ในขณะที่เกาหลีใต้เขามี

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ นี่คือข้อมูลเปรียบเทียบเชิงลึกของเรือพิฆาตชั้น KDX ทั้ง 3 เฟส โดยไม่มีตาราง
KDX-I: ก้าวแรกสู่กองเรือน้ำลึก (Blue-Water Navy)
* ชั้นเรือ: ควังแกโทมหาราช (Gwanggaeto the Great-class)
* เข้าประจำการ: ปี 2541-2543 (1998-2000)
* จำนวน: 3 ลำ
* ระวางขับน้ำ: ประมาณ 3,900 ตัน (เต็มที่)
นี่คือ "เรือครู" ของกองทัพเรือเกาหลีใต้ มีบทบาทหลักในการปราบเรือดำน้ำ (ASW) และบัญชาการกองเรือขนาดเล็ก มีขีดความสามารถในการป้องกันตนเอง แต่ไม่ได้เน้นการป้องกันภัยทางอากาศระยะไกล ระบบอำนวยการรบที่ใช้คือ SSCS Mk.7 (มีพื้นฐานจากสหราชอาณาจักร) ส่วนเรดาร์หลักเป็นแบบ 2 มิติ AN/SPS-49(V) ทำงานร่วมกับเรดาร์ 3 มิติ Signaal MW-08 ซึ่งเป็นระบบที่แยกส่วนกัน
สำหรับระบบอาวุธ ประกอบด้วยท่อยิงแนวดิ่ง (VLS) แบบ Mk.48 จำนวน 16 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยฯ RIM-7P Sea Sparrow, อาวุธปล่อยฯ พื้นสู่พื้น RGM-84 Harpoon จำนวน 8 ท่อยิง, ปืนหลัก 127 มม. Oto Melara, และระบบป้องกันระยะประชิด (CIWS) Goalkeeper 30 มม. จำนวน 2 ระบบ โดยรวมแล้วมีขีดความสามารถเทียบเท่าเรือฟริเกตสมรรถนะสูงในปัจจุบัน
KDX-II: เรือพิฆาตป้องกันภัยทางอากาศเต็มตัว
* ชั้นเรือ: ชุงมูกง ยีซุนชิน (Chungmugong Yi Sun-sin-class)
* เข้าประจำการ: ปี 2546-2551 (2003-2008)
* จำนวน: 6 ลำ
* ระวางขับน้ำ: ประมาณ 5,500 ตัน (เต็มที่)
นี่คือการอัปเกรดครั้งใหญ่จาก KDX-I โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นเรือพิฆาตอเนกประสงค์ที่มีขีดความสามารถในการป้องกันภัยทางอากาศให้กองเรือ (Area Air Defense) เป็นหลัก ใช้ระบบอำนวยการรบ Naval Shield ที่พัฒนาโดย Samsung/Thales และเรดาร์หลักยังคงเป็น AN/SPS-49(V)5 และ Thales MW08 ที่ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น
จุดเด่นคืออำนาจการยิงที่ก้าวกระโดด ด้วยท่อยิงแนวดิ่ง (VLS) รวมถึง 56 ท่อยิง แบ่งเป็น Mk.41 VLS จำนวน 32 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยฯ SM-2 Block IIIA (ป้องกันภัยทางอากาศระยะไกล) และ K-VLS (ของเกาหลีใต้) อีก 24 ท่อยิงสำหรับจรวดปราบเรือดำน้ำและจรวดร่อนโจมตีภาคพื้นดิน นอกจากนี้ยังมีอาวุธปล่อยฯ พื้นสู่พื้น SSM-700K Hae Sung ของเกาหลีใต้เอง และระบบป้องกันระยะประชิด Goalkeeper และ RAM เรือชั้นนี้เริ่มใช้เทคโนโลยีล่องหน (Stealth) ในการออกแบบอย่างชัดเจน
KDX-III: ที่สุดแห่งอำนาจการยิง (สุดยอดเรือพิฆาตเอจิส)
* ชั้นเรือ: เซจงมหาราช (Sejong the Great-class)
* เข้าประจำการ: ปี 2551-ปัจจุบัน (2008-Present)
* จำนวน: 3 ลำ (Batch I) และกำลังสร้างอีก 3 ลำ (Batch II)
* ระวางขับน้ำ: ประมาณ 11,000 ตัน (เต็มที่)
นี่คือเฟสสูงสุดของโครงการ เป็นเรือพิฆาตที่ติดตั้งระบบเอจิส (Aegis Combat System) ทำให้กลายเป็นหนึ่งในเรือรบผิวน้ำที่ทรงอานุภาพที่สุดในโลก มีบทบาทหลักในการป้องกันขีปนาวุธ (Ballistic Missile Defense) และควบคุมบัญชาการกองเรือขนาดใหญ่ หัวใจของเรือคือระบบอำนวยการรบ Aegis และเรดาร์อาร์เรย์เฟส 4 ทิศทาง AN/SPY-1D(V) ที่สามารถตรวจจับและติดตามเป้าหมายได้หลายร้อยเป้าหมายพร้อมกัน
อำนาจการยิงถือว่ามหาศาลที่สุด ด้วยท่อยิงแนวดิ่ง (VLS) รวมถึง 128 ท่อยิง แบ่งเป็น Mk.41 VLS จำนวน 80 ท่อยิงสำหรับอาวุธปล่อยฯ ตระกูล Standard Missile (SM-2, SM-3, SM-6) และ K-VLS อีก 48 ท่อยิงสำหรับจรวดร่อนและจรวดปราบเรือดำน้ำ เสริมด้วยอาวุธปล่อยฯ พื้นสู่พื้น 16 ท่อยิง และระบบ CIWS ทำให้เรือชั้นนี้มีขนาดเทียบเท่าเรือลาดตระเวน (Cruiser) และเป็นเรือเอจิสที่มีอาวุธบรรจุมากที่สุดในโลก
บทสรุปเปรียบเทียบวิวัฒนาการ
* KDX-I: คือ "เรือฟริเกต" ที่ทำหน้าที่เป็นเรือครูในการเรียนรู้เทคโนโลยีตะวันตก โดยเน้นการปราบเรือดำน้ำ
* KDX-II: คือ "เรือพิฆาต ปภอ." ที่ขยายขนาดและเพิ่มอำนาจการยิงระยะไกลอย่างก้าวกระโดด และเริ่มพึ่งพาตนเองมากขึ้น
* KDX-III: คือ "เรือพิฆาตเอจิส/เรือลาดตระเวน" ที่มีขีดความสามารถระดับโลก เน้นการป้องกันขีปนาวุธและทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการเคลื่อนที่
ในขณะที่เรามี..และพม่ามี…
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ถ้าเราจะเปรียบเทียบตามโจทย์ที่ท่านให้มา โดยเน้นที่ "ความใหม่" และ "ปริมาณ/คุณภาพของอาวุธ" โดยตัดเรื่องความซับซ้อนทางเทคโนโลยีการบูรณาการระบบ (System Integration) ที่เป็นจุดแข็งของเรือไทยลำใหม่ออกไป การเปรียบเทียบจะให้ภาพที่แตกต่างออกไป และคำตอบจะมีความซับซ้อนมากครับ
1. ด้าน "ความใหม่" ของตัวเรือ
ในด้านนี้ พม่าเหนือกว่าอย่างชัดเจน
* กองทัพเรือพม่า: เรือฟริเกตทั้ง 4 ลำ เป็นเรือที่ต่อขึ้นใหม่ทั้งหมดในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีอายุเฉลี่ยของกองเรือที่ต่ำมาก โครงสร้างตัวเรือและระบบพื้นฐานต่างๆ จึงมีความสดใหม่และพร้อมใช้งานสูง
* กองทัพเรือไทย: มีเรือใหม่เพียง 1 ลำ คือ ร.ล.ภูมิพลอดุลยเดช (อายุ 6 ปี) ส่วนอีก 6 ลำที่เหลือมีอายุการใช้งานเกิน 30 ปีทั้งหมด ซึ่งแม้จะมีการปรับปรุง แต่สภาพโดยรวมของตัวเรือก็เก่ากว่าอย่างมีนัยสำคัญ
2. ด้าน "ปริมาณและคุณภาพ" ของระบบอาวุธ
ในด้านนี้ มีความซับซ้อนและต้องพิจารณาเป็น 2 ประเด็นคือ "ความสม่ำเสมอ" และ "ขีดความสามารถสูงสุด"
A. ความสม่ำเสมอของกองเรือ (Fleet Consistency): พม่าเหนือกว่า
* กองทัพเรือพม่า: เรือฟริเกตทั้ง 4 ลำ มีมาตรฐานการติดตั้งอาวุธที่ "ครบเครื่องและสม่ำเสมอ" เหมือนกันทุกลำ กล่าวคือ เรือฟริเกตของพม่าทุกลำจะมาพร้อมกับ:
* อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้น: 8 ท่อยิง (เช่น C-802)
* อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ: ระบบป้องกันตนเองระยะประชิด (Short-Range SAM)
* ปืนใหญ่เรือ, ตอร์ปิโด, และระบบป้องกันระยะประชิด (CIWS)
* จุดแข็ง: ไม่ว่าจะเจอเรือฟริเกตลำไหนของพม่า ก็สามารถคาดหวังได้ว่าเรือลำนั้นมีความสามารถในการรบครบ 3 มิติในระดับที่น่าพอใจ
* กองทัพเรือไทย: มี "ความแตกต่างสุดขั้ว" ภายในกองเรือของตัวเอง
* กลุ่มเรือระดับสูง (3 ลำ): ร.ล.ภูมิพลอดุลยเดช, ร.ล.นเรศวร, และ ร.ล.ตากสิน เป็นเรือที่มีแสนยานุภาพสูงมาก โดยเฉพาะการติดตั้ง ระบบท่อยิงแนวดิ่ง (VLS) สำหรับอาวุธปล่อยฯ ESSM ซึ่งเป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศที่เหนือกว่าระบบของพม่าอย่างมาก
* กลุ่มเรือรุ่นเก่า (4 ลำ): ชุดเรือหลวงเจ้าพระยา
บทสรุป:
หากตัดเรื่องเทคโนโลยีการบูรณาการระบบออกไป แล้วมองแค่ความใหม่และอาวุธที่ติดตั้ง คำตอบคือ:
พม่ามีความสม่ำเสมอที่น่ากลัวกว่า
* ไทย มีกองเรือที่ไม่สมดุล มี "เรือแชมป์เปี้ยน" 3 ลำ ที่มีคุณภาพอาวุธ (โดยเฉพาะ ปภอ.) เหนือกว่าใคร แต่ก็มี "เรือที่เปราะบาง" อีก 4 ลำ
* พม่า มีกองเรือที่สมดุลกว่า เรือทุกลำอาจไม่ใช่ที่สุดของเทคโนโลยี แต่ทุกลำคือ "นักรบที่พร้อมสู้" และมีมาตรฐานอาวุธครบครัน ทำให้ภาพรวมของทั้งกองเรือมีความอันตรายที่คาดเดาได้และไม่มีจุดอ่อนที่ชัดเจนเหมือนเรือชุดเจ้าพระยาของไทย
ดังนั้น หากเป็นการรบที่ไทยสามารถส่งเรือกลุ่มแรก (3 ลำ) เข้าปะทะได้ ไทยจะมีความได้เปรียบด้านคุณภาพอาวุธ แต่หากสถานการณ์บังคับให้ต้องใช้เรือทั้งหมด หรือเรือรุ่นเก่าต้องเข้าปะทะ ความสม่ำเสมอของกองเรือพม่าจะกลายเป็นความได้เปรียบทันที
แต่…เรามี 2 ฝั่ง พม่า และเขมร เวียตนาม และระยะทางนั้น…
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จากข้อมูลที่มีอยู่จริงบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งอ้างอิงจากเส้นทางเดินเรือมาตรฐานและคุณสมบัติของเรือรบ สรุปได้ดังนี้ครับ
ข้อมูลการเดินเรือระบุว่า ระยะทางจากสัตหีบไปจนพ้นช่องแคบมะละกาอยู่ที่ประมาณ 1,500 ไมล์ทะเล
* เมื่อใช้ความเร็วเดินทางปกติของเรือฟริเกตที่ 18 นอต (18 ไมล์ทะเลต่อชั่วโมง) จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 83 ชั่วโมง
ดังนั้น ข้อมูลจริงบนอินเทอร์เน็ต (จากการคำนวณระยะทางและอัตราเร็วมาตรฐาน) ยืนยันว่าการเดินทางจะใช้เวลาประมาณ 3 วันครึ่ง ถึง 4 วัน ครับ
และเขามีเรือดำน้ำ…
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรือฟริเกต (Frigates)
กองทัพเรือพม่ามีความพยายามอย่างยิ่งยวดในการต่อเรือฟริเกตใช้เองในประเทศ ทำให้มีกองเรือที่ทันสมัยและมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
1. ชุดเรือจานซิตา (Kyan Sittha-class) - กระดูกสันหลังของกองเรือ
* จำนวน: 2 ลำ (F12 UMS Kyan Sittha, F14 UMS Sin Phyu Shin)
* สถานะ: ประจำการ
* ระวางขับน้ำ: ประมาณ 3,000 ตัน
* มิติ: ยาว 108 เมตร, กว้าง 13.5 เมตร
* ที่มา: ต่อเองในประเทศ ณ อู่ทหารเรือ Thanlyin โดยเป็นเรือฟริเกตชั้นแรกของพม่าที่มีการออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีล่องหน (Stealth) ลดการสะท้อนของเรดาร์
* ข้อมูลเชิงลึก: เป็นเรือรบอเนกประสงค์ที่เป็นกำลังหลักของกองเรือในปัจจุบัน หัวใจของเรือชั้นนี้คือการ บูรณาการระบบอาวุธและเซ็นเซอร์จากหลากหลายชาติ ทั้งอินเดีย, จีน, และรัสเซีย เพื่อให้ได้เรือรบที่มีขีดความสามารถสูงในงบประมาณที่ควบคุมได้
* ระบบอาวุธ:
* ปืนหลัก: OTO Melara 76 มม. (จากอิตาลี)
* อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้น: C-802 จำนวน 8 ท่อยิง (จากจีน)
* อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ: แท่นยิงแบบหมุนสำหรับ Igla-S (SA-24) MANPADS (จากรัสเซีย) สำหรับป้องกันตนเองระยะประชิด
* ระบบป้องกันระยะประชิด (CIWS): ปืนกล 6 ลำกล้อง NG-18 ขนาด 30 มม. จำนวน 3 ระบบ (มีพื้นฐานจาก AK-630 ของรัสเซีย)
* ปราบเรือดำน้ำ: ตอร์ปิโดเบา Shyena (จากอินเดีย) และจรวดปราบเรือดำน้ำ RBU-1200
* ระบบอิเล็กทรอนิกส์: ใช้เรดาร์ตรวจการณ์และควบคุมการยิงจากอินเดีย (BEL) และจีน
* การบิน: มีดาดฟ้าและโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์
2. เรืออองซียา (Aung Zeya-class) - เรือฟริเกตลำแรกที่ต่อเอง
* จำนวน: 1 ลำ (F11 UMS Aung Zeya)
* สถานะ: ประจำการ
* ระวางขับน้ำ: ประมาณ 2,500 ตัน
* มิติ: ยาว 108 เมตร
* ที่มา: เป็นเรือฟริเกตติดอาวุธปล่อยนำวิถีลำแรกที่พม่าต่อเองในประเทศ ถือเป็น "เรือครู" และต้นแบบของเรือชั้นจานซิตา
* ข้อมูลเชิงลึก: เป็นเรือที่แสดงถึงความทะเยอทะยานของพม่าในการเป็นมหาอำนาจทางเรือในภูมิภาค มีการติดตั้งระบบอาวุธที่น่าสนใจ
* อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้น: Kumsong-3 จำนวน 8 ท่อยิง ซึ่งเป็นอาวุธปล่อยฯ ที่มีพื้นฐานมาจาก Kh-35 ของรัสเซีย แต่เชื่อว่าพม่าได้รับเทคโนโลยีมาจากเกาหลีเหนือ
* อาวุธอื่นๆ: คล้ายกับเรือชั้นจานซิตา แต่มี CIWS แบบ AK-630 ถึง 4 ระบบ และใช้ระบบป้องกันภัยทางอากาศ SA-N-5
เรือดำน้ำ (Submarines)
พม่าเป็นประเทศที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ถัดจากเวียดนาม) ที่มีเรือดำน้ำเข้าประจำการในยุคปัจจุบัน ทำให้มีขีดความสามารถทางยุทธศาสตร์ที่เหนือกว่าหลายชาติ
1. เรือ UMS มินเยเตะขะตู (Minye Theinkhathu) - เรือดำน้ำชั้น Kilo
* สถานะ: ประจำการ
* ระวางขับน้ำ: ประมาณ 3,000 ตัน (ขณะดำ)
* ที่มา: เป็นเรือดำน้ำมือสอง ชั้น Kilo Project 877EKM ที่ได้รับมอบจากกองทัพเรืออินเดีย (อดีตเรือ INS Sindhuvir)
* ข้อมูลเชิงลึก: แม้จะเป็นเรือที่อายุมาก แต่เรือดำน้ำชั้น Kilo ขึ้นชื่อเรื่อง ความเงียบ ทำให้ตรวจจับได้ยากมาก บทบาทหลักของเรือลำนี้คือการ ฝึกกำลังพล เพื่อสร้างองค์ความรู้และประสบการณ์ในการปฏิบัติการเรือดำน้ำ ก่อนที่จะจัดหาเรือที่ทันสมัยกว่าในอนาคต
* อาวุธ: สามารถบรรทุกตอร์ปิโดและทุ่นระเบิดได้รวม 18 ลูก
2. เรือ UMS มินเยจอทีน (Minye Kyaw Htin) - เรือดำน้ำชั้น Ming
* สถานะ: ประจำการ
* ระวางขับน้ำ: ประมาณ 2,100 ตัน (ขณะดำ)
* ที่มา: เป็นเรือดำน้ำมือสอง ชั้น Type 035B Ming ที่ได้รับมอบจากกองทัพเรือจีน
* ข้อมูลเชิงลึก: เป็นเรือที่เข้ามาเสริมกำลังและเพิ่มจำนวนเรือดำน้ำให้สามารถปฏิบัติการได้อย่างต่อเนื่องมากขึ้น แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่เก่ากว่าชั้น Kilo แต่ก็ยังคงเป็นภัยคุกคามที่น่าเกรงขาม

เราควรเริ่มผลิตเอง เพื่อความเจริญของเรา อย่างแรกเลยคือเรือ
ในขณะที่เกาหลีใต้เขามี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในขณะที่เรามี..และพม่ามี…
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่…เรามี 2 ฝั่ง พม่า และเขมร เวียตนาม และระยะทางนั้น…
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และเขามีเรือดำน้ำ…
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้