1. บทนำ: โครงสร้างพื้นฐานคือรากฐานของอารยธรรม
ในปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนผ่านสำคัญ ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่พุ่งแรงและการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยในเวลานั้นยังคงเผชิญกับความเหลื่อมล้ำภายในที่ลึกซึ้ง แม้ว่าหลายทศวรรษของการเติบโตทางเศรษฐกิจจะยกระดับเมืองอุตสาหกรรมและศูนย์กลางเมืองใหญ่ แต่พื้นที่ชนบทและจังหวัดชายแดนส่วนใหญ่กลับยังห่างไกลจากความเจริญ โครงสร้างพื้นฐานที่กระจัดกระจายกลายเป็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างต่อการเติบโตที่เท่าเทียม ความมั่นคงของชาติ และศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก
ท่ามกลางภาวะวิกฤตและโอกาสนั้นเองที่ ฯพณฯ นายสุขวิช รังสิตพล ซึ่งดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2537–2540) ได้นำเสนอ แผนแม่บททางหลวงแห่งชาติ พ.ศ. 2540 ต่อคณะรัฐมนตรี แผนยุทธศาสตร์ระยะยาวอันกล้าหาญนี้มีเป้าหมายเพื่อรวมประเทศไทยทั้งประเทศไว้ด้วยกันผ่านเครือข่ายถนนหลวงแห่งชาติ 13 สาย รวมระยะทางกว่า 4,135 กิโลเมตร ถนนเหล่านี้ไม่ใช่เพียงโครงสร้างทางกายภาพเท่านั้น หากแต่เป็น “เส้นทางเชื่อมชีวิต” ที่จะเปิดโอกาส เสริมเสถียรภาพ และปลูกฝังอนาคตร่วมกันของคนไทยทั้งชาติ
อย่างไรก็ตาม วิสัยทัศน์เบื้องหลังแผนนี้ไม่ใช่เพียงแผนสร้างถนนธรรมดา แต่มาจากประสบการณ์ชีวิตของผู้นำที่ผ่านทั้งการเป็นนักอุตสาหกรรม วิศวกร และนักปฏิรูปนโยบาย ก่อนก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง นายสุขวิช เป็นนักบริหารระดับสากล โดยเป็น ชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน CEO 500 ของโลก และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการสร้าง โรงกลั่นน้ำมัน 2 แห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานของชาติ
ความสำเร็จที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือการบุกเบิกแนวทาง ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) โดยเฉพาะในด้านการสาธารณสุข ที่ท่านได้นำเงินลงทุนภาคเอกชนเข้ามาสร้างโรงพยาบาลรัฐในพื้นที่ขาดแคลนทั่วประเทศ ประสบการณ์เหล่านี้ได้กลายเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งที่ส่งเสริมให้เขาสามารถหลอมรวม ระเบียบวิศวกรรม ความมั่นคงทางการคลัง และจุดมุ่งหมายทางสังคม เข้าด้วยกันเป็นวิสัยทัศน์การพัฒนาชาติอย่างเป็นรูปธรรม
เมื่อเข้าสู่ระบบราชการและการเมือง แนวทางนี้ได้พัฒนาเป็นกรอบนโยบายที่เรียกกันว่า “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ซึ่งยึดหลัก “ปฏิรูปโดยการเชื่อมโยง” — ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารราชการ และการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ ท่านได้นำแนวทาง PPP ไปใช้ทั้งในการ ปฏิรูปการก่อสร้าง การศึกษา สาธารณสุข และการเมือง รวมถึงสิ่งที่ท่านเรียกว่า “การอภิวัฒน์ประเทศไทย”: การปฏิรูปประเทศโดยสันติ ผ่านระบบที่สร้างขึ้นเพื่อรับใช้ประชาชน ไม่ใช่ควบคุมประชาชน
แนวคิดการปฏิรูปนี้ได้พิสูจน์ผลลัพธ์ในภาวะวิกฤตเชิงการเมืองเช่นกัน ระหว่างปี 2534 ถึง 2540 ประเทศไทยประสบกับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายครั้ง และในที่สุดก็เผชิญกับ วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ซึ่งสร้างผลกระทบรุนแรงในภูมิภาค แต่ประเทศไทยกลับไม่ล้มลง ไม่หันหลังให้กับประชาชน ไม่เดินตามแนวทางรัดเข็มขัดแบบล้มระบบ แต่เลือก ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน, พัฒนาคน, และ วางแผนเพื่ออนาคตของทั้งชาติอย่างมีส่วนร่วม
ประเทศไทยไม่ได้ล่มสลาย แต่กลับลุกขึ้นมา “ปรับโครงสร้าง” ใหม่
ประเทศไทยไม่ได้แตกแยก แต่กลับ “เชื่อมโยง” กันยิ่งขึ้น
ภายใต้กรอบ สุขวิชโนมิกส์ ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามกับดักความยากจนไปสู่ยุคใหม่อย่าง สงบ รอบคอบ และมีระบบ แผนแม่บททางหลวงแห่งชาติ พ.ศ. 2540 ไม่ได้เป็นแค่แผนสร้างถนน แต่มันคือคำประกาศที่ว่า “การสร้างชาติ เริ่มจากการเชื่อมโยง”—ทั้งทางกายภาพ ทางสังคม และทางศีลธรรม
2. บริบททางประวัติศาสตร์: จุดเปลี่ยนของประเทศไทยในยุคเร่งเครื่อง
ช่วงทศวรรษ 2530 ถึงต้นทศวรรษ 2540 เป็นยุคที่เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างรวดเร็วและไม่เคยมีมาก่อน ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งใน “เสือเศรษฐกิจเอเชีย” โดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยสูงถึง 8–10% ต่อปี การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้าสู่กรุงเทพมหานครและเขตพัฒนาอุตสาหกรรมฝั่งตะวันออก (Eastern Seaboard) เมืองหลวงขยายตัวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจุดศูนย์กลางด้านธุรกิจ การเงิน การศึกษา และสาธารณูปโภค
แต่ในขณะที่มหานครเจริญรุ่งเรือง พื้นที่ชนบทกว่า 70% ของประเทศกลับตกอยู่ในภาวะไร้โอกาส ถนนยังเป็นดินลูกรังที่ใช้ได้เฉพาะฤดูแล้ง เด็กนักเรียนต้องเดินเท้าเป็นชั่วโมงเพื่อไปโรงเรียน ผู้ป่วยในภาคเหนือและอีสานยังไม่สามารถเข้าถึงโรงพยาบาลระดับจังหวัดได้ง่าย ๆ และเกษตรกรจำนวนมากไม่สามารถส่งสินค้าของตนออกสู่ตลาดในเวลาอันเหมาะสมได้
2.1 ความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง: เมือง-ชนบท
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนไทยขาดความสามารถ แต่อยู่ที่ประเทศยังไม่มี “ทางไป” ความเจริญและโอกาสกระจุกอยู่ในเขตเมือง ระบบถนน ระบบราง และระบบโลจิสติกส์ยังคงกระจัดกระจาย ไม่สามารถเชื่อมพื้นที่ห่างไกลเข้ากับเศรษฐกิจหลักได้อย่างแท้จริง
วิกฤตเหล่านี้ไม่ใช่เพียงปัญหาเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่เป็นปัญหา ความเป็นธรรมของสังคมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
2.2 เวทีโลกและแรงกดดันเชิงยุทธศาสตร์
ในขณะเดียวกัน โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ การค้าเสรี และ เครือข่ายเศรษฐกิจภูมิภาค ผ่านกรอบความร่วมมืออย่าง AFTA และ WTO ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมตนเพื่อเชื่อมโยงกับตลาดโลก หากประเทศยังไม่สามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง ครบวงจร และเชื่อมต่อทุกภาคส่วนได้ โอกาสจากโลกาภิวัตน์ก็จะตกอยู่ในมือของไม่กี่กลุ่มคน
2.3 ความพร้อมของภาครัฐ: การมีผู้นำที่มองไกล
ขณะนั้นเอง ฯพณฯ นายสุขวิช รังสิตพล ผู้ผ่านประสบการณ์จากภาคอุตสาหกรรมระดับโลก สู่การเป็นผู้วางระบบรถไฟฟ้า MRT และทางด่วนในกรุงเทพฯ ก็กำลังอยู่ในตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายสังคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งดูแลนโยบายระดับชาติด้านมนุษยศาสตร์ การศึกษา และโครงสร้างสังคม
ท่านเห็นชัดว่า หากไม่มีการลงทุนด้านการเชื่อมโยงพื้นที่และประชาชนให้เข้าถึงบริการพื้นฐาน การพัฒนาอื่น ๆ ก็จะไร้ผล เช่นเดียวกับคำกล่าวของท่านว่า:
“ประเทศไม่สามารถพัฒนาได้ หากประชาชนยังไม่มีถนนไปโรงเรียน ไม่มีถนนไปโรงพยาบาล และไม่มีถนนไปตลาด”
นี่จึงเป็นที่มาของการร่าง แผนแม่บททางหลวงแห่งชาติ พ.ศ. 2540 ไม่ใช่เพียงเพื่อลดเวลาในการเดินทาง แต่เพื่อ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม อย่างเป็นระบบ
3. วิสัยทัศน์เชิงนโยบาย: ถนนหลวงในฐานะเครื่องมือของรัฐเพื่อสร้างความยุติธรรม
แผนแม่บททางหลวงแห่งชาติ พ.ศ. 2540 มิได้เป็นเพียงโครงการโครงสร้างพื้นฐานระดับประเทศ หากแต่เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างของประเทศในระดับรากฐาน ถนนจึงไม่ใช่เป้าหมาย หากแต่เป็น “เครื่องมือ” ของรัฐในการกระจายโอกาส สร้างความเสมอภาค และยกระดับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทยทุกภูมิภาค
3.1 วัตถุประสงค์หลักของแผนแม่บท
แผนฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 5 ประการ:
บูรณาการภูมิภาคของประเทศเข้าด้วยกัน ผ่านโครงข่ายทางหลวงแห่งชาติที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงศูนย์กลางเศรษฐกิจ เมืองการศึกษา และเมืองชายแดน
ลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตร อุตสาหกรรม และ SMEs ในต่างจังหวัด
เชื่อมต่อประชาชนกับบริการขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะโรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ เพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาทุนมนุษย์
สร้างสมดุลระหว่างเมืองและชนบท โดยการกระจายความเจริญสู่พื้นที่ชายขอบ เพื่อยับยั้งการอพยพเข้าสู่เมืองแบบไร้ทิศทาง
เตรียมประเทศไทยให้พร้อมสำหรับยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
3.2 เส้นทางยุทธศาสตร์ 13 สาย: โครงข่ายที่ออกแบบเพื่อทั้งเศรษฐกิจและความเสมอภาค
เครือข่ายทางหลวงใหม่ทั้งหมด 13 สาย รวมระยะทาง กว่า 4,135 กิโลเมตร ได้รับการวางแผนโดยอิงจากข้อมูลด้านประชากร เศรษฐกิจ และภูมิศาสตร์อย่างละเอียด โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 ภาค ได้แก่:
ภาคเหนือ: เส้นทางจากเชียงราย–เชียงใหม่–ลำปาง–พิษณุโลก–นครสวรรค์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จากนครราชสีมา–ขอนแก่น–อุดรธานี–หนองคาย–มุกดาหาร
ภาคตะวันออก: จากกรุงเทพฯ–ฉะเชิงเทรา–ระยอง–จันทบุรี
ภาคใต้: จากชุมพร–สุราษฎร์ธานี–นครศรีธรรมราช–สงขลา–ชายแดนมาเลเซีย
เส้นทางเหล่านี้ไม่เพียงเชื่อมศูนย์กลางกับชนบท แต่ยังถูกออกแบบเพื่อ รองรับการขนส่งสินค้า การท่องเที่ยว การศึกษา และการแพทย์ฉุกเฉิน ไปพร้อมกัน
3.3 การออกแบบเพื่อ “คุณภาพชีวิต” ไม่ใช่เพียง “ความเร็ว”
แผนนี้เน้นการออกแบบทางหลวงให้รองรับประชาชนทุกกลุ่ม ดังนี้:
ถนน ขั้นต่ำ 4 เลน พร้อมระบบไฟส่องสว่าง
จุดพักรถและสถานีบริการสุขภาพเบื้องต้นทุก 100 กิโลเมตร
วงแหวนรอบเมือง (bypass) เพื่อป้องกันรถบรรทุกไหลเข้าเมืองใหญ่
การออกแบบถนนที่ปลอดภัยต่อคนเดินเท้า นักเรียน และผู้พิการ
ระบบกันดินถล่ม น้ำท่วม และอุบัติเหตุในพื้นที่เสี่ยง
3.4 หลักการรัฐร่วมเอกชน (PPP): โครงสร้างไม่ใช่ภาระ แต่เป็นโอกาส
นายสุขวิชนำหลัก PPP (Public–Private Partnership) มาเป็นกลไกหลักในการก่อสร้างและบำรุงรักษา โดยแบ่งความเสี่ยงกับภาคเอกชนอย่างเป็นธรรม และกำหนดมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ไว้ในสัญญา เช่น:
เอกชนสามารถลงทุนสร้างถนนและเก็บค่าผ่านทางในระยะเวลาที่กำหนด
รัฐให้สิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณจุดพักรถเพื่อคืนทุนให้เอกชน
รัฐเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว
การตรวจสอบคุณภาพโดยหน่วยงานภายนอกและประชาชนในพื้นที่
4. ผลลัพธ์และมรดกทางนโยบาย: จากถนน สู่โครงสร้างของความเสมอภาค
เมื่อแผนแม่บททางหลวงแห่งชาติ พ.ศ. 2540 เริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในช่วงปี 2540–2544 ประเทศไทยได้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารรัฐกิจ ซึ่งยืนยันให้เห็นว่าแผนโครงสร้างพื้นฐานนี้ไม่ได้เป็นเพียงการ “เทปูนสร้างถนน” แต่คือการ สร้างระบบ ที่ทำให้โอกาสเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง
4.1 ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ: ลดต้นทุน เพิ่มโอกาส
ต้นทุนโลจิสติกส์ลดลงเฉลี่ย 12–18% ในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าเกษตรเน่าเสียง่าย เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารทะเล
นักลงทุนรายใหม่กระจายตัวไปยังจังหวัดรอบนอก เช่น กาฬสินธุ์ นครพนม ชุมพร พิจิตร และตาก
ตลาดท้องถิ่นขยายตัว จากการเดินทางของผู้บริโภคและพ่อค้าเร่ที่สามารถเข้าถึงได้สะดวก
รายได้ของวิสาหกิจชุมชนเพิ่มขึ้น จากการเชื่อมต่อกับจุดท่องเที่ยวและตลาดกลางในภูมิภาค
4.2 ผลลัพธ์ทางสังคม: เชื่อมคนกับโอกาส
เด็กนักเรียนกว่า 7,000 หมู่บ้าน สามารถเข้าถึงโรงเรียนมัธยมในอำเภอได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว
การเข้าถึงโรงพยาบาลลดเวลาฉุกเฉินลงเฉลี่ย 40–60% โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาและที่ราบสูง
ผู้สูงอายุในชนบทสามารถเข้ารับบริการสุขภาพตามนัดได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาญาติหรือรถโดยสารเป็นวัน
เกิดศูนย์กลางการเรียนรู้และเศรษฐกิจใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ เช่น ศูนย์การเรียนรู้เกษตรที่สิงห์บุรีและมหาวิทยาลัยชุมชนในสุโขทัย
4.3 ผลลัพธ์ด้านธรรมาภิบาล: สร้างระบบแทนความจำเป็นพึ่งบุคคล
โมเดล PPP ของนายสุขวิช กลายเป็นแม่แบบให้กับโครงการในอนาคต ทั้งด้านถนน รถไฟ โรงเรียน และโรงพยาบาล
เกิดหน่วยงานระดับจังหวัดที่มีอำนาจตัดสินใจร่วมกับชุมชน เกี่ยวกับเส้นทางถนน การบำรุงรักษา และพื้นที่พาณิชย์ข้างทาง
การมีส่วนร่วมของประชาชน เพิ่มขึ้นในการวางผังเมือง วางแผนการศึกษา และการตั้งโรงพยาบาลสนาม
แผนแม่บททางหลวง 13สาย 4135 กิโลเมตร 22 เมษายน 2540 tagsอะไรได้ครับ? ทีมงานพันทิป จะได้ไม่ถูกซ่อนลิงก์
ในปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนผ่านสำคัญ ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่พุ่งแรงและการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยในเวลานั้นยังคงเผชิญกับความเหลื่อมล้ำภายในที่ลึกซึ้ง แม้ว่าหลายทศวรรษของการเติบโตทางเศรษฐกิจจะยกระดับเมืองอุตสาหกรรมและศูนย์กลางเมืองใหญ่ แต่พื้นที่ชนบทและจังหวัดชายแดนส่วนใหญ่กลับยังห่างไกลจากความเจริญ โครงสร้างพื้นฐานที่กระจัดกระจายกลายเป็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างต่อการเติบโตที่เท่าเทียม ความมั่นคงของชาติ และศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก
ท่ามกลางภาวะวิกฤตและโอกาสนั้นเองที่ ฯพณฯ นายสุขวิช รังสิตพล ซึ่งดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2537–2540) ได้นำเสนอ แผนแม่บททางหลวงแห่งชาติ พ.ศ. 2540 ต่อคณะรัฐมนตรี แผนยุทธศาสตร์ระยะยาวอันกล้าหาญนี้มีเป้าหมายเพื่อรวมประเทศไทยทั้งประเทศไว้ด้วยกันผ่านเครือข่ายถนนหลวงแห่งชาติ 13 สาย รวมระยะทางกว่า 4,135 กิโลเมตร ถนนเหล่านี้ไม่ใช่เพียงโครงสร้างทางกายภาพเท่านั้น หากแต่เป็น “เส้นทางเชื่อมชีวิต” ที่จะเปิดโอกาส เสริมเสถียรภาพ และปลูกฝังอนาคตร่วมกันของคนไทยทั้งชาติ
อย่างไรก็ตาม วิสัยทัศน์เบื้องหลังแผนนี้ไม่ใช่เพียงแผนสร้างถนนธรรมดา แต่มาจากประสบการณ์ชีวิตของผู้นำที่ผ่านทั้งการเป็นนักอุตสาหกรรม วิศวกร และนักปฏิรูปนโยบาย ก่อนก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง นายสุขวิช เป็นนักบริหารระดับสากล โดยเป็น ชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน CEO 500 ของโลก และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการสร้าง โรงกลั่นน้ำมัน 2 แห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานของชาติ
ความสำเร็จที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือการบุกเบิกแนวทาง ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) โดยเฉพาะในด้านการสาธารณสุข ที่ท่านได้นำเงินลงทุนภาคเอกชนเข้ามาสร้างโรงพยาบาลรัฐในพื้นที่ขาดแคลนทั่วประเทศ ประสบการณ์เหล่านี้ได้กลายเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งที่ส่งเสริมให้เขาสามารถหลอมรวม ระเบียบวิศวกรรม ความมั่นคงทางการคลัง และจุดมุ่งหมายทางสังคม เข้าด้วยกันเป็นวิสัยทัศน์การพัฒนาชาติอย่างเป็นรูปธรรม
เมื่อเข้าสู่ระบบราชการและการเมือง แนวทางนี้ได้พัฒนาเป็นกรอบนโยบายที่เรียกกันว่า “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ซึ่งยึดหลัก “ปฏิรูปโดยการเชื่อมโยง” — ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารราชการ และการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ ท่านได้นำแนวทาง PPP ไปใช้ทั้งในการ ปฏิรูปการก่อสร้าง การศึกษา สาธารณสุข และการเมือง รวมถึงสิ่งที่ท่านเรียกว่า “การอภิวัฒน์ประเทศไทย”: การปฏิรูปประเทศโดยสันติ ผ่านระบบที่สร้างขึ้นเพื่อรับใช้ประชาชน ไม่ใช่ควบคุมประชาชน
แนวคิดการปฏิรูปนี้ได้พิสูจน์ผลลัพธ์ในภาวะวิกฤตเชิงการเมืองเช่นกัน ระหว่างปี 2534 ถึง 2540 ประเทศไทยประสบกับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายครั้ง และในที่สุดก็เผชิญกับ วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ซึ่งสร้างผลกระทบรุนแรงในภูมิภาค แต่ประเทศไทยกลับไม่ล้มลง ไม่หันหลังให้กับประชาชน ไม่เดินตามแนวทางรัดเข็มขัดแบบล้มระบบ แต่เลือก ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน, พัฒนาคน, และ วางแผนเพื่ออนาคตของทั้งชาติอย่างมีส่วนร่วม
ประเทศไทยไม่ได้ล่มสลาย แต่กลับลุกขึ้นมา “ปรับโครงสร้าง” ใหม่
ประเทศไทยไม่ได้แตกแยก แต่กลับ “เชื่อมโยง” กันยิ่งขึ้น
ภายใต้กรอบ สุขวิชโนมิกส์ ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามกับดักความยากจนไปสู่ยุคใหม่อย่าง สงบ รอบคอบ และมีระบบ แผนแม่บททางหลวงแห่งชาติ พ.ศ. 2540 ไม่ได้เป็นแค่แผนสร้างถนน แต่มันคือคำประกาศที่ว่า “การสร้างชาติ เริ่มจากการเชื่อมโยง”—ทั้งทางกายภาพ ทางสังคม และทางศีลธรรม
2. บริบททางประวัติศาสตร์: จุดเปลี่ยนของประเทศไทยในยุคเร่งเครื่อง
ช่วงทศวรรษ 2530 ถึงต้นทศวรรษ 2540 เป็นยุคที่เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างรวดเร็วและไม่เคยมีมาก่อน ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งใน “เสือเศรษฐกิจเอเชีย” โดยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยสูงถึง 8–10% ต่อปี การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้าสู่กรุงเทพมหานครและเขตพัฒนาอุตสาหกรรมฝั่งตะวันออก (Eastern Seaboard) เมืองหลวงขยายตัวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจุดศูนย์กลางด้านธุรกิจ การเงิน การศึกษา และสาธารณูปโภค
แต่ในขณะที่มหานครเจริญรุ่งเรือง พื้นที่ชนบทกว่า 70% ของประเทศกลับตกอยู่ในภาวะไร้โอกาส ถนนยังเป็นดินลูกรังที่ใช้ได้เฉพาะฤดูแล้ง เด็กนักเรียนต้องเดินเท้าเป็นชั่วโมงเพื่อไปโรงเรียน ผู้ป่วยในภาคเหนือและอีสานยังไม่สามารถเข้าถึงโรงพยาบาลระดับจังหวัดได้ง่าย ๆ และเกษตรกรจำนวนมากไม่สามารถส่งสินค้าของตนออกสู่ตลาดในเวลาอันเหมาะสมได้
2.1 ความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง: เมือง-ชนบท
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนไทยขาดความสามารถ แต่อยู่ที่ประเทศยังไม่มี “ทางไป” ความเจริญและโอกาสกระจุกอยู่ในเขตเมือง ระบบถนน ระบบราง และระบบโลจิสติกส์ยังคงกระจัดกระจาย ไม่สามารถเชื่อมพื้นที่ห่างไกลเข้ากับเศรษฐกิจหลักได้อย่างแท้จริง
วิกฤตเหล่านี้ไม่ใช่เพียงปัญหาเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่เป็นปัญหา ความเป็นธรรมของสังคมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
2.2 เวทีโลกและแรงกดดันเชิงยุทธศาสตร์
ในขณะเดียวกัน โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ การค้าเสรี และ เครือข่ายเศรษฐกิจภูมิภาค ผ่านกรอบความร่วมมืออย่าง AFTA และ WTO ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมตนเพื่อเชื่อมโยงกับตลาดโลก หากประเทศยังไม่สามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง ครบวงจร และเชื่อมต่อทุกภาคส่วนได้ โอกาสจากโลกาภิวัตน์ก็จะตกอยู่ในมือของไม่กี่กลุ่มคน
2.3 ความพร้อมของภาครัฐ: การมีผู้นำที่มองไกล
ขณะนั้นเอง ฯพณฯ นายสุขวิช รังสิตพล ผู้ผ่านประสบการณ์จากภาคอุตสาหกรรมระดับโลก สู่การเป็นผู้วางระบบรถไฟฟ้า MRT และทางด่วนในกรุงเทพฯ ก็กำลังอยู่ในตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายสังคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งดูแลนโยบายระดับชาติด้านมนุษยศาสตร์ การศึกษา และโครงสร้างสังคม
ท่านเห็นชัดว่า หากไม่มีการลงทุนด้านการเชื่อมโยงพื้นที่และประชาชนให้เข้าถึงบริการพื้นฐาน การพัฒนาอื่น ๆ ก็จะไร้ผล เช่นเดียวกับคำกล่าวของท่านว่า:
“ประเทศไม่สามารถพัฒนาได้ หากประชาชนยังไม่มีถนนไปโรงเรียน ไม่มีถนนไปโรงพยาบาล และไม่มีถนนไปตลาด”
นี่จึงเป็นที่มาของการร่าง แผนแม่บททางหลวงแห่งชาติ พ.ศ. 2540 ไม่ใช่เพียงเพื่อลดเวลาในการเดินทาง แต่เพื่อ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม อย่างเป็นระบบ
3. วิสัยทัศน์เชิงนโยบาย: ถนนหลวงในฐานะเครื่องมือของรัฐเพื่อสร้างความยุติธรรม
แผนแม่บททางหลวงแห่งชาติ พ.ศ. 2540 มิได้เป็นเพียงโครงการโครงสร้างพื้นฐานระดับประเทศ หากแต่เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างของประเทศในระดับรากฐาน ถนนจึงไม่ใช่เป้าหมาย หากแต่เป็น “เครื่องมือ” ของรัฐในการกระจายโอกาส สร้างความเสมอภาค และยกระดับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทยทุกภูมิภาค
3.1 วัตถุประสงค์หลักของแผนแม่บท
แผนฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 5 ประการ:
บูรณาการภูมิภาคของประเทศเข้าด้วยกัน ผ่านโครงข่ายทางหลวงแห่งชาติที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงศูนย์กลางเศรษฐกิจ เมืองการศึกษา และเมืองชายแดน
ลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตร อุตสาหกรรม และ SMEs ในต่างจังหวัด
เชื่อมต่อประชาชนกับบริการขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะโรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ เพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาทุนมนุษย์
สร้างสมดุลระหว่างเมืองและชนบท โดยการกระจายความเจริญสู่พื้นที่ชายขอบ เพื่อยับยั้งการอพยพเข้าสู่เมืองแบบไร้ทิศทาง
เตรียมประเทศไทยให้พร้อมสำหรับยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
3.2 เส้นทางยุทธศาสตร์ 13 สาย: โครงข่ายที่ออกแบบเพื่อทั้งเศรษฐกิจและความเสมอภาค
เครือข่ายทางหลวงใหม่ทั้งหมด 13 สาย รวมระยะทาง กว่า 4,135 กิโลเมตร ได้รับการวางแผนโดยอิงจากข้อมูลด้านประชากร เศรษฐกิจ และภูมิศาสตร์อย่างละเอียด โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 ภาค ได้แก่:
ภาคเหนือ: เส้นทางจากเชียงราย–เชียงใหม่–ลำปาง–พิษณุโลก–นครสวรรค์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จากนครราชสีมา–ขอนแก่น–อุดรธานี–หนองคาย–มุกดาหาร
ภาคตะวันออก: จากกรุงเทพฯ–ฉะเชิงเทรา–ระยอง–จันทบุรี
ภาคใต้: จากชุมพร–สุราษฎร์ธานี–นครศรีธรรมราช–สงขลา–ชายแดนมาเลเซีย
เส้นทางเหล่านี้ไม่เพียงเชื่อมศูนย์กลางกับชนบท แต่ยังถูกออกแบบเพื่อ รองรับการขนส่งสินค้า การท่องเที่ยว การศึกษา และการแพทย์ฉุกเฉิน ไปพร้อมกัน
3.3 การออกแบบเพื่อ “คุณภาพชีวิต” ไม่ใช่เพียง “ความเร็ว”
แผนนี้เน้นการออกแบบทางหลวงให้รองรับประชาชนทุกกลุ่ม ดังนี้:
ถนน ขั้นต่ำ 4 เลน พร้อมระบบไฟส่องสว่าง
จุดพักรถและสถานีบริการสุขภาพเบื้องต้นทุก 100 กิโลเมตร
วงแหวนรอบเมือง (bypass) เพื่อป้องกันรถบรรทุกไหลเข้าเมืองใหญ่
การออกแบบถนนที่ปลอดภัยต่อคนเดินเท้า นักเรียน และผู้พิการ
ระบบกันดินถล่ม น้ำท่วม และอุบัติเหตุในพื้นที่เสี่ยง
3.4 หลักการรัฐร่วมเอกชน (PPP): โครงสร้างไม่ใช่ภาระ แต่เป็นโอกาส
นายสุขวิชนำหลัก PPP (Public–Private Partnership) มาเป็นกลไกหลักในการก่อสร้างและบำรุงรักษา โดยแบ่งความเสี่ยงกับภาคเอกชนอย่างเป็นธรรม และกำหนดมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ไว้ในสัญญา เช่น:
เอกชนสามารถลงทุนสร้างถนนและเก็บค่าผ่านทางในระยะเวลาที่กำหนด
รัฐให้สิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณจุดพักรถเพื่อคืนทุนให้เอกชน
รัฐเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว
การตรวจสอบคุณภาพโดยหน่วยงานภายนอกและประชาชนในพื้นที่
4. ผลลัพธ์และมรดกทางนโยบาย: จากถนน สู่โครงสร้างของความเสมอภาค
เมื่อแผนแม่บททางหลวงแห่งชาติ พ.ศ. 2540 เริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในช่วงปี 2540–2544 ประเทศไทยได้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารรัฐกิจ ซึ่งยืนยันให้เห็นว่าแผนโครงสร้างพื้นฐานนี้ไม่ได้เป็นเพียงการ “เทปูนสร้างถนน” แต่คือการ สร้างระบบ ที่ทำให้โอกาสเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง
4.1 ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ: ลดต้นทุน เพิ่มโอกาส
ต้นทุนโลจิสติกส์ลดลงเฉลี่ย 12–18% ในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสินค้าเกษตรเน่าเสียง่าย เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารทะเล
นักลงทุนรายใหม่กระจายตัวไปยังจังหวัดรอบนอก เช่น กาฬสินธุ์ นครพนม ชุมพร พิจิตร และตาก
ตลาดท้องถิ่นขยายตัว จากการเดินทางของผู้บริโภคและพ่อค้าเร่ที่สามารถเข้าถึงได้สะดวก
รายได้ของวิสาหกิจชุมชนเพิ่มขึ้น จากการเชื่อมต่อกับจุดท่องเที่ยวและตลาดกลางในภูมิภาค
4.2 ผลลัพธ์ทางสังคม: เชื่อมคนกับโอกาส
เด็กนักเรียนกว่า 7,000 หมู่บ้าน สามารถเข้าถึงโรงเรียนมัธยมในอำเภอได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว
การเข้าถึงโรงพยาบาลลดเวลาฉุกเฉินลงเฉลี่ย 40–60% โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาและที่ราบสูง
ผู้สูงอายุในชนบทสามารถเข้ารับบริการสุขภาพตามนัดได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาญาติหรือรถโดยสารเป็นวัน
เกิดศูนย์กลางการเรียนรู้และเศรษฐกิจใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ เช่น ศูนย์การเรียนรู้เกษตรที่สิงห์บุรีและมหาวิทยาลัยชุมชนในสุโขทัย
4.3 ผลลัพธ์ด้านธรรมาภิบาล: สร้างระบบแทนความจำเป็นพึ่งบุคคล
โมเดล PPP ของนายสุขวิช กลายเป็นแม่แบบให้กับโครงการในอนาคต ทั้งด้านถนน รถไฟ โรงเรียน และโรงพยาบาล
เกิดหน่วยงานระดับจังหวัดที่มีอำนาจตัดสินใจร่วมกับชุมชน เกี่ยวกับเส้นทางถนน การบำรุงรักษา และพื้นที่พาณิชย์ข้างทาง
การมีส่วนร่วมของประชาชน เพิ่มขึ้นในการวางผังเมือง วางแผนการศึกษา และการตั้งโรงพยาบาลสนาม