สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics): คลอง 200,000 กิโลเมตร ปี 2536– ทางเลือกโครงสร้างแทนนโยบายแจกเงินสด 10,000 บาท

กระทู้สนทนา
สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics): คลอง 200,000 กิโลเมตร ปี 2536– ทางเลือกโครงสร้างแทนนโยบายแจกเงินสด 10,000 บาท


บทคัดย่อ

บทความนี้เสนอ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์ “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) : โมเดลคลอง 200,000 กิโลเมตรเสนอโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล  รองนายกรัฐมนตรี  ปี 2537 ใน รัฐบาลพรรคประชาธปัตย์ (รัฐบาลนายกรัฐมนตรี ชวน 1)  

ในฐานะ อดีต ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่ง มีพันธกิจ ทางน้ำพิเศษ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536  เปรียบเทียบกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทที่รัฐบาลไทยใช้ในปัจจุบัน

จุดมุ่งหมายคือเพื่อเสนอว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างเป็นระบบนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนและกระจายตัวทางเศรษฐกิจได้มากกว่าการแจกเงินที่ใช้ได้เพียงชั่วคราว


1. บทนำ: เศรษฐกิจไทย


ประเทศไทยเผชิญปัญหาเศรษฐกิจซบเซา ความเหลื่อมล้ำที่ลึก และภัยธรรมชาติซ้ำซาก เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง รัฐบาลหลายชุดพยายามใช้มาตรการแจกเงินเป็นเครื่องมือเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น  รวมถึงรัฐบาลปัจจุบัน ด้วยการโอนเงินสดผ่านแอปพลิเคชันในวงเงิน 10,000 บาทต่อคน แม้มาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจในระดับล่างได้อย่างยั่งยืน


2. แนวคิดสุขวิชโนมิกส์: โครงสร้างถาวร สร้างเศรษฐกิจฐานราก


แนวคิดคลอง 200,000 กิโลเมตรเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2536 โดย ได้เสนอให้ประเทศไทยลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำ เพื่อสร้างระบบชลประทาน ระบบระบายน้ำ และเส้นทางขนส่งทางน้ำในประเทศที่เชื่อมโยงกันทั้งประเทศ แนวคิดนี้ไม่ใช่เพียงการขุดคลองเพื่อเกษตรเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการสร้าง “ระบบเศรษฐกิจในชนบท” ผ่านการจ้างงานท้องถิ่น การเพิ่มมูลค่าที่ดิน และการลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร


ในแง่ของโครงสร้างการจ้างงาน โครงการคลองสุขวิชสามารถกระจายแรงงานออกไปสู่ทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ สร้างรายได้โดยตรงให้กับแรงงานระดับล่าง และลดการย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองในระยะยาว ในขณะที่ยังเป็นการลงทุนที่สร้างทรัพย์สินถาวรให้แก่ประเทศชาติ ไม่ใช่การบริโภคซึ่งหมดไปทันที


3. วิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติ: การแจกเงินสด 10000 บาท กับการลงทุนในคลอง

หากเปรียบเทียบในเชิงเศรษฐมิติ การแจกเงิน 10,000 บาทให้กับประชาชนจำนวน 50 ล้านคน ต้องใช้งบประมาณมากกว่า 500,000 ล้านบาท และเมื่อนำไปคำนวณด้วยอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยในระดับการบริโภคทั่วไป จะได้ผลตอบแทนเพียง 1.2 ถึง 1.4 เท่าของเงินต้นในระยะเวลา 2 ถึง 3 ปี

ในขณะที่หากนำงบประมาณจำนวนเดียวกันไปลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เช่นคลองสุขวิชโนมิส์ ด้วยอัตราผลตอบแทน ซึ่งประเมินจากผลผลิตทางเกษตร การขนส่งที่ถูกลง การฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก และการจ้างงานในระดับรากหญ้า จะได้ผลตอบแทนสูงกว่า 2.5 ถึง 3 เท่าของงบลงทุนภายในเวลา 6 ถึง 10 ปี


การแจกเงินแม้จะมีข้อดีในแง่ความเร็วในการกระจายสภาพคล่อง แต่กลับไม่มีการสร้างทุนถาวรใด ๆ ไว้ในระบบเศรษฐกิจ และไม่มีผลต่อศักยภาพของประเทศในระยะยาว ต่างจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยังสามารถใช้ได้ในอนาคตนับสิบปี


4. ผลกระทบทางสังคม: ความต่างที่ลึกกว่าตัวเลข


นอกเหนือจากผลตอบแทนทางเศรษฐกิจแล้ว ผลกระทบทางสังคมของสองนโยบายนี้ก็ต่างกันอย่างมาก การแจกเงิน 10,000 บาท ไม่สามารถกระจายโอกาสในพื้นที่ห่างไกล ไม่ลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ และไม่สร้างคุณค่าทางจิตสำนึกของประชาชน ในทางตรงกันข้าม สุขวิชโนมิกส์เสนอการพัฒนาที่มุ่งประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการ และส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในระดับหมู่บ้าน


ในด้านสิ่งแวดล้อม โครงการคลองสุขวิชโนมิกส์ ยังมีแนวโน้มช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนและเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ซึ่งเป็นวิกฤตซ้ำซากของเกษตรกรไทยมานาน นับร้อยปี


5. ข้อเสนอเชิงนโยบาย


รัฐบาลควรเปลี่ยนแนวทางจากการอัดฉีดเงินระยะสั้น มาสู่นโยบายการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนระยะยาว ทั้งในรูปแบบของรายได้ สาธารณูปโภค และทรัพย์สินถาวร ควรจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการจัดการน้ำและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยเริ่มจากพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งซ้ำซาก


ภาครัฐสามารถบูรณาการแนวคิดคลองสุขวิชกับเทคโนโลยีปัจจุบัน เช่น GIS, remote sensing และ AI เพื่อวางแผนการขุดคลองอย่างแม่นยำ และลดต้นทุนโครงการ นอกจากนี้ควรส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีบทบาทในการบริหารโครงการมากขึ้น เพื่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่จริง และสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของของประชาชน


6. บทสรุป


สุขวิชโนมิกส์ไม่ใช่เพียงแนวคิดด้านวิศวกรรม แต่เป็นแนวคิดทางเศรษฐกิจและสังคมที่ลึกซึ้ง และทันสมัยแม้จะถูกเสนอมากว่า 30 ปีแล้ว หากประเทศไทยต้องการหลุดพ้นจากวงจรความยากจนซ้ำซาก การแจกเงินอาจเป็นเพียงเครื่องมือระยะสั้นที่ทำให้ประชาชนพอใจในทันที แต่จะไม่เปลี่ยนโครงสร้างใด ๆ ที่จำเป็นต่อการเติบโตในระยะยาว


ประเทศไทยไม่ขาดงบประมาณ แต่ขาด “ ความสามารถในการบริหารประเทศ ” สุขวิชโนมิกส์คือรากฐาน สามารถรื้อฟื้นและต่อยอดได้จริง


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่