สำรวจสัญญาณเตือน ! ร่างกายขาดวิตามิน มีอาการอย่างไร ?

ในยุคปัจจุบันที่การใช้ชีวิตประจำวันเต็มไปด้วยความรีบเร่ง ทำให้หลายคนละเลยการดูแลสุขภาพไป เพราะไม่มีเวลาใส่ใจกับการเลือกทาน หรือร่างกายจะได้รับสารอาหารครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้ร่างกายส่งสัญญาณเตือนที่นำไปสู่ภาวะร่างกายขาดวิตามินโดยไม่รู้ตัว

ประโยชน์ของวิตามินที่มีต่อระบบร่างกาย
แม้ร่างกายของเราต้องการวิตามินในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่วิตามินกลับมีประโยชน์และบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ดังนี้

เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
ด่านแรกของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรค ก็คือระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีวิตามินหลายชนิดที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ตัวอย่างเช่น
วิตามินเอ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เสริมสร้างเยื่อบุผิว ป้องกันการติดเชื้อ
วิตามินซี กระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินดี ช่วยควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เสริมสร้างกระดูก
วิตามินบี 6 ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน รวมถึงสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจ

บำรุงกระดูกและฟัน
วิตามินดี แคลเซียม และฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ซึ่งวิตามินดีจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสได้ดียิ่งขึ้น ป้องกันโรคกระดูกพรุน ฟันผุ รวมถึงป้องกันการเกิดโรคกระดูกอื่น ๆ 

รักษาสุขภาพผิว
          นอกจากระบบภายในแล้ว วิตามินยังมีประโยชน์ในการช่วยดูแลผิวหนัง ซึ่งเป็นอวัยวะที่ต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกเป็นประจำ ซึ่งมีวิตามินหลายชนิดที่มีบทบาทสำคัญในการบำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง ชุ่มชื้น และสุขภาพดี เช่น
วิตามินเอ ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ลดเลือนริ้วรอย ชะลอวัย
วิตามินซี ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวหนังยืดหยุ่น ป้องกันผิวจากรังสียูวี
วิตามินบี 3 ช่วยลดเลือนรอยแดง รอยดำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

บำรุงระบบประสาท
          ระบบประสาทเปรียบเสมือนระบบควบคุมการทำงานของร่างกาย วิตามินมีบทบาทสำคัญในการบำรุงระบบประสาทให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะวิตามินบีรวม ซึ่งจะช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง

ส่งเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโต
          วิตามินหลายชนิดมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะวิตามินเอ วิตามินดี และโฟเลต ซึ่งจะช่วยพัฒนาสมอง กระดูก สายตา รวมถึงระบบในร่างกาย ให้เด็กมีพัฒนาการที่เติบโตแข็งแรง

หากร่างกายขาดวิตามินจะมีอาการอย่างไร ?
การขาดวิตามิน แม้เพียงเล็กน้อย สามารถส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมได้อย่างมาก โดยมีสัญญาณเตือนเมื่อร่างกายขาดวิตามิน 5 ชนิดสำคัญ ดังนี้
*วิตามินเอ
การขาดวิตามินเอ จะทำให้ตาแห้ง แสบตา มองเห็นในเวลากลางคืนลำบาก ผิวแห้งแตก ลอกเป็นขุย เส้นผมเปราะบาง ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งวิตามินเอมีแหล่งที่มาจากน้ำมันตับปลา ตับ ไข่แดง ผักใบเขียวเข้ม ผลไม้สีเหลืองส้ม
*วิตามินบี
เมื่อร่างกายขาดวิตามินบี จะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ชาตามปลายมือปลายเท้า ปวดกล้ามเนื้อ ผมร่วง ปัญหาทางระบบประสาท เช่น ความจำเสื่อม อารมณ์แปรปรวน โดยสามารถเสริมให้ร่างกายได้รับวิตามินบีจากการทานเนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว ธัญพืช ผักใบเขียว
*วิตามินซี
เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักวิตามินซี ซึ่งการสูญเสียหรือขาดวิตามินซี จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เหงือกบวม เลือดออกง่าย แผลหายช้า ผิวแห้งกร้าน ผมร่วง โดยสามารถเสริมวิตามินซีได้จากผลไม้ตระกูลส้ม ฝรั่ง กะหล่ำปลี มะเขือเทศ พริกหวาน 
*วิตามินดี
วิตามินดีมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดี การขาดวิตามินดี จึงทำให้กระดูกพรุน เปราะบาง ปวดกระดูก กล้ามเนื้ออ่อนแรง ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โดยร่างกายสามารถได้รับวิตามินดีจากแสงแดด ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ไข่แดง เห็ด
*วิตามินอี
ผิวแห้ง แตก ลอกง่าย ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นปัญหาที่เกิดจากร่างกายขาดวิตามินอี ซึ่งสามารถเสริมให้ร่างกายได้รับวิตามินชนิดนี้จากน้ำมันมะกอก อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน อะโวคาโด
  

[img]https://www.bdmswellness.com/userfiles/fd00170a56f8f7ba2d8edd983f131bf9.jpg[/img] 

วิธีเติมวิตามิน เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง
การได้รับวิตามินอย่างเพียงพอ จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี พร้อมเผชิญกับทุกสถานการณ์ โดยมีวิธีเติมวิตามินให้ร่างกายแข็งแรง ผ่าน 4 แนวทางหลัก ดังนี้

รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ คือแหล่งวิตามินชั้นดีที่ร่างกายต้องการ โดยควรเลือกอาหารหลากหลายชนิด ดังนี้
*คาร์โบไฮเดรต จากข้าวกล้อง ธัญพืช ผักผลไม้
*โปรตีน จากเนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้ง
*ไขมันดี จากปลา น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่ว
*วิตามินและแร่ธาตุ เช่น ผักผลไม้หลากสี
*น้ำ โดยดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
          การออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินได้ดียิ่งขึ้น โดยแนะนำให้ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ หรือออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อ 2 วันต่อสัปดาห์

หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
สารพิษจากบุหรี่และแอลกอฮอล์ ส่งผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยการสูบบุหรี่จะทำลายวิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี 12 และการดื่มแอลกอฮอล์ จะไปรบกวนการดูดซึมวิตามินบี 1 วิตามินซี รวมถึงแมกนีเซียม

รับประทานอาหารเสริมวิตามิน
           ในบางกรณี ร่างกายอาจต้องการวิตามินเสริม ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนรับประทานวิตามินเสริม โดยเลือกรับประทานวิตามินจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ตามคำแนะนำบนฉลากยา โดยมีปริมาณวิตามินอาหารเสริมที่ควรได้รับต่อวันจะแตกต่างกันตามเพศและวัย แต่โดยทั่วไปอาจระบุได้ในเบื้องต้น เช่น
*วิตามินเอ ควรได้รับในปริมาณ วันละ 800-1,000 ไมโครกรัม
*วิตามินบี มีหลากหลายชนิด ซึ่งร่างกายจะต้องการในปริมาณที่แตกต่างกัน เช่น วิตามินบี 1 ควรได้รับวันละ 5 มิลลิกรัม, วิตามินบี 2 ควรได้รับวันละ 7 มิลลิกรัม, วิตามินบี 3 ควรได้รับวันละ 20 มิลลิกรัม เป็นต้น
*วิตามินซี ควรได้รับในปริมาณ วันละ 80-100 มิลลิกรัม
*วิตามินดี ควรได้รับในปริมาณไม่เกิน วันละ 50 ไมโครกรัม
*วิตามินอี ควรได้รับในปริมาณไม่เกิน วันละ 1,000 ไมโครกรัม

          ร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน การทานวิตามินประเภทเดียวอาจยังไม่ตอบโจทย์อย่างครบถ้วน ที่ BDMS Wellness Clinic มีบริการแพ็กเกจวิตามินเฉพาะบุคคล โดยแพทย์ผู้ชำนาญการจะทำการออกแบบโดยวิเคราะห์จากผลตรวจสุขภาพของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้รายการชนิดของวิตามิน และปริมาณวิตามินที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ตรงตามที่ร่างกายต้องการ หากสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาได้ที่เบอร์ 02-826-9999 หรือ LINE Official: @bdmswellnessclinic

ข้อมูลอ้างอิง
วิตามินและแร่ธาตุ. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 จาก https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledg
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่