ในตอนนี้จะขอกล่าวถึงสมาธิ และปิติ ในขณะนอนที่เกิดขึ้นกับตัวของผมเอง เผื่อเป็นแนวทางเบื้องต้น ให้ผู้ที่สนใจ ทำสมาธิเบื้องต้นแบบที่ผมคิดว่าง่ายที่สุด ลดความเจ็บปวดจากการนั่ง แต่หากคุมสติไม่ได้ เจอนิวรณ์๕ หลับสบายๆ
การทำสมาธิก่อนนอนนั้นตัวผมเอง ทำอย่างนั้นตั้งแต่จำความได้ คงเพราะเราทุกคนล้วนเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น และนี้อาจจะเป็นสัญญาเก่าก็เป็นได้
เริ่มหลับตา เพื่อการนอนพักผ่อน ผมจะทำการไล่ลมออกสัก ๒/๓ครั้งจากนั้นหลับตา จะเกิดปิติ อาการขนลุกชัน หรือน้ำตาไหล (ขณิกสมาธิ) จากนั้นผมจะนิ่งสักพัก เพื่อดูควาคิด(ฟุ้งซ่าน) หากนิ่งจากความคิด ผมจะหาลมหายใจ และจับความรู้สึก ไว้ที่ปลายจมูก หรืออาจเป็นที่ท้อง ปล่อยลมหายใจให้เป็นธรรมชาติไม่ดึงไม่ดันลมหายใจ ตอนนี้ผมจะเริ่มรู้สึกง่วงมาก(อุปจารสมาธิ) ในช่วงนี้ อาจมีเสียงแว่ว หรือจะเห็นแสงต่างๆ ฟ้าแลบฟ้าผ่าบ้าง หรือแสงสว่างดวงเล็กๆ ที่ลอยไปลอยมา เป็นที่เพลิดเพลินมาก ไม่นานจะหลับ เป็นหลับที่รู้สึกถึงสุข แต่หากบางครั้ง หลงตามแสงนั้น เผลอหายไป จะรู้สึก เสียววูบเหมือนตกจากที่สูง (ซึ่งตามคำครูบาอาจารย์ ให้ละสิ่งเร้าใจนี้เสีย)
นี้คือการนอนในฌาน รู้ได้โดย เมื่อตื่น จิตยังจดจ่อกับลมหายใจ ก็จะเห็นลมหายใจยังไหลเข้าออกอยู่
เมื่อเพ่งความคิดถึงลมที่มากขึ้น ส่วนตัวผมจะพบว่าการไม่ภาวนาคำใดๆ และปักจุดไว้ที่ท้อง แล้วปล่อยให้ลมหายใจ ไหลตามปกติร่างกายเป็นสมาธิได้ไว(ยากกว่าปลายจมูก) เพ่งต่อไปจะพบว่า ลมเริ่มเบาลง และไหลต่อเนื่องเป็นเส้น เหมือนสายน้ำ(ฌาณ๑) เพ่งอยู่อย่างนั้นนานเข้า จะรู้สึกว่า ลมเริ่มเบาลงมาก หายใจขาดตอน(ฌาณ๒) และในช่วงนี้ ผมจะมีความรู้สึกจากปิติ๕ จากท่านอน
๑. ขนลุกชัน เกิดช่วงขณิกสมาธิ
๒. อาการเหมือน ตัวเบา ตัวลอย
๓. อาการเหมือน ไกวเปล หรือนอนในเรือที่โคลงไปตามคลื่น
๔. อาการเหมือน ร่างกายถูกบิดเป็นเกลียวเหมือนผ้า หรือกลิ้งหมุน
๕. อาการเหมือน ร่างกายพองโต เหมือนจะระเบิด อึดอัดทุกส่วน
เมื่อปิติคลายลง จะรู้สึก ถึงลมหายใจ ที่แผ่วเบา นานๆครั้ง จะหายใจ สักครั้งหนึ่ง และสุดท้าย พบความสว่างโพลง ตื่นขึ้น ทุกอย่างหายไปหมด เสียง ลมหายใจ ร่างกาย ฯ แต่ความเป็นจริง เมื่อแตะฌาณ๔ ใจจะปฏิเสธโดยอัตโนมัติ คลา้ยสะดุ้งและวูบกลับมาที่อุปจารสมาธิ เพราะในวัยเด็ก เคยไปติดค้างในนั้นบ่อยครั้ง
ในระดับฌาน๑ ถึง๓ ช่วงนี้ หากดึงหรือดันลมหายใจ ไม่ปล่อยเป็นธรรมชาติ สมาธิจะตกมาอยู่ที่อุปจารสมาธิ หรือถอนออกมาเลย
องค์ฌาน ที่เกิดขึ้น รู้สึกได้อย่างชัดเจน การตกฌาณเกิดอาการเสียววูบ และอาการค้างในฌาน เกิดขึ้นจากการถอนสมาธิฉับพลัน เช่นอยู่ในฌาน๓ ก็ลืมตาออกมาเลย อาการคือ ค้าง เบลอ สมองไม่โลดแล่น ซึม
การทำสมาธิในท่านอนและเดิน จะทำได้ง่ายกว่าท่านั่งและยืน เพราะหลายครั้ง เกิดปิติ ตัวโยกโคลงไปมา ใจผมจะต่อต้านการโคลงนั้น และถอนมาอยู่ที่อุปจารสมาธิเอง ฌาน๔ ในท่านั่งและยืน จึงเกิดได้น้อยครั้ง และสมาธิที่ดีกับผมเกิดในช่วง บวชพระ คงเพราะ ยังไม่มีครอบครัว ไม่มีภาระ ไม่มีกังวล และเวลา
ในปกติระหว่างวัน เกิดปิติ ขนลุกชัน เป็นช่วงๆ ตลอดวัน คงเพราะต่อเนื่องจากการนอนในฌาน
บันทึกส่วนตัวนี้ ไม่มีเจตนาหวงห้าม แต่มีเจตนาไม่ให้ใครลบหลู่ ไม่ถูกใจ ข้าม...
สมาธิ ก่อนนอน
การทำสมาธิก่อนนอนนั้นตัวผมเอง ทำอย่างนั้นตั้งแต่จำความได้ คงเพราะเราทุกคนล้วนเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น และนี้อาจจะเป็นสัญญาเก่าก็เป็นได้
เริ่มหลับตา เพื่อการนอนพักผ่อน ผมจะทำการไล่ลมออกสัก ๒/๓ครั้งจากนั้นหลับตา จะเกิดปิติ อาการขนลุกชัน หรือน้ำตาไหล (ขณิกสมาธิ) จากนั้นผมจะนิ่งสักพัก เพื่อดูควาคิด(ฟุ้งซ่าน) หากนิ่งจากความคิด ผมจะหาลมหายใจ และจับความรู้สึก ไว้ที่ปลายจมูก หรืออาจเป็นที่ท้อง ปล่อยลมหายใจให้เป็นธรรมชาติไม่ดึงไม่ดันลมหายใจ ตอนนี้ผมจะเริ่มรู้สึกง่วงมาก(อุปจารสมาธิ) ในช่วงนี้ อาจมีเสียงแว่ว หรือจะเห็นแสงต่างๆ ฟ้าแลบฟ้าผ่าบ้าง หรือแสงสว่างดวงเล็กๆ ที่ลอยไปลอยมา เป็นที่เพลิดเพลินมาก ไม่นานจะหลับ เป็นหลับที่รู้สึกถึงสุข แต่หากบางครั้ง หลงตามแสงนั้น เผลอหายไป จะรู้สึก เสียววูบเหมือนตกจากที่สูง (ซึ่งตามคำครูบาอาจารย์ ให้ละสิ่งเร้าใจนี้เสีย)
นี้คือการนอนในฌาน รู้ได้โดย เมื่อตื่น จิตยังจดจ่อกับลมหายใจ ก็จะเห็นลมหายใจยังไหลเข้าออกอยู่
เมื่อเพ่งความคิดถึงลมที่มากขึ้น ส่วนตัวผมจะพบว่าการไม่ภาวนาคำใดๆ และปักจุดไว้ที่ท้อง แล้วปล่อยให้ลมหายใจ ไหลตามปกติร่างกายเป็นสมาธิได้ไว(ยากกว่าปลายจมูก) เพ่งต่อไปจะพบว่า ลมเริ่มเบาลง และไหลต่อเนื่องเป็นเส้น เหมือนสายน้ำ(ฌาณ๑) เพ่งอยู่อย่างนั้นนานเข้า จะรู้สึกว่า ลมเริ่มเบาลงมาก หายใจขาดตอน(ฌาณ๒) และในช่วงนี้ ผมจะมีความรู้สึกจากปิติ๕ จากท่านอน
๑. ขนลุกชัน เกิดช่วงขณิกสมาธิ
๒. อาการเหมือน ตัวเบา ตัวลอย
๓. อาการเหมือน ไกวเปล หรือนอนในเรือที่โคลงไปตามคลื่น
๔. อาการเหมือน ร่างกายถูกบิดเป็นเกลียวเหมือนผ้า หรือกลิ้งหมุน
๕. อาการเหมือน ร่างกายพองโต เหมือนจะระเบิด อึดอัดทุกส่วน
เมื่อปิติคลายลง จะรู้สึก ถึงลมหายใจ ที่แผ่วเบา นานๆครั้ง จะหายใจ สักครั้งหนึ่ง และสุดท้าย พบความสว่างโพลง ตื่นขึ้น ทุกอย่างหายไปหมด เสียง ลมหายใจ ร่างกาย ฯ แต่ความเป็นจริง เมื่อแตะฌาณ๔ ใจจะปฏิเสธโดยอัตโนมัติ คลา้ยสะดุ้งและวูบกลับมาที่อุปจารสมาธิ เพราะในวัยเด็ก เคยไปติดค้างในนั้นบ่อยครั้ง
ในระดับฌาน๑ ถึง๓ ช่วงนี้ หากดึงหรือดันลมหายใจ ไม่ปล่อยเป็นธรรมชาติ สมาธิจะตกมาอยู่ที่อุปจารสมาธิ หรือถอนออกมาเลย
องค์ฌาน ที่เกิดขึ้น รู้สึกได้อย่างชัดเจน การตกฌาณเกิดอาการเสียววูบ และอาการค้างในฌาน เกิดขึ้นจากการถอนสมาธิฉับพลัน เช่นอยู่ในฌาน๓ ก็ลืมตาออกมาเลย อาการคือ ค้าง เบลอ สมองไม่โลดแล่น ซึม
การทำสมาธิในท่านอนและเดิน จะทำได้ง่ายกว่าท่านั่งและยืน เพราะหลายครั้ง เกิดปิติ ตัวโยกโคลงไปมา ใจผมจะต่อต้านการโคลงนั้น และถอนมาอยู่ที่อุปจารสมาธิเอง ฌาน๔ ในท่านั่งและยืน จึงเกิดได้น้อยครั้ง และสมาธิที่ดีกับผมเกิดในช่วง บวชพระ คงเพราะ ยังไม่มีครอบครัว ไม่มีภาระ ไม่มีกังวล และเวลา
ในปกติระหว่างวัน เกิดปิติ ขนลุกชัน เป็นช่วงๆ ตลอดวัน คงเพราะต่อเนื่องจากการนอนในฌาน
บันทึกส่วนตัวนี้ ไม่มีเจตนาหวงห้าม แต่มีเจตนาไม่ให้ใครลบหลู่ ไม่ถูกใจ ข้าม...