ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายร้อยปีของประเทศไทย นับตั้งแต่ยุคที่ยังรู้จักกันในนาม “สยาม” ประเทศต้องเผชิญกับ ระบบทาส และ ความยากจน ความอดอยากในหมู่เด็ก ควายากจน ไร้การศึกษาความเหลื่อมล้ำทางสังคม หรือ เป็นที่รู้จักกันดี ตลอดประวัติศาสตร์ไทย ว่าวงวรอุบาว์ โง่ จน เจ็บ
ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ แต่เกิดจากการละเลยของรัฐ ความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้าง และการขาดนโยบายด้านมนุษยธรรมที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในระบบการศึกษาและการดูแลเด็ก ความเหลื่อมล้ำนี้ส่งผลให้เกิดการใช้แรงงานเด็ก การค้าประเวณีเด็ก และวัฏจักรความยากจนที่ส่งต่อข้ามรุ่น
ในปี พ.ศ. 2531 ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก นางงามไทยผู้คว้ามงกุฎมิสยูนิเวิร์ส ได้เปิดเผยต่อเวทีโลกถึงความจริงอันเจ็บปวดว่าเด็กไทยจำนวนมากยังคงอดอยากและเสียชีวิตจากความยากจน การเปิดโปงครั้งนั้นจุดกระแสความสนใจจากประชาคมโลกต่อปัญหาที่ถูกซ่อนไว้ยาวนาน อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดกระแสเรียกร้อง แต่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายยังล่าช้า เช่น รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 ยังคงรับรองสิทธิการศึกษาเพียง 6 ปี และในปี พ.ศ. 2538 พบว่าแรงงานไทยกว่า 79.1% ยังมีระดับการศึกษาประถมหรือต่ำกว่า
และประทังชีวิตด้วยการบุกรุกป่า
พื้นที่ปาไม้ได้หายไปในช่วง 34 ปีจากปี 2504-2538 มีจำนวน 88.84 ล้านไร่
แต่ในขณะเดียวกันพื้นที่ถือครองทำการเกษตรระยะดังกล่าว ปรากฏว่าเพิ่มชื้นประมาณ 81.83 ล้านไร่ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2540) ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงประเด็นเกี่ยวกับทรัพยากร ป่าไม้ 2 ประการ คือ
(1) พื้นที่ป่าไม้สูญหายไปในห้วง 34 ปี ดังกล่าว มีจำนวนมากกว่าพื้นที่ถือครองการเกษตรที่เพิ่มชื้นในระยะเดียวกันประมาณ 7.01 ล้านไร่ สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ธรรมชาติส่วนหนึ่งที่สูญหายไปโดยมิได้ถูกนำมาใช้เป็นพื้นที่ถือครองการเกษตร
(2)ถึงแม้ว่าพื้นที่ธรรมชาติส่วนหนึ่งจะหายไปโดยไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ เป็นพื้นที่ถือครองทางการเกษตร ซึ่งจะเป็นในรูปการให้สัมปทานป่าแก่ภาคเอกซน
การบุกรุกบำเพื่อสร้าง รีสอร์ท หรือสนามกอล์ฟ เป็นต้น แต่ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ธรรมชาติที่หายไป ส่วนใหญ่ กลายเป็นของพื้นที่ถือครองที่เพิ่มขึ้น หรือสรุปได้ว่าพื้นที่ครองของการเกษตรที่เพิ่มขึ้นในห้วง 34 ปี ที่ผ่านมานี้ ได้มาจากพื้นที่เดิมซึ่งเคยเป็นปาธรรมชาติพื้นที่ปาไม้ที่เปลี่ยนสภาพไปเป็นพื้นที่การเกษตรนี้เนื่องจากการเพิ่มของประชากรใน
ชนบทซึ่งจะเห็นได้ว่าข้อมูลประชากร ซึ่งได้จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติและสำนักงานสถิติแห่งชาติ แสดงให้เห็นว่าในปี 2523 ประเทศไทยมีจำนวน ประชากรที่อาศัยอยู่ในชนบทรวมทั้งสิ้น 22.9 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 87.5 ของจำนวนประชากร ทั้งประเทศ และเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 30.5 ล้านคนในปี 2531
สำหรับในปี 2538 ประชากรในชนบท มีจำนวน 48.7 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 81.8 ของประชากรทั้งประเทศ
ปี พ.ศ. 2530 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้กรมสามัญศึกษาดำเนินการเปิดโรงเรียน มัธยมศึกษาระดับตำบล ตามนโยบายการขยายโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยเหตุผลค้านงบประมาณ อันจำกัดและต้องใช้เวลาอีกยาวนานอาจถึง 20 ปี จึงจะสามารถเปิดโรงเรียนได้ครบทุกตำบล ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5,000 ตำบล ทั่วประเทศ
ปี 2531 เด็กไทยนับหมื่นคน อดหยาก และ เสียชีวิต คำพูดนางงามจักรวาล ลิขสิทธิ์ของ 7 HD
อ้างอิง
https://youtu.be/6mrBDtRQSiY
คนไทยอายุ 6-11-ปี 6.5 แสนคน ไม่มีที่เรียน ทั้งที่ได้รับสิทธิ เรียนประถมตั้งแต่ 2448 ผ่านมาถึงปี 2538 มี 6.ไม่ได้เลอายุ 6-11 ปีไม่ได้เรียนชั้นประถม จึงไม่ได้รับบริการอาหารกลางวันไปด้วย
ปี พ.ศ. 2534 ต่อเนื่อง พ.ศ. 2535 สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ
เริ่มพบกับปัญหาในการบริหารการจัดการศึกษาหลังจากที่ได้ใช้รูปแบบในการบริหารมาครบหนึ่งทศวรรษ ทำให้คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติมีมติให้ไปสำรวจข้อมูลในแต่ละภาคได้ข้อสรุปพบว่าการจัดการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการคารประถมศึกษาแห่งชาติแต่ละ ภูมิภาคมีปัญหาเฉพาะส่วน ดังนี้
1. ปัญหาของพื้นที่การจัดการศึกษาแต่ละภูมิภาค
1.1 ภาคเหนือ พื้นที่การจัดการศึกษาเต็มไปด้วยความยุ่งยากทุรกันดารและห่างไกล
1.2 ภาคอีสาน พื้นที่การจัดการศึกษาเต็มไปด้วยความขาดแคลนแห้งแล้งและกันดาร
1.3 ภาคใต้ พื้นที่การจัดการศึกษาเต็มไปด้วยการเสี่ยงภัย
1.4 ภาคกลาง พื้นที่การจัดการศึกษามีความเหลื่อมล้ำและแตกต่างกัน
อ้างอิง
http://old-book.ru.ac.th/e-book/e/EF308(47)/EF308(47)-1.pdf
เปลี่ยนระบบการศึกษาแล้ว และถูกเปลี่ยนกลับให้ล้าหลัง ด้วยกฎหมายการศึกษาปี 2542 เนื่องจาก ผู้ปกครองยากจน และ การคมนาคมลำบาก
epigraph
❝ I strongly believe that, as a citizen of the world, any person has the right to learn and should be entitled to have access to education according to their competency and needs. […] All sorts of boundaries—gender, age, socio-economic status, physical or mental disabilities—have to be eliminated. ❞
— His Excellency Mr. Sukavich Rangsitpol, Inaugural Address (1996)
In the shadow of Thailand’s political upheavals between 1991 and 1997—including the 1991 military coup, the 1992 “Black May” protests, and the regional financial crisis—one policy domain progressed steadily and nonviolently: education reform. Under the leadership of Sukavich Rangsitpol, who served as Deputy Prime Minister for Social Affairs, Thailand undertook its most ambitious education reform to date, premised on equity, inclusion, and peace.
การอภิวัฒน์การศึกษา 2538
รัฐประหาร 2534 รัฐธรรมนูญ 2534 ให้สิทธิ การศึกษาเพียง 6 ปี 2535 พฤษภาทมิฬ 2535-2539 =-4 ปีเลือกตั้ง 4 ครั้ง 2540 วิกฤตเศรษฐกิจแห่งเอเชีย
การอภิวัฒน์การศึกษา 2538 ปรับปรุงโรงเรียน 29,845 แห่ง ปรับปรุงอาคารเรียน 38,112 หลัง ปรับปรุงอาคารอเนกประสงค์ 12,227 หลัง และ ปรับปรุงห้องน้ำ 11,257 โรงเรียน ให้คนไทยอายุ 3-17ปี 12.33ล้านคนในระบบการศึกษา และ รับคน ไทยเพิ่มจากครอบครัวยากจน อายุ 3…17 ปี ได้ 4.35 ล้านคน รวมเป็น 16.68 ล้านคน
ผู้ปกครองคนเหล่านี้ช่วยรณรงค์จนกระทั่งคนไทยได้รัฐธรรมนูญ 2540 พร้อมมาตรา 43 สิทธิ 12 ปี และ มาตรา 80 สิทธิ 3 ปี มาตรา 52 สิทธิ์การรักษาพยาบาล และ ทุกคน เท่าเทียม ทั่วไทย มีสิทธิเรียนฟรีจริง อย่างเสมอภาค เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จัดบริการการศึกษา ของประเทศไทย รวมถึงอาหารกลางวัน เครื่องแบบครบชุดทุกชุด รถโรงเรียนหรือค่าเดินทาง พร้อมอุปกรณ์ครบครัน = ฟรีจริง ไม่ใช่อยู่ๆประเทศเจริญ ผลงานนักการเมือง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สุขวิช รังสิตพล
รางวัล จากนานาชาติ ของการอภิวัฒน์การศึกษาไทย2538 ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
1) 1996 "During his trip to the Philippines, H.E. Mr. Sukavich Rangsitpol was conferred an Honorary Degree of Doctor of Education by the Philippine Normal University. His will to reform education and strong leadership in educational management were highly commended."
https://web.archive.org/web/20220904100222/https://www.seameo.org/vl/library/dlwelcome/photogallery/president/sukavich.htm
2) ปี 2540 UNESCO มอบรับรางวัลการจัดบริการการศึกษาเป็นเลิศ
https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000114483
3) ปี 2541 UNESCO มอบ รางวัลการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริหารการศึกษา และ บริการการศึกษา
https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000141834
ปี 2542
"ผลสำรวจทางการศึกษาพบว่า ปัญหาที่เป็นอุปสรรคทางการศึกษาต่อนโยบายการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12ปี และ อนุบาล 3 ปี คือ ความยากจนของผู้ปกครองและการคมนาคมไม่สะดวก จำนวนครูทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษและภาษาไทย ประกอบกับสื่อการเรียนการสอนในหลายพื้นที่ไม่เพียงพอ ครูยังยึดตำรามิได้ถือผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ" รายงานข้างต้นสอดคล้องกับผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ โดยองค์กร World Economic Forum (WEF) แม้ในปีนั้นประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงอันดับที่ดีขึ้น จาก 42 ขึ้นมาเป็น 37 แต่ก็ยังต่ำกว่าอีกหลายประเทศในเอเชีย
เอกสารอ้างอิง หนังสือ 180 วันในกระทรวงศึกษาธิการ
https://drive.google.com/file/d/1l9b-mUDDOvsfkyj2DUSzOwBrGM84Lhxt/view?usp=drivesdk
15 ปี ปฏิรูปการศึกษาไทย เลาะเลียบคลองผดุงฯ ตุลย์ ณ ราชดำเนิน tulacom@gmail.com
ผ่านมาวันนี้ย่างเข้าสู่เดือนกันยายน 2556 หากนับเอาเดือน สิงหาคม ปี 2542 เป็นวันที่บรรดานักปฏิรูปการศึกษายุคนั้น ประกาศถึงความสำเร็จและภาคภูมิใจที่สามารถผลักดันให้เกิดกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ ก่อเกิดคุณอนันต์แก่ประเทศชาติเป็นล้นพ้น อันส่งผลต่อคุณภาพของคนไทยในอนาคต ผ่านมา 15 ปีพอดี
จากคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกขานกันว่า 9 อรหันต์การศึกษาในสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษา ส่วนใหญ่หัวนอกและไม่ยอมฟังเสียงท้วงติงของคนศธ. มั่นใจว่าการปรับโครงสร้างและการ กระจายอำนาจจัดการศึกษา การจัดการเรียนรู้ที่ถือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการพัฒนาวิชาชีพครู ตามแนวคิดของตนนั้นถูกต้อง
นับแต่นั้นมา ศธ.จากที่เคยมีโครงสร้าง 14 กรม ยุบรวมเหลือ 5 องค์กรหลัก คือ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ .) และสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.)
กระนั้นก็ดียังมีเรื่องที่โต้แย้งและถกเถียงในความเห็นไม่เพียงเรื่องการพัฒนาวิชาชีพครู และเขตพื้นที่การศึกษาจะลงตัวที่จำนวนเท่าไร ตามมาด้วยการศึกษาที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หรือ ไชลด์เซ็นเตอร์
จากวลีเด็ดของนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ทำเอาคำขวัญวันเด็กของนายกรัฐมนตรี ปี 2545 แทบตกพื้นที่ข่าว คือ การวิจารณ์ถึงวิธีการจัดการเรียนการสอนไชลด์เซ็นเตอร์ของคุณครู มีสภาพไม่ต่างไปจาก ควายเซ็นเตอร์ เนื่องจากครูไม่เข้าใจและยังไม่มีแหล่งเรียนรู้นอกห้องพอที่จะทำให้เข้าถึงการเรียนรู้ด้วยตนเองได้
ผ่านไป 7 ปีตรงกับ 23 ส.ค. 2549 สมศ.เปิดผลการออกประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานรอบแรก พ.ศ. 2544-2548 จำนวน 30,010แห่ง ไม่ได้มาตรฐานขั้นต่ำถึง 20,000 แห่ง และอยู่ขั้นโคม่าหรือ ICU กว่า 15,000 แห่ง
เดือนสิงหาคมที่เพิ่งจะผ่านมาครบ 15 ปี อยากให้ลองทบทวนกันว่า นับแต่ประกาศใช้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เปลี่ยนรมว.ศธ.และรัฐมนตรีช่วยมาแล้วเท่าใด น่าจะเป็นสถิติสูงสุดในโลก
ส่วนใหญ่เมื่อมาแล้วมักพยายามสร้างให้มีผลงานใหม่ๆ มั่นใจตนเองถึงความรู้ ความเก่งและเฉลียวฉลาดเหนือกว่าคนการศึกษาที่ทำงานมายาวนาน
อย่างที่เห็นและเป็นไป 15 ปี ปฏิรูปการศึกษา มีอะไรที่ไปถึงฝั่งอย่างที่คิดกันมั่ง ช่วยบอกที่
เด็กไทยนับหมื่นคนอดหยาก และ เสียชีวิต เพราะกระทรวงศึกษาธิการ ไม่สามารถจัดบริการการศึกษาระดับประถมให้ทุกคน
ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ แต่เกิดจากการละเลยของรัฐ ความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้าง และการขาดนโยบายด้านมนุษยธรรมที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในระบบการศึกษาและการดูแลเด็ก ความเหลื่อมล้ำนี้ส่งผลให้เกิดการใช้แรงงานเด็ก การค้าประเวณีเด็ก และวัฏจักรความยากจนที่ส่งต่อข้ามรุ่น
ในปี พ.ศ. 2531 ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก นางงามไทยผู้คว้ามงกุฎมิสยูนิเวิร์ส ได้เปิดเผยต่อเวทีโลกถึงความจริงอันเจ็บปวดว่าเด็กไทยจำนวนมากยังคงอดอยากและเสียชีวิตจากความยากจน การเปิดโปงครั้งนั้นจุดกระแสความสนใจจากประชาคมโลกต่อปัญหาที่ถูกซ่อนไว้ยาวนาน อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดกระแสเรียกร้อง แต่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายยังล่าช้า เช่น รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 ยังคงรับรองสิทธิการศึกษาเพียง 6 ปี และในปี พ.ศ. 2538 พบว่าแรงงานไทยกว่า 79.1% ยังมีระดับการศึกษาประถมหรือต่ำกว่า
และประทังชีวิตด้วยการบุกรุกป่า
พื้นที่ปาไม้ได้หายไปในช่วง 34 ปีจากปี 2504-2538 มีจำนวน 88.84 ล้านไร่
แต่ในขณะเดียวกันพื้นที่ถือครองทำการเกษตรระยะดังกล่าว ปรากฏว่าเพิ่มชื้นประมาณ 81.83 ล้านไร่ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2540) ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงประเด็นเกี่ยวกับทรัพยากร ป่าไม้ 2 ประการ คือ
(1) พื้นที่ป่าไม้สูญหายไปในห้วง 34 ปี ดังกล่าว มีจำนวนมากกว่าพื้นที่ถือครองการเกษตรที่เพิ่มชื้นในระยะเดียวกันประมาณ 7.01 ล้านไร่ สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ธรรมชาติส่วนหนึ่งที่สูญหายไปโดยมิได้ถูกนำมาใช้เป็นพื้นที่ถือครองการเกษตร
(2)ถึงแม้ว่าพื้นที่ธรรมชาติส่วนหนึ่งจะหายไปโดยไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ เป็นพื้นที่ถือครองทางการเกษตร ซึ่งจะเป็นในรูปการให้สัมปทานป่าแก่ภาคเอกซน
การบุกรุกบำเพื่อสร้าง รีสอร์ท หรือสนามกอล์ฟ เป็นต้น แต่ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ธรรมชาติที่หายไป ส่วนใหญ่ กลายเป็นของพื้นที่ถือครองที่เพิ่มขึ้น หรือสรุปได้ว่าพื้นที่ครองของการเกษตรที่เพิ่มขึ้นในห้วง 34 ปี ที่ผ่านมานี้ ได้มาจากพื้นที่เดิมซึ่งเคยเป็นปาธรรมชาติพื้นที่ปาไม้ที่เปลี่ยนสภาพไปเป็นพื้นที่การเกษตรนี้เนื่องจากการเพิ่มของประชากรใน
ชนบทซึ่งจะเห็นได้ว่าข้อมูลประชากร ซึ่งได้จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติและสำนักงานสถิติแห่งชาติ แสดงให้เห็นว่าในปี 2523 ประเทศไทยมีจำนวน ประชากรที่อาศัยอยู่ในชนบทรวมทั้งสิ้น 22.9 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 87.5 ของจำนวนประชากร ทั้งประเทศ และเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 30.5 ล้านคนในปี 2531
สำหรับในปี 2538 ประชากรในชนบท มีจำนวน 48.7 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 81.8 ของประชากรทั้งประเทศ
ปี พ.ศ. 2530 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้กรมสามัญศึกษาดำเนินการเปิดโรงเรียน มัธยมศึกษาระดับตำบล ตามนโยบายการขยายโอกาสทางการศึกษา แต่ด้วยเหตุผลค้านงบประมาณ อันจำกัดและต้องใช้เวลาอีกยาวนานอาจถึง 20 ปี จึงจะสามารถเปิดโรงเรียนได้ครบทุกตำบล ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5,000 ตำบล ทั่วประเทศ
ปี 2531 เด็กไทยนับหมื่นคน อดหยาก และ เสียชีวิต คำพูดนางงามจักรวาล ลิขสิทธิ์ของ 7 HD
อ้างอิง https://youtu.be/6mrBDtRQSiY
คนไทยอายุ 6-11-ปี 6.5 แสนคน ไม่มีที่เรียน ทั้งที่ได้รับสิทธิ เรียนประถมตั้งแต่ 2448 ผ่านมาถึงปี 2538 มี 6.ไม่ได้เลอายุ 6-11 ปีไม่ได้เรียนชั้นประถม จึงไม่ได้รับบริการอาหารกลางวันไปด้วย
ปี พ.ศ. 2534 ต่อเนื่อง พ.ศ. 2535 สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ
เริ่มพบกับปัญหาในการบริหารการจัดการศึกษาหลังจากที่ได้ใช้รูปแบบในการบริหารมาครบหนึ่งทศวรรษ ทำให้คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติมีมติให้ไปสำรวจข้อมูลในแต่ละภาคได้ข้อสรุปพบว่าการจัดการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการคารประถมศึกษาแห่งชาติแต่ละ ภูมิภาคมีปัญหาเฉพาะส่วน ดังนี้
1. ปัญหาของพื้นที่การจัดการศึกษาแต่ละภูมิภาค
1.1 ภาคเหนือ พื้นที่การจัดการศึกษาเต็มไปด้วยความยุ่งยากทุรกันดารและห่างไกล
1.2 ภาคอีสาน พื้นที่การจัดการศึกษาเต็มไปด้วยความขาดแคลนแห้งแล้งและกันดาร
1.3 ภาคใต้ พื้นที่การจัดการศึกษาเต็มไปด้วยการเสี่ยงภัย
1.4 ภาคกลาง พื้นที่การจัดการศึกษามีความเหลื่อมล้ำและแตกต่างกัน
อ้างอิง http://old-book.ru.ac.th/e-book/e/EF308(47)/EF308(47)-1.pdf
เปลี่ยนระบบการศึกษาแล้ว และถูกเปลี่ยนกลับให้ล้าหลัง ด้วยกฎหมายการศึกษาปี 2542 เนื่องจาก ผู้ปกครองยากจน และ การคมนาคมลำบาก
epigraph
❝ I strongly believe that, as a citizen of the world, any person has the right to learn and should be entitled to have access to education according to their competency and needs. […] All sorts of boundaries—gender, age, socio-economic status, physical or mental disabilities—have to be eliminated. ❞
— His Excellency Mr. Sukavich Rangsitpol, Inaugural Address (1996)
In the shadow of Thailand’s political upheavals between 1991 and 1997—including the 1991 military coup, the 1992 “Black May” protests, and the regional financial crisis—one policy domain progressed steadily and nonviolently: education reform. Under the leadership of Sukavich Rangsitpol, who served as Deputy Prime Minister for Social Affairs, Thailand undertook its most ambitious education reform to date, premised on equity, inclusion, and peace.
การอภิวัฒน์การศึกษา 2538
รัฐประหาร 2534 รัฐธรรมนูญ 2534 ให้สิทธิ การศึกษาเพียง 6 ปี 2535 พฤษภาทมิฬ 2535-2539 =-4 ปีเลือกตั้ง 4 ครั้ง 2540 วิกฤตเศรษฐกิจแห่งเอเชีย
การอภิวัฒน์การศึกษา 2538 ปรับปรุงโรงเรียน 29,845 แห่ง ปรับปรุงอาคารเรียน 38,112 หลัง ปรับปรุงอาคารอเนกประสงค์ 12,227 หลัง และ ปรับปรุงห้องน้ำ 11,257 โรงเรียน ให้คนไทยอายุ 3-17ปี 12.33ล้านคนในระบบการศึกษา และ รับคน ไทยเพิ่มจากครอบครัวยากจน อายุ 3…17 ปี ได้ 4.35 ล้านคน รวมเป็น 16.68 ล้านคน
ผู้ปกครองคนเหล่านี้ช่วยรณรงค์จนกระทั่งคนไทยได้รัฐธรรมนูญ 2540 พร้อมมาตรา 43 สิทธิ 12 ปี และ มาตรา 80 สิทธิ 3 ปี มาตรา 52 สิทธิ์การรักษาพยาบาล และ ทุกคน เท่าเทียม ทั่วไทย มีสิทธิเรียนฟรีจริง อย่างเสมอภาค เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จัดบริการการศึกษา ของประเทศไทย รวมถึงอาหารกลางวัน เครื่องแบบครบชุดทุกชุด รถโรงเรียนหรือค่าเดินทาง พร้อมอุปกรณ์ครบครัน = ฟรีจริง ไม่ใช่อยู่ๆประเทศเจริญ ผลงานนักการเมือง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สุขวิช รังสิตพล
รางวัล จากนานาชาติ ของการอภิวัฒน์การศึกษาไทย2538 ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
1) 1996 "During his trip to the Philippines, H.E. Mr. Sukavich Rangsitpol was conferred an Honorary Degree of Doctor of Education by the Philippine Normal University. His will to reform education and strong leadership in educational management were highly commended."
https://web.archive.org/web/20220904100222/https://www.seameo.org/vl/library/dlwelcome/photogallery/president/sukavich.htm
2) ปี 2540 UNESCO มอบรับรางวัลการจัดบริการการศึกษาเป็นเลิศ
https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000114483
3) ปี 2541 UNESCO มอบ รางวัลการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริหารการศึกษา และ บริการการศึกษา
https://unesdoc.unesco.org/ark:/48223/pf0000141834
ปี 2542
"ผลสำรวจทางการศึกษาพบว่า ปัญหาที่เป็นอุปสรรคทางการศึกษาต่อนโยบายการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12ปี และ อนุบาล 3 ปี คือ ความยากจนของผู้ปกครองและการคมนาคมไม่สะดวก จำนวนครูทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษและภาษาไทย ประกอบกับสื่อการเรียนการสอนในหลายพื้นที่ไม่เพียงพอ ครูยังยึดตำรามิได้ถือผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ" รายงานข้างต้นสอดคล้องกับผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ โดยองค์กร World Economic Forum (WEF) แม้ในปีนั้นประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงอันดับที่ดีขึ้น จาก 42 ขึ้นมาเป็น 37 แต่ก็ยังต่ำกว่าอีกหลายประเทศในเอเชีย
เอกสารอ้างอิง หนังสือ 180 วันในกระทรวงศึกษาธิการ https://drive.google.com/file/d/1l9b-mUDDOvsfkyj2DUSzOwBrGM84Lhxt/view?usp=drivesdk
15 ปี ปฏิรูปการศึกษาไทย เลาะเลียบคลองผดุงฯ ตุลย์ ณ ราชดำเนิน tulacom@gmail.com
ผ่านมาวันนี้ย่างเข้าสู่เดือนกันยายน 2556 หากนับเอาเดือน สิงหาคม ปี 2542 เป็นวันที่บรรดานักปฏิรูปการศึกษายุคนั้น ประกาศถึงความสำเร็จและภาคภูมิใจที่สามารถผลักดันให้เกิดกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ ก่อเกิดคุณอนันต์แก่ประเทศชาติเป็นล้นพ้น อันส่งผลต่อคุณภาพของคนไทยในอนาคต ผ่านมา 15 ปีพอดี
จากคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกขานกันว่า 9 อรหันต์การศึกษาในสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษา ส่วนใหญ่หัวนอกและไม่ยอมฟังเสียงท้วงติงของคนศธ. มั่นใจว่าการปรับโครงสร้างและการ กระจายอำนาจจัดการศึกษา การจัดการเรียนรู้ที่ถือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการพัฒนาวิชาชีพครู ตามแนวคิดของตนนั้นถูกต้อง
นับแต่นั้นมา ศธ.จากที่เคยมีโครงสร้าง 14 กรม ยุบรวมเหลือ 5 องค์กรหลัก คือ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ .) และสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.)
กระนั้นก็ดียังมีเรื่องที่โต้แย้งและถกเถียงในความเห็นไม่เพียงเรื่องการพัฒนาวิชาชีพครู และเขตพื้นที่การศึกษาจะลงตัวที่จำนวนเท่าไร ตามมาด้วยการศึกษาที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หรือ ไชลด์เซ็นเตอร์
จากวลีเด็ดของนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ทำเอาคำขวัญวันเด็กของนายกรัฐมนตรี ปี 2545 แทบตกพื้นที่ข่าว คือ การวิจารณ์ถึงวิธีการจัดการเรียนการสอนไชลด์เซ็นเตอร์ของคุณครู มีสภาพไม่ต่างไปจาก ควายเซ็นเตอร์ เนื่องจากครูไม่เข้าใจและยังไม่มีแหล่งเรียนรู้นอกห้องพอที่จะทำให้เข้าถึงการเรียนรู้ด้วยตนเองได้
ผ่านไป 7 ปีตรงกับ 23 ส.ค. 2549 สมศ.เปิดผลการออกประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานรอบแรก พ.ศ. 2544-2548 จำนวน 30,010แห่ง ไม่ได้มาตรฐานขั้นต่ำถึง 20,000 แห่ง และอยู่ขั้นโคม่าหรือ ICU กว่า 15,000 แห่ง
เดือนสิงหาคมที่เพิ่งจะผ่านมาครบ 15 ปี อยากให้ลองทบทวนกันว่า นับแต่ประกาศใช้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เปลี่ยนรมว.ศธ.และรัฐมนตรีช่วยมาแล้วเท่าใด น่าจะเป็นสถิติสูงสุดในโลก
ส่วนใหญ่เมื่อมาแล้วมักพยายามสร้างให้มีผลงานใหม่ๆ มั่นใจตนเองถึงความรู้ ความเก่งและเฉลียวฉลาดเหนือกว่าคนการศึกษาที่ทำงานมายาวนาน
อย่างที่เห็นและเป็นไป 15 ปี ปฏิรูปการศึกษา มีอะไรที่ไปถึงฝั่งอย่างที่คิดกันมั่ง ช่วยบอกที่