“สมาธิของพระสารีบุตรแบบดั้งเดิม” ที่ทำให้เกิดฌานจริง
1. เริ่มต้นด้วยการนับ มีวัตถุประสงค์เพื่อ
รวบรวมสติไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน
เป็นขั้นเตรียมก่อนเข้าสู่สมาธิที่ละเอียดกว่า
การนับไม่ได้ทำเพื่อรู้เรื่องลมหายใจ แต่เพื่อให้จิตอยู่กับปัจจุบัน
ตัวอย่างการนับ
หายใจเข้า นับ ๑
หายใจออก นับ ๒
หรือเข้า–ออก เป็นหนึ่งรอบ
หรือกำหนดเป็นชุด ๆ เช่น ๑ ถึง ๕ แล้ววนใหม่
สำคัญที่สุดคือ
นับโดยไม่ตามลมไปตามทางเดิน ไม่เพ่งจุดใดจุดหนึ่ง โฟกัสที่การรู้อยู่เฉย ๆ
เมื่อจิตเริ่มตั้งมั่น
จึงหยุดนับ แล้วเข้าสู่ขั้นต่อไป
3. การส่งสติไปตามลม ไม่ใช่การตามต้น–กลาง–ปลายของลม
เพราะถ้าจิตไปตามลมแบบกวาดไปตามเส้นทาง
จะเกิด “ความฟุ้งซ่านแบบละเอียด” และ “ความหวั่นไหวของกายและใจ”
ดังที่พระสารีบุตรกล่าวไว้ว่า
พอส่งสติไหลตามลม กายและใจจะสั่นไหวไม่สงบ
การตามลมแบบเคลื่อนไหว คือการเพ่งแบบเคลื่อน จิตไม่หยุดนิ่ง จึงไม่เกิดอัปปนา
ดังนั้นการตามผูกที่ถูกต้อง = การมีสติรู้อยู่เฉย ๆ ตรงจุดที่ลม “ถูกต้อง” ไม่ใช่ตามลมไปทางเดินของมัน
3. จุดที่ลมถูกต้อง คือ
บริเวณปลายจมูก หรือริมฝีปากบน
ที่ลมสัมผัสชัดที่สุด
นี่คือจุดที่ปลอดภัยที่สุดในการตั้งสติ
และเป็นจุดที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ใช้ในอานาปานสติทุกระดับ
ดังนั้น
การตามผูก คือ รู้ลมเข้า–ลมออก ตรงจุดเดียวที่ลมสัมผัส ไม่ตามลมไปไหน
เหมือน คนยืนอยู่กับที่ รอให้คนอื่นเดินผ่าน แต่เราไม่เดินตามเขา เรารู้แค่ว่าเขาเดินมาหาเรา แล้วจากไปนั่นคือการตามผูกที่แท้จริง
4. ทำไมต้อง “ไม่ตามต้น–กลาง–ปลาย”?
เพราะต้นคือสะดือ
กลางคือหัวใจ
ปลายคือจมูก
ถ้าจิตไปตามทางเดินลม จากสะดือขึ้นอกขึ้นจมูก
จิตจะวุ่น จะตื่น จะเคลื่อนไหว
เข้าสมาธิไม่ได้
เพราะสมาธิต้องการ
การรู้อยู่เฉย ๆ ที่จุดเดียว
นี่คือหลักสำคัญที่สุดในอานาปานสติ
5.ลมสัมผัสตรงจุดที่เราวางสติอยู่
ไม่ต้องจับทิศ ไม่ต้องไหลตาม ไม่ต้องคิด
แค่รู้สึกสัมผัสที่เกิดเองตามธรรมชาติ
“อยู่กับลมเฉย ๆ ให้ลมทำงานของมัน เราทำงานของเรา”
6.หลังจากนับ → หยุดนับ → ตามผูก → รู้อยู่เฉย ๆ
จิตจะเริ่ม นิ่งแน่ว ตกกระทบที่จุดสัมผัสเดียว
แล้วจะมีความสว่าง ความเบา ความสงบเกิดขึ้นเอง เรียกว่า การหยุดจิตไว้
สภาวะนี้ คือ ความใกล้ของอัปปนาสมาธิ
จิตจะนิ่งจนไม่สนใจลมเข้า–ออกแล้ว
เหลือแต่ “ผู้รู้ที่สงบ”
7. อุปมา “คนง่อย – คนรักษาประตู – เลื่อย”
คนง่อย
ยืนเฉย ๆ ขยับไม่ได้
เหมือนจิตที่รู้ลมหายใจอยู่ที่จุดเดียว ไม่ตามลมไปไหน
คนรักษาประตู
ไม่วิ่งไล่จับคนเดินเข้าออก
แค่รู้ว่า มีคนผ่านประตู
เหมือนผู้มีสติรู้ลมเข้า–ออกผ่านหน้าจิตเฉย ๆ
เลื่อย (พระสารีบุตรเปรียบไว้ในปฏิสัมภิทา)
เวลาเลื่อยไม้
มือหนึ่งดึงเข้า มือหนึ่งดึงออก
แต่ “จุดสัมผัสของฟันเลื่อยกับไม้” อยู่ที่เดิม
ไม่วิ่งตามเลื่อย
นี่คือ จุดสำคัญที่สุดของการปฏิบัติอานาปานสติ
กล่าวโดยสรุป คือ
๑ ตั้งสติที่ปลายจมูก รู้ลมสัมผัสเฉย ๆ
๒ เริ่มด้วยการนับ เพื่อกันฟุ้ง นับจนจิตเริ่มตั้งมั่น
๓ หยุดนับ แล้วรู้ลมหายใจที่จุดเดียวไม่ตามลม ไม่ไหลไปกับลม
๔ รู้ลมเข้า – รู้ลมออก ที่จุดเดียวเท่านั้น
เหมือนคนง่อย เหมือนยามประตู เหมือนฟันเลื่อย
๕ เมื่อจิตสงบ จะเกิดการหยุดนิ่งเป็นอัปนาสมาธิ (ฌาน) เอง
นี่คือ “สมาธิของพระสารีบุตรแบบดั้งเดิม” ที่ทำให้เกิดฌานจริง
“สมาธิของพระสารีบุตรแบบดั้งเดิม” ที่ทำให้เกิดฌานจริง
1. เริ่มต้นด้วยการนับ มีวัตถุประสงค์เพื่อ
รวบรวมสติไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน
เป็นขั้นเตรียมก่อนเข้าสู่สมาธิที่ละเอียดกว่า
การนับไม่ได้ทำเพื่อรู้เรื่องลมหายใจ แต่เพื่อให้จิตอยู่กับปัจจุบัน
ตัวอย่างการนับ
หายใจเข้า นับ ๑
หายใจออก นับ ๒
หรือเข้า–ออก เป็นหนึ่งรอบ
หรือกำหนดเป็นชุด ๆ เช่น ๑ ถึง ๕ แล้ววนใหม่
สำคัญที่สุดคือ
นับโดยไม่ตามลมไปตามทางเดิน ไม่เพ่งจุดใดจุดหนึ่ง โฟกัสที่การรู้อยู่เฉย ๆ
เมื่อจิตเริ่มตั้งมั่น
จึงหยุดนับ แล้วเข้าสู่ขั้นต่อไป
3. การส่งสติไปตามลม ไม่ใช่การตามต้น–กลาง–ปลายของลม
เพราะถ้าจิตไปตามลมแบบกวาดไปตามเส้นทาง
จะเกิด “ความฟุ้งซ่านแบบละเอียด” และ “ความหวั่นไหวของกายและใจ”
ดังที่พระสารีบุตรกล่าวไว้ว่า
พอส่งสติไหลตามลม กายและใจจะสั่นไหวไม่สงบ
การตามลมแบบเคลื่อนไหว คือการเพ่งแบบเคลื่อน จิตไม่หยุดนิ่ง จึงไม่เกิดอัปปนา
ดังนั้นการตามผูกที่ถูกต้อง = การมีสติรู้อยู่เฉย ๆ ตรงจุดที่ลม “ถูกต้อง” ไม่ใช่ตามลมไปทางเดินของมัน
3. จุดที่ลมถูกต้อง คือ
บริเวณปลายจมูก หรือริมฝีปากบน
ที่ลมสัมผัสชัดที่สุด
นี่คือจุดที่ปลอดภัยที่สุดในการตั้งสติ
และเป็นจุดที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ใช้ในอานาปานสติทุกระดับ
ดังนั้น
การตามผูก คือ รู้ลมเข้า–ลมออก ตรงจุดเดียวที่ลมสัมผัส ไม่ตามลมไปไหน
เหมือน คนยืนอยู่กับที่ รอให้คนอื่นเดินผ่าน แต่เราไม่เดินตามเขา เรารู้แค่ว่าเขาเดินมาหาเรา แล้วจากไปนั่นคือการตามผูกที่แท้จริง
4. ทำไมต้อง “ไม่ตามต้น–กลาง–ปลาย”?
เพราะต้นคือสะดือ
กลางคือหัวใจ
ปลายคือจมูก
ถ้าจิตไปตามทางเดินลม จากสะดือขึ้นอกขึ้นจมูก
จิตจะวุ่น จะตื่น จะเคลื่อนไหว
เข้าสมาธิไม่ได้
เพราะสมาธิต้องการ
การรู้อยู่เฉย ๆ ที่จุดเดียว
นี่คือหลักสำคัญที่สุดในอานาปานสติ
5.ลมสัมผัสตรงจุดที่เราวางสติอยู่
ไม่ต้องจับทิศ ไม่ต้องไหลตาม ไม่ต้องคิด
แค่รู้สึกสัมผัสที่เกิดเองตามธรรมชาติ
“อยู่กับลมเฉย ๆ ให้ลมทำงานของมัน เราทำงานของเรา”
6.หลังจากนับ → หยุดนับ → ตามผูก → รู้อยู่เฉย ๆ
จิตจะเริ่ม นิ่งแน่ว ตกกระทบที่จุดสัมผัสเดียว
แล้วจะมีความสว่าง ความเบา ความสงบเกิดขึ้นเอง เรียกว่า การหยุดจิตไว้
สภาวะนี้ คือ ความใกล้ของอัปปนาสมาธิ
จิตจะนิ่งจนไม่สนใจลมเข้า–ออกแล้ว
เหลือแต่ “ผู้รู้ที่สงบ”
7. อุปมา “คนง่อย – คนรักษาประตู – เลื่อย”
คนง่อย
ยืนเฉย ๆ ขยับไม่ได้
เหมือนจิตที่รู้ลมหายใจอยู่ที่จุดเดียว ไม่ตามลมไปไหน
คนรักษาประตู
ไม่วิ่งไล่จับคนเดินเข้าออก
แค่รู้ว่า มีคนผ่านประตู
เหมือนผู้มีสติรู้ลมเข้า–ออกผ่านหน้าจิตเฉย ๆ
เลื่อย (พระสารีบุตรเปรียบไว้ในปฏิสัมภิทา)
เวลาเลื่อยไม้
มือหนึ่งดึงเข้า มือหนึ่งดึงออก
แต่ “จุดสัมผัสของฟันเลื่อยกับไม้” อยู่ที่เดิม
ไม่วิ่งตามเลื่อย
นี่คือ จุดสำคัญที่สุดของการปฏิบัติอานาปานสติ
กล่าวโดยสรุป คือ
๑ ตั้งสติที่ปลายจมูก รู้ลมสัมผัสเฉย ๆ
๒ เริ่มด้วยการนับ เพื่อกันฟุ้ง นับจนจิตเริ่มตั้งมั่น
๓ หยุดนับ แล้วรู้ลมหายใจที่จุดเดียวไม่ตามลม ไม่ไหลไปกับลม
๔ รู้ลมเข้า – รู้ลมออก ที่จุดเดียวเท่านั้น
เหมือนคนง่อย เหมือนยามประตู เหมือนฟันเลื่อย
๕ เมื่อจิตสงบ จะเกิดการหยุดนิ่งเป็นอัปนาสมาธิ (ฌาน) เอง
นี่คือ “สมาธิของพระสารีบุตรแบบดั้งเดิม” ที่ทำให้เกิดฌานจริง