกเมนต์ ทั้งราคา ผลต่อสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม ใครยืนหนึ่ง

การประกาศปรับราคา OATSIDE ลงเหลือ 59 บาทถาวร จากราคาหลักร้อย  อมยิ้ม50 ไม่เพียงสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดนมโอ๊ตเท่านั้น แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมไปถึงตลาดนมทางเลือก หรือนมพืช (Plant-Based Milk) โดยรวมในไทย เนื่องจากที่ผ่านมา OATSIDE เริ่มต้นด้วยภาพลักษณ์พรีเมียมและจับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ แต่วันนี้กำลังขยับเข้าสู่ตลาดแมส (Mass Market) มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นสัญญาณสำคัญที่สะท้อนทิศทางที่น่าจับตาของตลาดนมทางเลือกในไทย
 

นม Plant-Based เข้ามาตีตลาดตอนไหน? 
แม้นมวัวจะครองตลาดทั่วโลกมามายาวนาน ด้วยคุณสมบัติที่เชื่อว่าช่วยเสริมกระดูก เพิ่มพลังงาน และเสริมภูมิคุ้มกัน แต่เมื่อเทรนด์สุขภาพและการใส่ใจสิ่งแวดล้อมเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น นมทางเลือกอื่นๆ จากพืช ก็เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังยุคโควิด-19 ถ้าไม่นับรวมนมถั่วเหลือง งาดำ ที่มีมาก่อน
 

ช่วงแรก นมโอ๊ต นมอัลมอนด์ ยังจำกัดอยู่ในกลุ่มคนที่แพ้นมวัว หรือคนที่ทานเจ วีแกน แต่เมื่อกระแสรักสุขภาพเริ่มแพร่หลาย ผู้บริโภคโดยเฉพาะคาเฟ่ฮอปเปอร์นิยมเลือกนมโอ๊ตเป็นส่วนผสมหลักในเครื่องดื่มกาแฟ หรือชา ฯลฯ 
 

ข้อมูลจาก NielsenIQ (NIQ) ระบุว่า ตลาดนมทางเลือกเติบโตถึง 37% ในปี 2024 เมื่อเทียบกับปี 2023 มีมูลค่ากว่า 1,900 ล้านบาท และคาดว่าในอีก 2 ปีจะมีมูลค่าเกิน 3,000 ล้านบาท และปัจจุบันความนิยมนมข้าวโอ๊ตที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 22% ในกลุ่มนมทางเลือก ซึ่งสะท้อนแนวโน้มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
 

สำรวจตลาดนม Plant-Based ในไทย 
 

โพสต์ทูเดย์ สำรวจตลาดนมพืชในไทยดังนี้ 
 

ตลาดนมโอ๊ต
กลุ่มนมโอ๊ตในตลาดไทยมี 3 เซกเมนต์หลัก ได้แก่
กลุ่มแมส หรือกลุ่มเข้าถึงง่าย เช่น Oatside จากสิงคโปร์ ที่เพิ่งประกาศปรับราคาถาวรเหลือเพียง 59 บาท ทำให้สามารถวางขายในร้านสะดวกซื้อ และขยายฐานผู้บริโภคสู่ตลาดทั่วไปได้ชัดเจนมากขึ้น

กลุ่มมิด-มาร์เก็ต อาทิ UFC Velvet แบรนด์ไทย และ So Good แบรนด์จากออสเตรเลีย ซึ่งอยู่ในช่วงราคาประมาณ 85–109 บาท ตีฟองได้ดี เหมาะสำหรับใช้ในคาเฟ่หรือร้านกาแฟทั่วไป

กลุ่มพรีเมียม/บาริสต้าระดับสูง เช่น Oatly จากสวีเดน, Alpro จากเบลเยี่ยม และ Goodmate แบรนด์ไทย ที่มีราคาประมาณ 125–129 บาท ซึ่งมุ่งเจาะตลาด Specialty และกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับรสชาติและคุณภาพเฉพาะทาง
นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์นมโอ๊ตทั่วไปที่เน้นกลุ่มผู้บริโภคสายสุขภาพ เช่น Pure Harvest จากออสเตรเลีย (ราคา 135 บาท) และ Orasi จากอิตาลี (ราคา 149 บาท) ซึ่งแม้จะไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการชงกาแฟโดยเฉพาะ แต่ยังคงได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ที่บริโภคเป็นประจำ และให้ความสำคัญกับวัตถุดิบจากธรรมชาติ
 

ตลาดนมอัลมอนด์
 

แม้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นมโอ๊ตจะกลายเป็นดาวรุ่งของตลาดนมพืช แต่นมอัลมอนด์ก็ยังคงเป็นทางเลือกพื้นฐานสำหรับสายคลีนที่เน้นไขมันต่ำและหลีกเลี่ยงนมวัว โดยมีแบรนด์หลากหลายระดับราคาให้เลือก เช่น Almond Breeze และ So Good จัดอยู่ในกลุ่มมิด-มาร์เก็ต ด้วยจุดเด่นด้านรสชาติหลากหลาย สูตรหวานน้อย และความสะดวกในการหาซื้อทั่วไปขณะที่ 137 Degrees วางตัวชัดเจนในกลุ่มพรีเมียม ด้วยการเน้นว่าใช้อัลมอนด์แท้ 100% ไม่เติมน้ำตาล และไม่มีสารกันบูด ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพวัตถุดิบเป็นหลัก
ตลาดนมข้าว 
 

นมข้าว (Rice Milk) ยังคงมีที่ยืนในตลาดนมพืชไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ เช่น เด็กเล็ก หรือผู้ที่แพ้นมถั่วและถั่วเหลือง ซึ่งยังคงมีแบรนด์วางจำหน่ายอย่างต่อเนื่องในระดับราคาที่แตกต่างกัน เช่น Diamond Fresh ทำตลาดในกลุ่มแมส ราคาที่ย่อมเยา เหมาะสำหรับกลุ่มครอบครัวหรือเด็กเล็กที่ต้องการตัวเลือกปลอดนมวัวและถั่ว Pure Harvest (Rice Milk) วางตัวในกลุ่มพรีเมียม เน้นจุดขายด้านวัตถุดิบออร์แกนิกและการตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ
 

ข้อมูลจากเครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ระบุในงาน THAIFEX ANUGA ASIA  2025 ระบุว่า เมื่อพิจารณาแนวโน้มการเติบโตระยะยาว นมอัลมอนด์และนมถั่วเหลืองยังคงเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนสูงกว่านมข้าวโอ๊ต แม้ปัจจุบันนมโอ๊ตจะยังไม่อิ่มตัวในตลาด แต่ด้วยฐานผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับเริ่มต้น ทำให้ต้องใช้เวลาในการขยายตัว ในส่วนของวัตถุดิบ ข้าวโอ๊ตจำเป็นต้องปลูกในภูมิอากาศเย็นและมีแสงแดดตลอดทั้งปี ซึ่งประเทศไทยยังไม่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกเชิงพาณิชย์ จึงมีการนำเข้าข้าวโอ๊ตคุณภาพสูงจากสหรัฐอเมริกา โดยมีการนำข้าวโอ๊ตจากแคนาดา ซึ่งเป็นแหล่งปลูกที่มีคุณภาพ ก่อนเข้าสู่กระบวนการแปรรูปขั้นสุดท้ายให้อยู่ในรูปแบบผง เพื่อให้ง่ายต่อการขนส่งและนำไปใช้ผลิตภัณฑ์นมจากข้าวโอ๊ต
 

นอกจากนี้ ยังรายงานว่า ปัจจุบันขนาดของตลาดนมจากธัญพืชในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 1,900 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 37 ขณะที่ตลาดนมทั้งหมดมีมูลค่าราว 60,000 ล้านบาท โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์นมจากธัญพืชมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบัน นมอัลมอนด์ ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ประมาณ 50% รองลงมาคือ นมพิสทาชิโอ นมข้าวโอ๊ต และนมที่มีส่วนผสมของนมข้าวโพด และนมข้าว โดยคาดว่าตลาดนมจากธัญพืชจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
 

นมแบบไหนทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า? 
 

นางสาววิชญะภัทร์ ภิรมย์ศานต์ ผู้อำนวยการมาเดรบราวา (Madre Brava) ประเทศไทย กล่าวกับโพสต์ทูเดย์ว่า ในท้องตลาดไม่ได้มีแค่นมวัวอีกต่อไป เพราะการผลิตนมวัวเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูง เนื่องจากต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกพืชเพื่อเป็นอาหาร การใช้น้ำ และการจัดการฟาร์มในภาพรวม ส่งผลให้นมจากพืชกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
 

พฤติกรรมการบริโภคนมของคนไทยแตกต่างจากชาวยุโรป คนไทยไม่ได้ดื่มนมในปริมาณสูง และคุ้นเคยกับนมถั่วเหลืองมาอย่างยาวนาน ซึ่งถือเป็นนมทางเลือกตั้งแต่ยุคแรก ๆ แล้ว ปัจจุบันก็มีตัวเลือกมากมายทั้งนมงา นมพิสทาชิโอ ฯลฯ ที่เข้ามาเติมเต็มความหลากหลายให้ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตามความเหมาะสม
สอดคล้องกับ Climate Finance Network Thailand ระบุว่า นมจากพืชโดยเฉลี่ยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1 ใน 3 ของนมวัว และใช้น้ำน้อยกว่ามาก พร้อมยกรายงานจากการศึกษาของ World Resources Institute (WRI) ว่า การผลิตเนื้อวัวใช้พื้นที่มากกว่าโปรตีนจากพืชทั่วไปอย่างถั่วถึง 20 เท่า และปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าโปรตีนจากพืชทั่วไปถึง 20 เท่าต่อกรัม

นมถั่วเหลืองซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมค่อนข้างต่ำ และมีปริมาณโปรตีนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับนมวัว

นอกจากนี้ นมจากข้าวโอ๊ตและมะพร้าวยังมีการปล่อยมลพิษและการใช้น้ำที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับนมวัว แต่ก็มีโปรตีนค่อนข้างต่ำเช่นกัน
นมอัลมอนด์ดีต่อสภาพภูมิอากาศ แต่ใช้น้ำประมาณเท่ากับนมวัวและมีโปรตีนน้อยมาก ที่น่าสังเกตคือ ปริมาณและผลกระทบของการใช้น้ำจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่และวิธีการปลูกอาหาร และบางพื้นที่ก็ขาดแคลนน้ำมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ดังนั้น ผลกระทบจากการใช้น้ำของนมอัลมอนด์อาจรุนแรงกว่านมวัว หากเปรียบเทียบนมอัลมอนด์ที่ผลิตในภูมิภาคที่ขาดแคลนน้ำ 
 


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่