แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่ และรถไฟฟ้าใต้ดินเชียงใหม่ พ.ศ. 2536
Sukavichinomics: The 1993 Chiang Mai Urban Underground and the Strategic Master Plan for Mass Transit in Eight Regional Cities
1. บทนำ: ปัญหาเชิงโครงสร้างก่อนปี 2538
ก่อนการอภิวัฒน์การศึกษา พ.ศ. 2538 ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาด้านแรงงานและการศึกษาอย่างรุนแรง รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 ยังคงให้สิทธิด้านการศึกษาเพียงในระดับประถมเทียบเท่าพระราชบัญญัติการประถมศึกษา พ.ศ. 2448 ทำให้แรงงานไทยกว่า 79.1% มีการศึกษาเพียงระดับประถมหรือต่ำกว่า คนในชนบทจึงต้องอพยพเข้าสู่เมืองใหญ่เพื่อโอกาสในการทำงานและอนาคตของลูกหลาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างครอบครัว ชุมชน และการพัฒนาแบบยั่งยืนของภูมิภาค
2. เศรษฐศาสตร์เพื่อประชาชน
คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ในฐานะผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยคนที่ 5 ในปี พ.ศ. 2536 ได้ริเริ่มแนวคิด เSukavichinomics เป็นแนวทางเศรษฐศาสตร์เพื่อประชาชน (People-centered Economics) โดยใช้การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบรางและขนส่งมวลชน เป็นเครื่องมือในการสร้างความเท่าเทียมทางโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และเชื่อมโยงเศรษฐกิจของภูมิภาคให้เติบโตควบคู่กับกรุงเทพมหานคร
3. แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่
ภายใต้แนวคิดสุขวิชโนมิกส์ มีการจัดทำ แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนใน 8 เมืองใหญ่ ได้แก่:
เชียงใหม่
พิษณุโลก
ขอนแก่น
นครราชสีมา
สงขลา (หาดใหญ่)
ภูเก็ต
ชลบุรี
ฉะเชิงเทรา
โครงการนี้มีจุดประสงค์หลักคือ การกระจายความเจริญออกจากกรุงเทพมหานคร โดยเน้นการลงทุนในระบบรางภาคภูมิภาค เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ลดการอพยพแรงงาน และรองรับการเติบโตในระยะยาว
4. เชียงใหม่: เมืองนำร่องแห่งอนาคต
จังหวัดเชียงใหม่ได้รับการจัดให้เป็น เมืองนำร่อง (Pilot City) ของแผน โดยในปี พ.ศ. 2536
เชียงใหม่ในยุคนั้นมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างครบถ้วน แต่ขาดระบบขนส่งที่เอื้อต่อการเข้าถึง ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวยังไม่กระจายสู่ชุมชนรอบนอก
5. การทางพิเศษฯ กับบทบาทระบบราง: MRT และ PPP
ในปีเดียวกัน การทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานแม่ของ องค์การรถไฟฟ้ามหานคร (MRTA) ก่อนจะเปลี่ยนสังกัดในภายหลัง ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินกรุงเทพฯ (MRT) ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2537 ซึ่งใช้มาตรฐานเดียวกันกับโครงการเชียงใหม่ โดยมีระยะทางรวม 341 กิโลเมตร และแบ่งเป็นระบบหลัก 135 กิโลเมตร กับระบบรอง 206 กิโลเมตร
การพัฒนาระบบรางในช่วงนั้นใช้โมเดล Public–Private–Partnership (PPP) เช่น:
ปี 2537 PPP ร่วมกับออสเตรเลีย: สะพานมิตรภาพไทย-ลาว
ปี 2537 PPP ร่วมกับญี่ปุ่น: MRT รถไฟฟ้าใต้ดิน
ปี 2539 PPP ร่วมกับญี่ปุ่น: ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
6. ความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่: จากเชียงใหม่ถึงเซินเจิ้น
ในขณะที่คุณพ่อสุขวิช รังสิตพลแถลงข่าวแผนระบบรางเชียงใหม่ในปี 2536 เมืองเซินเจิ้นของจีนยังคงเป็นหมู่บ้านชาวประมง แต่จีนได้เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจัง ขณะที่ไทยหยุดอยู่กับที่เพราะเปลี่ยนนโยบายสู่ประชานิยมในปี 2544
ผลคือ เซินเจิ้นกลายเป็นมหานครเศรษฐกิจอันดับ 3 ของจีน ส่วนเชียงใหม่ยังคงไม่มีระบบราง ขาดความสามารถในการแข่งขันในด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเมือง
7. Sukavichinomics กับแนวคิด “อยู่ที่บ้าน ก็มีงาน มีอนาคต”
หัวใจสำคัญของสุขวิชโนมิกส์ คือ การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้คนสามารถมีชีวิตที่ดีได้ในถิ่นฐานของตนเอง ไม่จำเป็นต้องอพยพเข้าเมืองหลวงเพื่อหางานหรือโอกาสชีวิต แนวคิดนี้จึงเน้นว่า:
การเดินทางที่ดี = โอกาสทางการศึกษา
ระบบรางที่ทั่วถึง = โอกาสทางเศรษฐกิจ
ขนส่งมวลชนคุณภาพ = คุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน
8. เหตุใดโครงการจึงไม่เกิด?
โครงการสุขวิชโนมิกส์หลายโครงการ “ยังไม่เริ่ม” หรือถูก “พับเก็บ” เช่น:
แผนแม่บทระบบขนส่ง 8 เมืองใหญ่
โครงการขุดคลอง 200,000 กม. (2536)
Bangkok Ocean Terminal (2537)
Bangkok Sports Complex (2537)
Thailand National Olympic Complex (ชะอำ, 2539)
สาเหตุหลักเกิดจากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลในปี 2544 ที่เน้น “ประชานิยมระยะสั้น” แทน “การลงทุนระยะยาว” ซึ่งส่งผลให้โครงการเชิงยุทธศาสตร์ถูกชะลอหรือล้มเลิก
9. บทสรุปเชิงนโยบาย
Sukavichinomics คือแนวคิดเชิงนโยบายที่ มองประชาชนเป็นศูนย์กลาง และใช้ “ระบบราง” เป็นเครื่องมือในการสร้าง ความเท่าเทียมทางโอกาสระหว่างเมืองหลวงและภูมิภาค หากประเทศไทยสานต่อแนวคิดนี้ตั้งแต่ปี 2536 อาจได้เห็นโฉมหน้าประเทศที่แตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
ข้อเสนอเชิงนโยบาย:
รื้อฟื้นแผนระบบราง 8 เมืองใหญ่
ส่งเสริม PPP เพื่อให้โครงการเกิดขึ้นจริง
สร้างระบบขนส่งที่รองรับการพัฒนาเมืองและคุณภาพชีวิต
ใช้โครงสร้างพื้นฐานเป็นเครื่องมือสร้างศักดิ์ศรีให้คนท้องถิ่น
แผนแม่บทระบบรถไฟฟ้าใต้ดินเชียงใหม่ พ.ศ. 2536
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะSukavichinomics: The 1993 Chiang Mai Urban Underground and the Strategic Master Plan for Mass Transit in Eight Regional Cities
1. บทนำ: ปัญหาเชิงโครงสร้างก่อนปี 2538
ก่อนการอภิวัฒน์การศึกษา พ.ศ. 2538 ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาด้านแรงงานและการศึกษาอย่างรุนแรง รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 ยังคงให้สิทธิด้านการศึกษาเพียงในระดับประถมเทียบเท่าพระราชบัญญัติการประถมศึกษา พ.ศ. 2448 ทำให้แรงงานไทยกว่า 79.1% มีการศึกษาเพียงระดับประถมหรือต่ำกว่า คนในชนบทจึงต้องอพยพเข้าสู่เมืองใหญ่เพื่อโอกาสในการทำงานและอนาคตของลูกหลาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างครอบครัว ชุมชน และการพัฒนาแบบยั่งยืนของภูมิภาค
2. เศรษฐศาสตร์เพื่อประชาชน
คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล ในฐานะผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยคนที่ 5 ในปี พ.ศ. 2536 ได้ริเริ่มแนวคิด เSukavichinomics เป็นแนวทางเศรษฐศาสตร์เพื่อประชาชน (People-centered Economics) โดยใช้การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบรางและขนส่งมวลชน เป็นเครื่องมือในการสร้างความเท่าเทียมทางโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และเชื่อมโยงเศรษฐกิจของภูมิภาคให้เติบโตควบคู่กับกรุงเทพมหานคร
3. แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชน 8 เมืองใหญ่
ภายใต้แนวคิดสุขวิชโนมิกส์ มีการจัดทำ แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนใน 8 เมืองใหญ่ ได้แก่:
เชียงใหม่
พิษณุโลก
ขอนแก่น
นครราชสีมา
สงขลา (หาดใหญ่)
ภูเก็ต
ชลบุรี
ฉะเชิงเทรา
โครงการนี้มีจุดประสงค์หลักคือ การกระจายความเจริญออกจากกรุงเทพมหานคร โดยเน้นการลงทุนในระบบรางภาคภูมิภาค เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ลดการอพยพแรงงาน และรองรับการเติบโตในระยะยาว
4. เชียงใหม่: เมืองนำร่องแห่งอนาคต
จังหวัดเชียงใหม่ได้รับการจัดให้เป็น เมืองนำร่อง (Pilot City) ของแผน โดยในปี พ.ศ. 2536
เชียงใหม่ในยุคนั้นมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างครบถ้วน แต่ขาดระบบขนส่งที่เอื้อต่อการเข้าถึง ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวยังไม่กระจายสู่ชุมชนรอบนอก
5. การทางพิเศษฯ กับบทบาทระบบราง: MRT และ PPP
ในปีเดียวกัน การทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานแม่ของ องค์การรถไฟฟ้ามหานคร (MRTA) ก่อนจะเปลี่ยนสังกัดในภายหลัง ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินกรุงเทพฯ (MRT) ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2537 ซึ่งใช้มาตรฐานเดียวกันกับโครงการเชียงใหม่ โดยมีระยะทางรวม 341 กิโลเมตร และแบ่งเป็นระบบหลัก 135 กิโลเมตร กับระบบรอง 206 กิโลเมตร
การพัฒนาระบบรางในช่วงนั้นใช้โมเดล Public–Private–Partnership (PPP) เช่น:
ปี 2537 PPP ร่วมกับออสเตรเลีย: สะพานมิตรภาพไทย-ลาว
ปี 2537 PPP ร่วมกับญี่ปุ่น: MRT รถไฟฟ้าใต้ดิน
ปี 2539 PPP ร่วมกับญี่ปุ่น: ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
6. ความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่: จากเชียงใหม่ถึงเซินเจิ้น
ในขณะที่คุณพ่อสุขวิช รังสิตพลแถลงข่าวแผนระบบรางเชียงใหม่ในปี 2536 เมืองเซินเจิ้นของจีนยังคงเป็นหมู่บ้านชาวประมง แต่จีนได้เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจัง ขณะที่ไทยหยุดอยู่กับที่เพราะเปลี่ยนนโยบายสู่ประชานิยมในปี 2544
ผลคือ เซินเจิ้นกลายเป็นมหานครเศรษฐกิจอันดับ 3 ของจีน ส่วนเชียงใหม่ยังคงไม่มีระบบราง ขาดความสามารถในการแข่งขันในด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเมือง
7. Sukavichinomics กับแนวคิด “อยู่ที่บ้าน ก็มีงาน มีอนาคต”
หัวใจสำคัญของสุขวิชโนมิกส์ คือ การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้คนสามารถมีชีวิตที่ดีได้ในถิ่นฐานของตนเอง ไม่จำเป็นต้องอพยพเข้าเมืองหลวงเพื่อหางานหรือโอกาสชีวิต แนวคิดนี้จึงเน้นว่า:
การเดินทางที่ดี = โอกาสทางการศึกษา
ระบบรางที่ทั่วถึง = โอกาสทางเศรษฐกิจ
ขนส่งมวลชนคุณภาพ = คุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน
8. เหตุใดโครงการจึงไม่เกิด?
โครงการสุขวิชโนมิกส์หลายโครงการ “ยังไม่เริ่ม” หรือถูก “พับเก็บ” เช่น:
แผนแม่บทระบบขนส่ง 8 เมืองใหญ่
โครงการขุดคลอง 200,000 กม. (2536)
Bangkok Ocean Terminal (2537)
Bangkok Sports Complex (2537)
Thailand National Olympic Complex (ชะอำ, 2539)
สาเหตุหลักเกิดจากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลในปี 2544 ที่เน้น “ประชานิยมระยะสั้น” แทน “การลงทุนระยะยาว” ซึ่งส่งผลให้โครงการเชิงยุทธศาสตร์ถูกชะลอหรือล้มเลิก
9. บทสรุปเชิงนโยบาย
Sukavichinomics คือแนวคิดเชิงนโยบายที่ มองประชาชนเป็นศูนย์กลาง และใช้ “ระบบราง” เป็นเครื่องมือในการสร้าง ความเท่าเทียมทางโอกาสระหว่างเมืองหลวงและภูมิภาค หากประเทศไทยสานต่อแนวคิดนี้ตั้งแต่ปี 2536 อาจได้เห็นโฉมหน้าประเทศที่แตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
ข้อเสนอเชิงนโยบาย:
รื้อฟื้นแผนระบบราง 8 เมืองใหญ่
ส่งเสริม PPP เพื่อให้โครงการเกิดขึ้นจริง
สร้างระบบขนส่งที่รองรับการพัฒนาเมืองและคุณภาพชีวิต
ใช้โครงสร้างพื้นฐานเป็นเครื่องมือสร้างศักดิ์ศรีให้คนท้องถิ่น