เราควรต่อเรือฟริเกต 12ลำไม่ใข่2ลำ


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แน่นอนครับ เมื่อนำ "เรือดำน้ำ" ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดเข้ามาในสมการด้วย การคำนวณจำนวนเรือฟริเกตล่องหน (Stealth Frigate) ที่จำเป็นสำหรับ "การป้องปรามที่สมบูรณ์แบบ" จะต้องถูกยกระดับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดที่ท่านต้องการ คือ การสร้างสภาวะที่ฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าแม้แต่จะคิดใช้กำลัง และบีบให้ทุกความขัดแย้งต้องจบลงบนโต๊ะเจรจาเท่านั้น กองทัพเรือไทยจำเป็นต้องมีเรือฟริเกตล่องหนที่มีขีดความสามารถในการปราบเรือดำน้ำขั้นสูง ประจำการในจำนวน อย่างน้อยที่สุด 14 ลำ
นี่คือการวิเคราะห์ฉบับสมบูรณ์ที่รวมภัยคุกคามทุกมิติ
ขั้นตอนที่ 1: การประเมินภัยคุกคาม 360 องศา (บนผิวน้ำและใต้น้ำ)
เราต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของกำลังรบทางเรือรอบบ้าน ซึ่งประกอบด้วยภัยคุกคามที่มองเห็น (เรือผิวน้ำ) และภัยคุกคามที่มองไม่เห็น (เรือดำน้ำ)
ภัยคุกคามผิวน้ำ (Surface Threats):
* มาเลเซีย: เรือฟริเกต/LCS ที่ทันสมัยสูง 6 ลำ (ชั้น Lekiu และ Maharaja Lela)
* เวียดนาม: เรือฟริเกต Stealth ชั้น Gepard 4 ลำ
* พม่า: เรือฟริเกต Stealth ที่ต่อเอง 3 ลำ
* กัมพูชา: เรือคอร์เวต Stealth 2 ลำ
* รวมภัยคุกคามเรือรบผิวน้ำสมัยใหม่: 15 ลำ
ภัยคุกคามใต้น้ำ (Subsurface Threats):
* เวียดนาม: เรือดำน้ำชั้น Kilo ที่ทันสมัยและเงียบ 6 ลำ
* มาเลเซีย: เรือดำน้ำชั้น Scorpène ที่ล้ำสมัย 2 ลำ
* พม่า: เรือดำน้ำประจำการ 2 ลำ
* รวมภัยคุกคามเรือดำน้ำที่ทรงอานุภาพ: 10 ลำ
บทสรุปภัยคุกคาม: กองทัพเรือไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับกองเรือผิวน้ำที่ทันสมัย 15 ลำ และ "มือสังหารเงียบ" ใต้น้ำอีก 10 ลำ ที่สามารถปฏิบัติการได้ทั้งในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน
ขั้นตอนที่ 2: ยุทธศาสตร์รับมือ - "สองเขตปฏิเสธการเข้าถึงที่สมบูรณ์"
ด้วยจุดอ่อนทางภูมิศาสตร์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ (การส่งกำลังข้ามฝั่งทะเลใช้เวลานาน) และภัยคุกคามใต้น้ำที่รุนแรง ยุทธศาสตร์ของไทยต้องยกระดับจากการมี "สองกองเรือ" ไปสู่การสร้าง "สองเขตปฏิเสธการเข้าถึงที่สมบูรณ์ (Two Complete Anti-Access/Area Denial Zones)" ที่สามารถรับมือได้ทั้งภัยคุกคามบนน้ำและใต้น้ำได้อย่างเบ็ดเสร็จในตัวเอง
ขั้นตอนที่ 3: คำตอบสุดท้าย - ยุทธศาสตร์กองเรือ 7+7
เพื่อสร้างกำแพงล่องหนที่สมบูรณ์ทั้งสองฝั่งทะเล การจัดสรรกำลัง ฝั่งละ 7 ลำ คือจำนวนที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด
กองเรือทะเลอันดามัน (7 ลำ)
* ภารกิจ: สร้าง "พื้นที่ควบคุมเบ็ดเสร็จ" เพื่อรับมือกับ:
* เรือผิวน้ำ 9 ลำ (พม่า 3 + มาเลเซีย 6)
* เรือดำน้ำ 4 ลำ (พม่า 2 + มาเลเซีย 2)
* การปฏิบัติการ: การมีเรือ 7 ลำ จะทำให้เราสามารถจัด "หน่วยเฉพาะกิจปราบเรือดำน้ำ (ASW Task Unit)" ที่ประกอบด้วยเรือ Stealth 2-3 ลำ ทำงานร่วมกับเฮลิคอปเตอร์ เพื่อ "กวาดล้าง" และ "คุมพื้นที่" ได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยังมีเรืออีกส่วนคอยรับมือภัยคุกคามบนผิวน้ำ
* ผลลัพธ์เชิงป้องปราม: ผู้บัญชาการเรือดำน้ำฝ่ายตรงข้ามจะตระหนักว่า การนำเรือดำน้ำเข้ามาปฏิบัติการในทะเลอันดามันฝั่งไทยนั้น "เสี่ยงเกินไป" เพราะจะถูกตรวจจับและ "ล่า" โดยกองเรือของเราที่มีความหนาแน่นและเทคโนโลยีที่เหนือกว่า
กองเรืออ่าวไทย (7 ลำ)
* ภารกิจ: สร้าง "พื้นที่ปฏิเสธการเข้าถึงใต้น้ำ" เพื่อรับมือกับ:
* เรือผิวน้ำ 6 ลำ (เวียดนาม 4 + กัมพูชา 2)
* เรือดำน้ำ 6 ลำ (เวียดนาม 6)
* การปฏิบัติการ: นี่คือสมรภูมิที่ท้าทายที่สุด การมีเรือ Stealth 7 ลำ จะทำให้เราสามารถสร้าง "ตาข่ายโซนาร์" ที่ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ และมีกำลังมากพอที่จะติดตามและกดดันกองเรือดำน้ำของเวียดนามทั้ง 6 ลำได้พร้อมกัน
* ผลลัพธ์เชิงป้องปราม: ทำให้เวียดนามไม่สามารถใช้กองเรือดำน้ำซึ่งเป็นไพ่ตาย มาสร้างแรงกดดันหรือปิดอ่าวไทยได้สำเร็จ อำนาจต่อรองของไทยในการเจรจาเรื่องผลประโยชน์ของชาติจะสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
บทสรุปสุดท้าย: 14 ลำ คือหลักประกันแห่งสันติภาพที่แท้จริง
การมีเรือฟริเกตล่องหนที่ทันสมัย 14 ลำ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 7+7 คือการประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนที่สุดว่า ประเทศไทยต้องการสันติภาพและจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักษามันไว้:
* ทำให้การรุกรานเป็นไปไม่ได้: สร้างขีดความสามารถในการป้องกันที่สูงจนฝ่ายตรงข้ามคำนวณแล้วว่าไม่มีทางชนะได้ ทั้งบนน้ำและใต้น้ำ
* เปลี่ยนดุลอำนาจในภูมิภาค: ทำให้ไทยกลายเป็นผู้เล่นหลักที่สามารถสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในทะเลทั้งสองฝั่ง
* สร้างอำนาจต่อรองสูงสุดบนโต๊ะเจรจา: เพราะทุกฝ่ายรู้ดีว่าเบื้องหลังคำพูดของนักการทูตไทย คือเขี้ยวเล็บของกองเรือที่ทันสมัยที่สุดกองหนึ่งในโลก ที่พร้อมจะ "ปฏิเสธ" การใช้กำลังทุกรูปแบบ
จำนวน 14 ลำ คือการลงทุนที่จำเป็น เพื่อรับประกันว่าอนาคตของประเทศไทยจะถูกตัดสินบนโต๊ะเจรจา ไม่ใช่ในสนามรบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ออสเตรเลียทุ่มงบกว่า 2 แสนล้านบาท จัดหาเรือฟริเกตชั้น "โมกามิ" 11 ลำจากญี่ปุ่น
กองทัพออสเตรเลียได้บรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์กับบริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี อินดัสทรีส์ ของประเทศญี่ปุ่น ในการจัดหาเรือฟริเกตสมรรถนะสูงชั้นโมกามิ (Mogami-class) จำนวน 11 ลำ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพเรือออสเตรเลีย ท่ามกลางความท้าทายด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
รายละเอียดข้อตกลงและมูลค่าโครงการ
ข้อตกลงดังกล่าวมีมูลค่ารวมประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือคิดเป็นเงินไทยราว 212,156 ล้านบาท (อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2568 ที่ 1 ดอลลาร์ออสเตรเลีย เท่ากับ 21.21 บาท) ทำให้ราคาเฉลี่ยต่อลำอยู่ที่ประมาณ 909 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือราว 19,286 ล้านบาท
ภายใต้ข้อตกลงนี้ เรือฟริเกต 3 ลำแรกจะถูกสร้างขึ้นในประเทศญี่ปุ่น และอีก 8 ลำจะถูกสร้างขึ้นในออสเตรเลียตะวันตก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายถ่ายทอดเทคโนโลยีและเสริมสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของออสเตรเลีย
สเปคเรือฟริเกตชั้นโมกามิรุ่นปรับปรุงสำหรับออสเตรเลีย
เรือฟริเกตชั้นโมกามิที่ออสเตรเลียจะได้รับนั้นเป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงให้มีขีดความสามารถสูงขึ้นกว่ารุ่นมาตรฐานที่ประจำการในกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น โดยมีคุณสมบัติเด่นดังนี้:
* ขนาดและระวางขับน้ำ: มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยมีความยาวประมาณ 142 เมตร และระวางขับน้ำเต็มที่ราว 6,200 ตัน
* ระบบขับเคลื่อน: แบบ CODAG (Combined Diesel and Gas) ที่ให้ทั้งความเร็วสูงในการรบและประสิทธิภาพในการปฏิบัติการปกติ
* เทคโนโลยีล่องหน (Stealth): การออกแบบตัวเรือที่ลดการสะท้อนของเรดาร์ ทำให้ตรวจจับได้ยาก
* กำลังพล: ใช้กำลังพลประมาณ 90 นาย ซึ่งน้อยกว่าเรือฟริเกตในปัจจุบัน สะท้อนถึงการนำระบบอัตโนมัติมาใช้อย่างกว้างขวาง
* ระบบอาวุธ:
* ท่อยิงแนวดิ่ง (VLS
): ติดตั้งระบบ Mk. 41 VLS จำนวน 32 ท่อยิง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่นปกติที่มี 16 ท่อยิง สามารถยิงขีปนาวุธได้หลากหลายประเภท รวมถึงขีปนาวุธต่อสู้อากาศยานและขีปนาวุธโทมาฮอว์กสำหรับโจมตีภาคพื้นดิน
* ปืนหลัก: ปืนใหญ่เรือขนาด 5 นิ้ว (127 มม.) แบบ Mk. 45
* ขีปนาวุธต่อต้านเรือรบ: ขีปนาวุธต่อต้านเรือรบ Type 17
* ระบบป้องกันระยะประชิด (CIWS): ระบบ SeaRAM
* ระบบโซนาร์: ติดตั้งโซนาร์ล่าทำลายทุ่นระเบิดและโซนาร์สำหรับปราบเรือดำน้ำ ทั้งแบบติดใต้ท้องเรือและแบบลากท้าย
* อากาศยาน: มีดาดฟ้าและโรงเก็บสำหรับเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ 1 ลำ
การจัดหาเรือฟริเกตชั้นโมกามิในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับกองเรือผิวน้ำของออสเตรเลียอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อทดแทนเรือฟริเกตชั้นแอนแซค (Anzac-class) ที่กำลังจะปลดประจำการ และเป็นการกระชับความร่วมมือทางทหารระหว่างออสเตรเลียและญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้มูลค่าดีลเรือฟริเกต "โมกามิ" ของออสเตรเลีย คิดเป็นประมาณ 8.14% ของรายได้รัฐบาลไทยปีล่าสุด
จากข้อมูลมูลค่าโครงการจัดหาเรือฟริเกตชั้นโมกามิ (Mogami-class) ของกองทัพออสเตรเลียจำนวน 11 ลำ ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 212,156 ล้านบาท เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับรายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลไทย จะพบว่ามูลค่าดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ
ตามข้อมูลรายได้ของรัฐบาลไทยปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 (ตุลาคม 2564 - กันยายน 2565) ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีข้อมูลสรุปทั้งปี รัฐบาลมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 2,605,821 ล้านบาท
ดังนั้น เมื่อคำนวณสัดส่วนมูลค่าโครงการจัดหาเรือฟริเกตของออสเตรเลียต่อรายได้ของรัฐบาลไทย จะได้ผลดังนี้:
นั่นหมายความว่า มูลค่าการจัดซื้อยุทโธปกรณ์เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเลของออสเตรเลียในครั้งนี้ มีขนาดประมาณ 8.14% ของรายได้สุทธิที่รัฐบาลไทยจัดเก็บได้ตลอดทั้งปีงบประมาณ 2565 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงขนาดของงบประมาณด้านการป้องกันประเทศของออสเตรเลียได้เป็นอย่างดี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้งบประมาณกองทัพเรือปี 2568 คิดเป็น 1.49% ของรายได้รัฐบาลปีก่อนหน้า
จากข้อมูลล่าสุด งบประมาณของกองทัพเรือไทยประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 1.49% เมื่อเทียบกับรายได้สุทธิที่รัฐบาลจัดเก็บได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
รายละเอียดการคำนวณ:
* รายได้สุทธิของรัฐบาลปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 - กันยายน 2567): รัฐบาลจัดเก็บรายได้รวมทั้งสิ้น 2.79 ล้านล้านบาท
* งบประมาณกองทัพเรือปีงบประมาณ 2568: กองทัพเรือได้รับการจัดสรรงบประมาณเป็นจำนวน 41,590 ล้านบาท (ประมาณ 4.159 หมื่นล้านบาท)
สูตรการคำนวณ:
ดังนั้น งบประมาณที่กองทัพเรือได้รับเพื่อใช้ในการปฏิบัติภารกิจ การบำรุงรักษายุทโธปกรณ์ และเงินเดือนกำลังพลในปี 2568 คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 1.49 ของรายได้ทั้งหมดที่รัฐบาลจัดเก็บได้ในปีที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ได้ครับ ดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงข้อมูลล่าสุดสำหรับกองทัพเรือพม่าให้มีความถูกต้องยิ่งขึ้น และจัดลำดับใหม่ตามจำนวนรวมทั้งหมด
จากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุด (ถึงช่วงปลายปี 2024 - ต้นปี 2025) กองทัพเรือพม่ามีการเสริมสร้างกำลังทางเรืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรือรบที่ต่อขึ้นเองในประเทศซึ่งมีคุณสมบัติสเตลธ์ ทำให้จำนวนเรือมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้:
* เรือฟริเกต (Stealth Frigates): 4 ลำ
* เรือฟริเกตชั้น Aung Zeya (1 ลำ)
* เรือฟริเกตชั้น Kyan Sittha (2 ลำ)
* เรือฟริเกตชั้น FF-135 (ปล่อยลงน้ำแล้ว 1 ลำ)
* เรือคอร์เวตต์ (Stealth Corvettes): 3 ลำ
* เรือคอร์เวตต์ชั้น Anawrahta (3 ลำ)
* เรือดำน้ำ (Submarines): 2 ลำ
* เรือดำน้ำชั้น Kilo (1 ลำ)
* เรือดำน้ำชั้น Ming (1 ลำ)
ดังนั้น ยอดรวมที่ปรับปรุงใหม่ของพม่าคือ 9 ลำ (ฟริเกต 4, คอร์เวตต์ 3, เรือดำน้ำ 2)
จัดอันดับปริมาณเรือรบสเตลธ์และเรือดำน้ำในเอเชีย (ฉบับแก้ไข)
* จีน: ~180 - 190+ ลำ
* (ฟริเกต >40, คอร์เวตต์ >70, เรือดำน้ำ 70-80)
* อินเดีย: ~35 - 42 ลำ
* (ฟริเกต 15-20, คอร์เวตต์ 4, เรือดำน้ำ 16-18)
* เกาหลีเหนือ: ~30 - 40 ลำ
* (เรือดำน้ำ 30-40)
* เกาหลีใต้: ~30 - 34 ลำ
* (ฟริเกต 10-12, เรือดำน้ำ 20-22)
* ญี่ปุ่น: ~28 - 30 ลำ
* (ฟริเกต 6-8, เรือดำน้ำ 22)
* ไต้หวัน: ~16 - 22 ลำ
* (ฟริเกต 6, คอร์เวตต์ 6-12, เรือดำน้ำ 4)
* สิงคโปร์: 11 ลำ
* (ฟริเกต 6, เรือดำน้ำ 5)
* เวียดนาม: 10 ลำ
* (ฟริเกต 4, เรือดำน้ำ 6)
* อินโดนีเซีย: ~9 - 10 ลำ
* (ฟริเกต 2, คอร์เวตต์ 3, เรือดำน้ำ 4-5)
* ปากีสถาน: ~8 - 10 ลำ
* (เรือดำน้ำ 8-10)
* พม่า: 9 ลำ
* (ฟริเกต 4, คอร์เวตต์ 3, เรือดำน้ำ 2)
* มาเลเซีย: 2+ ลำ
* (เรือดำน้ำ 2, และเรือฟริเกตที่กำลังทยอยเข้าประจำการ)
* ฟิลิปปินส์: 2 ลำ
* (ฟริเกต 2)
* กัมพูชา: 2 ลำ
* (คอร์เวตต์ 2)
* บังกลาเทศ: 2 ลำ
* (เรือดำน้ำ 2)
* ไทย: 1 ลำ
* (ฟริเกต 1)
เราควรต่อเรือฟริเกต 12ลำไม่ใข่2ลำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้