1/1
ฉันชื่อ โอลิเวีย ฉันเป็นเด็กกำพร้า อาศัยในสถานสงเคราะห์ของแม่ชี ในเมือง Sarem
ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่น่ะหรอ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน จำความได้ฉันก็อยู่ที่นี่แล้ว จนตอนนี้ฉันก็อายุ 10 ขวบ
ที่นี่มีเด็กในความดูแลของเหล่าแม่ชี ประมาณ 20 กว่าคน อายุรุ่นราวไล่เลี่ยกันไป และนานๆทีจะมีครอบครัวอุปถัมภ์เข้ามารับพวกเราไปดูแล บางครอบครัวก็มีลูกเองไม่ได้ เลยต้องมารับเด็กสักคนสองคนไปเป็นลูกบุญธรรม
ฉันล่ะสงสารพวกเขาจริงๆนะ ที่มีพร้อมทุกอย่างแต่ไม่สามารถมีลูกเองได้ แต่กับคนที่ไม่พร้อมสักอย่าง กับมีลูกคนแล้วคนเล่า พอเลี้ยงไม่ไหว ก็กลายเป็นอย่างที่เห็น เอามาทิ้งไว้หน้าสถานสงเคราะห์ให้ลำบากเหล่าแม่ชี และฉันก็เป็น1ในนั้น
วันนี้ท้องฟ้าค่อนข้างมืดครึ้ม ฉันนั่งวาดรูปอยู่บนโต๊ะไม้ในสวนของสถานสงเคราะห์ เสียงเด็กคนอื่นๆวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวอยู่ทั่วทั้งสวน
“เด็กๆ เข้าที่พักได้แล้ว ใกล้มืดคร่ำแล้ว”
เสียงแม่ชีตะโกนเรียก จากในอาคารของสถานสงเคราะห์ พวกเราทุกคนเชื่อฟังเป็นอย่างดี
ฉันรีบเก็บสีเทียน และกระดาษบนโต๊ะ ก่อนจะรีบวิ่งตามเด็กคนอื่นๆเข้าไปในอาคาร
ทุกอย่างดำเนินตามปกติเหมือนทุกวัน กินข้าว อาบน้ำ ช่วยแม่ชีทำงานจิปาถะ ก่อนจะเข้านอน แต่สิ่งที่ไม่ปกติในคืนนี้กลับเป็นเรื่องเล่าของแม่ชี ที่ปกติแล้วจะเล่านิทานกล่อมเด็กชวนฝันหวาน ให้พวกเราฟัง แต่คืนนี้ไม่ใช่
“ในอดีต เมืองSaremของเรา แต่เก่าก่อนมีตำนานเรื่องเล่า ว่าเมืองๆนี้มีเหล่าแม่มดอาศัยอยู่ หลายต่อหลายตน แม่มดเหล่านั้นต่างมีความสามารถเหนือธรรมชาติ มีนิสัยชั่วร้าย ชอบจับเด็กๆที่น่ารักสดใสและบริสุทธิ...”
“จับเด็กไปทำอะไรหรอคะ?”
ขณะที่แม่ชีกำลังเล่า อยู่ ๆก็มีเสียงเด็กคนหนึ่งถามขึ้นสียงดังด้วยความสงสัย
แม่ชียิ้มจางๆส่งให้เด็กคนนั้น พลางวางตะเกียงเทียนที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะในบริเวณนั้น ก่อนจะพูดต่อ
“...เหล่าแม่มดมีความเชื่อว่า เด็กที่ยังไม่มีบาปหรือบริสุทธิ์นั้นมีพลังชีวิตบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถใช้ต่อชีวิตแม่มดได้ เมื่อถึงเวลาพระจันทร์เต็มดวงพวกเขาจะจับเด็กที่หลงทาง หรือหลอกล่อเหล่าเด็กที่ไม่มีพ่อแม่ เพื่อนำมาทำพิธีเพิ่มพลังชีวิตให้ตนเองนั้นเป็นอัมตะ... แน่นอนว่าเป็นเรื่องในตำนาน ตอนนี้ไม่มีแม่มดแล้วล่ะจ้ะ พวกเธอนอนกันได้แล้ว มันดึกมากแล้วนะ”
แม่ชีจะเดินไล่ห่มผ้าให้เด็กทุกคนในห้อง ฉันเองก็นอนหลับไปอย่างสงบในคืนนั้นเช่นกัน
วันรุ่งขึ้นกิจกรรมก็เหมือนเดิมทุกวัน ฉันนั่งวาดรูปเงียบๆ ที่โต๊ะไม้ตัวเดิมในมุมของฉัน แต่แล้วแม่ชีก็พาผู้หญิงคนหนึ่งมาหาฉัน หญิงสาวแต่งตัวดี หน้าตาใจดี แม่ชีแนะนำเธอกับฉัน
“เธอชื่ออบิเกล และเธอจะมารับโอลิเวียไปเป็นลูกบุญธรรมนะจ๊ะ”
หลังจากคำแนะนำสั้นๆ แม่ชีก็บอกให้ฉันไปเก็บของเพื่อออกเดินทาง ฉันนั่งรถไปกับอบิเกล สองข้างทางเงียบสงบขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงบ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่ง บ้านดูเรียบหรูแต่เก่าและห่างไกลผู้คน
“ถึงแล้วจ้ะ บ้านของเรา” อบิเกลยิ้ม ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วผายมือเชิญฉันลง
ฉันเดินตามเธอเข้าบ้าน เสียงพื้นไม้เอี๊ยดเบา ๆ ทุกครั้งที่เราก้าวผ่านโถงทางเดิน เธอหันมายิ้มให้ฉันอีกครั้ง แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“เรียกฉันว่าแม่...ได้ไหมลูก”
ฉันพยักหน้าเบา ๆ
“ค่ะ…แม่”
เธอพาฉันขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ห้องหนึ่งถูกเปิดออก
“นี่คือห้องของลูก ฉันเตรียมไว้ให้โดยเฉพาะเลยนะจ๊ะ”
ห้องนั้นตกแต่งเรียบง่าย เตียงไม้ขนาดกลาง ผ้าปูสีขาวสะอาด ตุ๊กตาตัวเล็กวางอยู่มุมหนึ่ง หน้าต่างบานใหญ่เปิดรับแสงอ่อน ๆ
“เก็บของให้เรียบร้อยนะลูก เดี๋ยวค่อยลงไปกินข้าวเย็นกัน”
ก่อนจะเดินออกจากห้อง เธอหยุดที่ประตู แล้วหันกลับมามองฉัน ดวงตานั้นยังคงยิ้ม...
“อีกอย่างนะจ๊ะ โอลิเวีย…อย่าขึ้นไปห้องใต้หลังคาเด็ดขาด ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร เข้าใจไหม?”
ฉันพยักหน้า แม้ในใจจะเริ่มรู้สึกบางอย่างไหววูบขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
โต๊ะอาหารตรงหน้าฉันเต็มไปด้วยของกินมากมายจนแทบไม่เห็นพื้นไม้ของโต๊ะเลย
มีทั้งซุปร้อนๆ เนื้ออบหอมฉุย ขนมปังนุ่มๆ กับเนยสด และยังมีขนมหวานหลายอย่างที่ฉันไม่เคยกินมาก่อนในชีวิต ขนมเค้กมีครีมสีชมพู คุกกี้กลิ่นอบเชย และผลไม้สดหลากสีวางเรียงสวยงามราวกับภาพวาด
“แม่ทำเองทั้งหมดเลยหรอคะ?” ฉันถามตาโต
แม่หัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า
“ใช่สิจ๊ะ เพื่อโอลิเวียโดยเฉพาะเลยนะ”
เรากินข้าวกัน คุยกันเรื่องที่โรงเรียน เรื่องที่บ้านเด็กกำพร้า แม่ฟังฉันอย่างตั้งใจ ทำหน้าเหมือนสนุกไปกับทุกเรื่องที่ฉันพูด ฉันเลยรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ก่อนฉันจะถามขึ้นมาแบบไม่คิดอะไร
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ?”
แม่เงียบไปนิดหนึ่ง สีหน้ายังยิ้ม ก่อนจะพูดเบาๆ
“ไม่มีหรอกจ้ะ…แม่อยู่คนเดียวมาตลอด มีแค่แม่คนเดียวก็พอแล้วเนอะลูก”
ฉันไม่รู้จะตอบยังไง เลยแค่ยิ้มให้ แล้วก็ก้มหน้ากินขนมพุดดิ้งต่อ
หลังจากกินเสร็จ แม่พาฉันไปอาบน้ำ น้ำอุ่นพอดี กลิ่นสบู่หอมจางๆ เหมือนกลิ่นดอกไม้แปลกๆ ที่ฉันไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน จากนั้นแม่ก็พาฉันขึ้นเตียง ห่มผ้าให้ แล้วลูบผมเบาๆ แม่นั่งลงข้างเตียง และเริ่มฮัมเพลงบางอย่าง...เสียงของแม่เบา ราบเรียบ...ไม่ต่างจากเสียงกล่อมเด็กทั่วไป
มันไม่ใช่เพลงที่ฉันเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน และแม้จะนุ่มนวล แต่ท่วงทำนองของมันกลับแฝงความวังเวงบางอย่าง
ฉันพยายามตั้งใจฟังเนื้อเพลง...แต่กลับจำอะไรไม่ได้เลย รู้แค่ว่ายิ่งฟัง ยิ่งง่วงเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความฝันอย่างช้าๆ
เช้าวันถัดมา ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านม่าน
แม่ทำอาหารเช้าไว้ให้ ขนมปังปิ้งกับไข่ดาว และน้ำผลไม้ที่มีสีเหมือนส้มผสมทับทิม
หลังจากกินข้าว ฉันช่วยแม่กวาดบ้าน รดน้ำต้นไม้ และเช็ดกระจกหน้าต่างรอบบ้าน
แม่ชมฉันตลอดว่าขยันและเรียบร้อย พอบ่ายๆ ฉันก็วิ่งเล่นรอบๆ บ้าน สนามหญ้ากว้างเต็มไปด้วยดอกไม้เล็กๆ สีม่วงขาว ฉันนั่งมองผีเสื้อบนใบไม้เพลินๆ จนเหงื่อท่วมตัว
เหนื่อยแล้ว ฉันจึงกลับขึ้นไปที่ห้องบนชั้นสอง
ขณะที่กำลังจะเปิดประตูห้องนอน ฉันได้ยินเสียงบางอย่าง...
เสียงกระซิบ...เบาๆ เหมือนลอยมากับสายลม
“ขึ้นมา...เถอะ...ทางนี้...”
“มาหาเรา...”
เสียงนั้นแผ่วเบาและสั่นเล็กน้อย เหมือนเสียงของเด็กหลายคน ทั้งชายและหญิง ประสานกันกระซิบราวกับมาจากทุกทิศทาง
ฉันหยุดนิ่ง แล้วมองไปยังบันไดไม้แคบ ๆ ที่อยู่ปลายโถงทางเดินซึ่งนำขึ้นไปยังห้องใต้หลังคา...
ใจหนึ่งฉันอยากรู้ ว่าเสียงนั้นคืออะไร อีกใจหนึ่งก็เริ่มรู้สึกเย็นวูบๆ ขึ้นมาตรงต้นคอ
แต่ก่อนฉันจะได้เดินเข้าไปใกล้บันไดนั้น
“โอลิเวีย ลูกมาทำอะไรตรงนี้?”
เสียงแม่ดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้ฉันสะดุ้งและหันกลับ
“เอ่อ…หนูแค่…กำลังจะกลับเข้าห้องค่ะ” ฉันรีบตอบก่อนจะเดินกลับมาห้องของตัวเองโดยไม่มองบันไดนั้นอีก
แต่ในหัวฉันยังคงได้ยินเสียงกระซิบจางๆ...วนเวียนไม่จางหาย
ฉันนั่งเล่นกับตุ๊กตาตัวโปรดอยู่ข้างเตียง จนหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังถือมันไว้อยู่ในมือ
กลางวันแสงแดดลอดผ่านม่านมานิดหน่อย
แม่มาเคาะประตูเบาๆ ปลุกฉันให้ลงไปกินข้าว เรานั่งทานอาหารด้วยกันเหมือนเดิม พูดคุยหยอกล้อกันตามปกติ
แม่อาบน้ำให้ฉันก่อนจะส่งเข้านอน ทุกอย่างดูอบอุ่นเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในความฝันดีๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต
ก่อนนอนแม่พูดขึ้นว่า
“พรุ่งนี้แม่จะเข้าไปในป่าหาผักผลไม้ที่ปลูกไว้ในนั้น จะเอามาทำอาหารเย็นให้ลูกกิน”
เธอยิ้มขณะพูด แล้วลูบหัวฉัน
“หนูอยู่บ้านดีๆ นะจ๊ะ อย่าดื้อ อย่าซน”
จากนั้นก็เริ่มฮัมเพลงกล่อมเด็กเพลงเดิม ทำนองอ่อนโยนแต่ฟังแล้วกลับหน่วงๆ อย่างประหลาด
ฉันเริ่มง่วงขึ้นมาอีกครั้งเหมือนเมื่อคืน ก่อนเปลือกตาจะปิดลง ฉันได้ยินเสียงแม่พูดบางอย่างเบาๆ ข้างหู
“...ใกล้เวลาแล้ว...”
เสียงนั้นเบาจนฉันไม่แน่ใจว่าฟังผิดหรือไม่ แล้วฉันก็หลับไปในที่สุด
ฉันไม่รู้ว่าฉันหลับไปนานแค่ไหน เสียงฟ้าร้องและเสียงลมพัดแรงจากนอกหน้าต่างปลุกฉันให้ตื่นขึ้นมา
ฝนกำลังตก… ฟ้าแลบแสงวาบเป็นระยะ
ฉันรู้สึกปวดฉี่เลยลุกจากเตียง เดินออกจากห้องมุ่งไปยังห้องน้ำ
ในขณะที่กำลังจะเดินกลับห้อง ฉันต้องผ่านหน้าห้องของแม่ซึ่งประตูมันแง้มไว้นิดหนึ่ง
แสงจากเทียนข้างในทำให้เห็นภาพภายในห้องรางๆ
แม่กำลังยืนอยู่หน้ากระจก บนโต๊ะเครื่องแป้ง
เธอเอามือลูบไล้ใบหน้าของตัวเองอย่างช้าๆ... ท่าทางแปลกตา
แต่สิ่งที่ทำให้ฉันหยุดอยู่ตรงนั้น... คือภาพสะท้อนในกระจก
ครึ่งหนึ่งของกระจกแตกร้าวเป็นเส้นวิ่งจากขอบบนลงล่าง
ฝั่งกระจกที่แตกร้าว... สะท้อนใบหน้าของแม่ที่ไม่ใช่ใบหน้าปกติ แต่เป็นใบหน้าของหญิงชรา ผิวเหี่ยวย่น ดวงตาขุ่นมัวเหมือนคนที่มีอายุหลายสิบปี
ส่วนฝั่งกระจกที่ไม่แตกร้าว สะท้อนใบหน้าของแม่ที่ฉันเห็นเสมอ… ยังสาว ยังสวย ยังใจดี
ฉันยืนมองอย่างไม่เข้าใจ รู้สึกเหมือนภาพสะท้อนในกระจกกำลัง “เห็น” ฉัน
แล้วแม่ก็หันกลับมา
ใบหน้าของเธอยังดูเหมือนเดิม… หรือฉันแค่ตาฝาด?
แม่เดินมาหาฉันแล้วถามด้วยเสียงนุ่ม
“นอนไม่หลับเหรอลูก?”
ฉันพยักหน้าเบาๆ
“ตื่นมาเข้าห้องน้ำค่ะ แล้ว...เห็นประตูห้องแม่แง้มอยู่...ก็เลย...”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่ต้องขอโทษน้า”
แม่ลูบหัวฉันก่อนจะพากลับเข้าห้อง
เสียงเพลงกล่อมเดิมดังขึ้นอีกครั้ง เธอนั่งอยู่ข้างเตียงจนฉันค่อยๆ หลับไปอีกครั้ง
เช้าวันถัดมา
โต๊ะอาหารจัดอาหารเช้าไว้เรียบร้อยเหมือนเดิม
หลังจากเรากินข้าวกันเสร็จ แม่เตรียมตะกร้าใบใหญ่ แล้วสวมฮูดเสื้อคลุมยาวคลุมศีรษะ มันเป็นสีแดงเลือดหมูดูแปลกตา
“แม่จะเข้าป่า ไปเก็บผักผลไม้ที่ปลูกไว้ข้างในโน่นเลยนะลูก”
เธอยิ้มพลางหยิบตะกร้าใส่มือ
“อย่าออกไปไหน อยู่ในบ้านดีๆ อย่าเดินขึ้นชั้นสามนะลูก แม่รักหนูนะ”
แล้วเธอก็เปิดประตูหน้าบ้าน...
เสียงลมปะทะเข้ามาเย็นวาบ ก่อนแม่จะก้าวออกไปในความเงียบของป่าใหญ่...
ฉันนั่งวาดรูปเงียบๆ อยู่บนพื้นห้องของตัวเอง แสงแดดยามสายสาดผ่านหน้าต่างเข้ามาอ่อนๆ พอให้เห็นเงาของฉันทอดลงกับพื้นไม้
ทันใดนั้น ประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่กลับค่อยๆ แง้มออกเองอย่างช้าๆ
เสียงบานพับที่เสียดสีกับขอบไม้ดังเอี๊ยดเบาๆ พาเอาความเย็นจากข้างนอกลอยวูบเข้ามา
เสียงกระซิบ… แผ่วเบาเหมือนสายลมดังขึ้นอีกครั้ง
“ขึ้นมา… ขึ้นมาหาเรา…”
เสียงเหมือนเด็กผู้หญิง และเด็กผู้ชาย พูดซ้อนกันเป็นจังหวะ มันไม่ใช่เสียงที่ทำให้ตกใจ แต่มันเย็นยะเยือกและลึกลับจนรู้สึกขนลุก
ความสงสัยเริ่มเอ่อล้นในอก ฉันลุกขึ้นยืน กอดตุ๊กตาแน่น แล้วค่อยๆ เดินออกจากห้อง
เสียงกระซิบยังคงเรียกชัดขึ้นเรื่อยๆ ฉันเดินขึ้นบันไดทีละขั้น จนมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้เก่าบานหนึ่ง
ประตูห้องใต้หลังคา...
.
.
.
.
(***ต่อตอนจบในคอมเมนต์นะคะ แก้ปัญหาข้อความเกิน***)
เรื่องหลอนก่อนนอน "แม่"
ฉันชื่อ โอลิเวีย ฉันเป็นเด็กกำพร้า อาศัยในสถานสงเคราะห์ของแม่ชี ในเมือง Sarem
ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่น่ะหรอ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน จำความได้ฉันก็อยู่ที่นี่แล้ว จนตอนนี้ฉันก็อายุ 10 ขวบ
ที่นี่มีเด็กในความดูแลของเหล่าแม่ชี ประมาณ 20 กว่าคน อายุรุ่นราวไล่เลี่ยกันไป และนานๆทีจะมีครอบครัวอุปถัมภ์เข้ามารับพวกเราไปดูแล บางครอบครัวก็มีลูกเองไม่ได้ เลยต้องมารับเด็กสักคนสองคนไปเป็นลูกบุญธรรม
ฉันล่ะสงสารพวกเขาจริงๆนะ ที่มีพร้อมทุกอย่างแต่ไม่สามารถมีลูกเองได้ แต่กับคนที่ไม่พร้อมสักอย่าง กับมีลูกคนแล้วคนเล่า พอเลี้ยงไม่ไหว ก็กลายเป็นอย่างที่เห็น เอามาทิ้งไว้หน้าสถานสงเคราะห์ให้ลำบากเหล่าแม่ชี และฉันก็เป็น1ในนั้น
วันนี้ท้องฟ้าค่อนข้างมืดครึ้ม ฉันนั่งวาดรูปอยู่บนโต๊ะไม้ในสวนของสถานสงเคราะห์ เสียงเด็กคนอื่นๆวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวอยู่ทั่วทั้งสวน
“เด็กๆ เข้าที่พักได้แล้ว ใกล้มืดคร่ำแล้ว”
เสียงแม่ชีตะโกนเรียก จากในอาคารของสถานสงเคราะห์ พวกเราทุกคนเชื่อฟังเป็นอย่างดี
ฉันรีบเก็บสีเทียน และกระดาษบนโต๊ะ ก่อนจะรีบวิ่งตามเด็กคนอื่นๆเข้าไปในอาคาร
ทุกอย่างดำเนินตามปกติเหมือนทุกวัน กินข้าว อาบน้ำ ช่วยแม่ชีทำงานจิปาถะ ก่อนจะเข้านอน แต่สิ่งที่ไม่ปกติในคืนนี้กลับเป็นเรื่องเล่าของแม่ชี ที่ปกติแล้วจะเล่านิทานกล่อมเด็กชวนฝันหวาน ให้พวกเราฟัง แต่คืนนี้ไม่ใช่
“ในอดีต เมืองSaremของเรา แต่เก่าก่อนมีตำนานเรื่องเล่า ว่าเมืองๆนี้มีเหล่าแม่มดอาศัยอยู่ หลายต่อหลายตน แม่มดเหล่านั้นต่างมีความสามารถเหนือธรรมชาติ มีนิสัยชั่วร้าย ชอบจับเด็กๆที่น่ารักสดใสและบริสุทธิ...”
“จับเด็กไปทำอะไรหรอคะ?”
ขณะที่แม่ชีกำลังเล่า อยู่ ๆก็มีเสียงเด็กคนหนึ่งถามขึ้นสียงดังด้วยความสงสัย
แม่ชียิ้มจางๆส่งให้เด็กคนนั้น พลางวางตะเกียงเทียนที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะในบริเวณนั้น ก่อนจะพูดต่อ
“...เหล่าแม่มดมีความเชื่อว่า เด็กที่ยังไม่มีบาปหรือบริสุทธิ์นั้นมีพลังชีวิตบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถใช้ต่อชีวิตแม่มดได้ เมื่อถึงเวลาพระจันทร์เต็มดวงพวกเขาจะจับเด็กที่หลงทาง หรือหลอกล่อเหล่าเด็กที่ไม่มีพ่อแม่ เพื่อนำมาทำพิธีเพิ่มพลังชีวิตให้ตนเองนั้นเป็นอัมตะ... แน่นอนว่าเป็นเรื่องในตำนาน ตอนนี้ไม่มีแม่มดแล้วล่ะจ้ะ พวกเธอนอนกันได้แล้ว มันดึกมากแล้วนะ”
แม่ชีจะเดินไล่ห่มผ้าให้เด็กทุกคนในห้อง ฉันเองก็นอนหลับไปอย่างสงบในคืนนั้นเช่นกัน
วันรุ่งขึ้นกิจกรรมก็เหมือนเดิมทุกวัน ฉันนั่งวาดรูปเงียบๆ ที่โต๊ะไม้ตัวเดิมในมุมของฉัน แต่แล้วแม่ชีก็พาผู้หญิงคนหนึ่งมาหาฉัน หญิงสาวแต่งตัวดี หน้าตาใจดี แม่ชีแนะนำเธอกับฉัน
“เธอชื่ออบิเกล และเธอจะมารับโอลิเวียไปเป็นลูกบุญธรรมนะจ๊ะ”
หลังจากคำแนะนำสั้นๆ แม่ชีก็บอกให้ฉันไปเก็บของเพื่อออกเดินทาง ฉันนั่งรถไปกับอบิเกล สองข้างทางเงียบสงบขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงบ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่ง บ้านดูเรียบหรูแต่เก่าและห่างไกลผู้คน
“ถึงแล้วจ้ะ บ้านของเรา” อบิเกลยิ้ม ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วผายมือเชิญฉันลง
ฉันเดินตามเธอเข้าบ้าน เสียงพื้นไม้เอี๊ยดเบา ๆ ทุกครั้งที่เราก้าวผ่านโถงทางเดิน เธอหันมายิ้มให้ฉันอีกครั้ง แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“เรียกฉันว่าแม่...ได้ไหมลูก”
ฉันพยักหน้าเบา ๆ
“ค่ะ…แม่”
เธอพาฉันขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ห้องหนึ่งถูกเปิดออก
“นี่คือห้องของลูก ฉันเตรียมไว้ให้โดยเฉพาะเลยนะจ๊ะ”
ห้องนั้นตกแต่งเรียบง่าย เตียงไม้ขนาดกลาง ผ้าปูสีขาวสะอาด ตุ๊กตาตัวเล็กวางอยู่มุมหนึ่ง หน้าต่างบานใหญ่เปิดรับแสงอ่อน ๆ
“เก็บของให้เรียบร้อยนะลูก เดี๋ยวค่อยลงไปกินข้าวเย็นกัน”
ก่อนจะเดินออกจากห้อง เธอหยุดที่ประตู แล้วหันกลับมามองฉัน ดวงตานั้นยังคงยิ้ม...
“อีกอย่างนะจ๊ะ โอลิเวีย…อย่าขึ้นไปห้องใต้หลังคาเด็ดขาด ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร เข้าใจไหม?”
ฉันพยักหน้า แม้ในใจจะเริ่มรู้สึกบางอย่างไหววูบขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
โต๊ะอาหารตรงหน้าฉันเต็มไปด้วยของกินมากมายจนแทบไม่เห็นพื้นไม้ของโต๊ะเลย
มีทั้งซุปร้อนๆ เนื้ออบหอมฉุย ขนมปังนุ่มๆ กับเนยสด และยังมีขนมหวานหลายอย่างที่ฉันไม่เคยกินมาก่อนในชีวิต ขนมเค้กมีครีมสีชมพู คุกกี้กลิ่นอบเชย และผลไม้สดหลากสีวางเรียงสวยงามราวกับภาพวาด
“แม่ทำเองทั้งหมดเลยหรอคะ?” ฉันถามตาโต
แม่หัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า
“ใช่สิจ๊ะ เพื่อโอลิเวียโดยเฉพาะเลยนะ”
เรากินข้าวกัน คุยกันเรื่องที่โรงเรียน เรื่องที่บ้านเด็กกำพร้า แม่ฟังฉันอย่างตั้งใจ ทำหน้าเหมือนสนุกไปกับทุกเรื่องที่ฉันพูด ฉันเลยรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ก่อนฉันจะถามขึ้นมาแบบไม่คิดอะไร
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ?”
แม่เงียบไปนิดหนึ่ง สีหน้ายังยิ้ม ก่อนจะพูดเบาๆ
“ไม่มีหรอกจ้ะ…แม่อยู่คนเดียวมาตลอด มีแค่แม่คนเดียวก็พอแล้วเนอะลูก”
ฉันไม่รู้จะตอบยังไง เลยแค่ยิ้มให้ แล้วก็ก้มหน้ากินขนมพุดดิ้งต่อ
หลังจากกินเสร็จ แม่พาฉันไปอาบน้ำ น้ำอุ่นพอดี กลิ่นสบู่หอมจางๆ เหมือนกลิ่นดอกไม้แปลกๆ ที่ฉันไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน จากนั้นแม่ก็พาฉันขึ้นเตียง ห่มผ้าให้ แล้วลูบผมเบาๆ แม่นั่งลงข้างเตียง และเริ่มฮัมเพลงบางอย่าง...เสียงของแม่เบา ราบเรียบ...ไม่ต่างจากเสียงกล่อมเด็กทั่วไป
มันไม่ใช่เพลงที่ฉันเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน และแม้จะนุ่มนวล แต่ท่วงทำนองของมันกลับแฝงความวังเวงบางอย่าง
ฉันพยายามตั้งใจฟังเนื้อเพลง...แต่กลับจำอะไรไม่ได้เลย รู้แค่ว่ายิ่งฟัง ยิ่งง่วงเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความฝันอย่างช้าๆ
เช้าวันถัดมา ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านม่าน
แม่ทำอาหารเช้าไว้ให้ ขนมปังปิ้งกับไข่ดาว และน้ำผลไม้ที่มีสีเหมือนส้มผสมทับทิม
หลังจากกินข้าว ฉันช่วยแม่กวาดบ้าน รดน้ำต้นไม้ และเช็ดกระจกหน้าต่างรอบบ้าน
แม่ชมฉันตลอดว่าขยันและเรียบร้อย พอบ่ายๆ ฉันก็วิ่งเล่นรอบๆ บ้าน สนามหญ้ากว้างเต็มไปด้วยดอกไม้เล็กๆ สีม่วงขาว ฉันนั่งมองผีเสื้อบนใบไม้เพลินๆ จนเหงื่อท่วมตัว
เหนื่อยแล้ว ฉันจึงกลับขึ้นไปที่ห้องบนชั้นสอง
ขณะที่กำลังจะเปิดประตูห้องนอน ฉันได้ยินเสียงบางอย่าง...
เสียงกระซิบ...เบาๆ เหมือนลอยมากับสายลม
“ขึ้นมา...เถอะ...ทางนี้...”
“มาหาเรา...”
เสียงนั้นแผ่วเบาและสั่นเล็กน้อย เหมือนเสียงของเด็กหลายคน ทั้งชายและหญิง ประสานกันกระซิบราวกับมาจากทุกทิศทาง
ฉันหยุดนิ่ง แล้วมองไปยังบันไดไม้แคบ ๆ ที่อยู่ปลายโถงทางเดินซึ่งนำขึ้นไปยังห้องใต้หลังคา...
ใจหนึ่งฉันอยากรู้ ว่าเสียงนั้นคืออะไร อีกใจหนึ่งก็เริ่มรู้สึกเย็นวูบๆ ขึ้นมาตรงต้นคอ
แต่ก่อนฉันจะได้เดินเข้าไปใกล้บันไดนั้น
“โอลิเวีย ลูกมาทำอะไรตรงนี้?”
เสียงแม่ดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้ฉันสะดุ้งและหันกลับ
“เอ่อ…หนูแค่…กำลังจะกลับเข้าห้องค่ะ” ฉันรีบตอบก่อนจะเดินกลับมาห้องของตัวเองโดยไม่มองบันไดนั้นอีก
แต่ในหัวฉันยังคงได้ยินเสียงกระซิบจางๆ...วนเวียนไม่จางหาย
ฉันนั่งเล่นกับตุ๊กตาตัวโปรดอยู่ข้างเตียง จนหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังถือมันไว้อยู่ในมือ
กลางวันแสงแดดลอดผ่านม่านมานิดหน่อย
แม่มาเคาะประตูเบาๆ ปลุกฉันให้ลงไปกินข้าว เรานั่งทานอาหารด้วยกันเหมือนเดิม พูดคุยหยอกล้อกันตามปกติ
แม่อาบน้ำให้ฉันก่อนจะส่งเข้านอน ทุกอย่างดูอบอุ่นเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในความฝันดีๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต
ก่อนนอนแม่พูดขึ้นว่า
“พรุ่งนี้แม่จะเข้าไปในป่าหาผักผลไม้ที่ปลูกไว้ในนั้น จะเอามาทำอาหารเย็นให้ลูกกิน”
เธอยิ้มขณะพูด แล้วลูบหัวฉัน
“หนูอยู่บ้านดีๆ นะจ๊ะ อย่าดื้อ อย่าซน”
จากนั้นก็เริ่มฮัมเพลงกล่อมเด็กเพลงเดิม ทำนองอ่อนโยนแต่ฟังแล้วกลับหน่วงๆ อย่างประหลาด
ฉันเริ่มง่วงขึ้นมาอีกครั้งเหมือนเมื่อคืน ก่อนเปลือกตาจะปิดลง ฉันได้ยินเสียงแม่พูดบางอย่างเบาๆ ข้างหู
“...ใกล้เวลาแล้ว...”
เสียงนั้นเบาจนฉันไม่แน่ใจว่าฟังผิดหรือไม่ แล้วฉันก็หลับไปในที่สุด
ฉันไม่รู้ว่าฉันหลับไปนานแค่ไหน เสียงฟ้าร้องและเสียงลมพัดแรงจากนอกหน้าต่างปลุกฉันให้ตื่นขึ้นมา
ฝนกำลังตก… ฟ้าแลบแสงวาบเป็นระยะ
ฉันรู้สึกปวดฉี่เลยลุกจากเตียง เดินออกจากห้องมุ่งไปยังห้องน้ำ
ในขณะที่กำลังจะเดินกลับห้อง ฉันต้องผ่านหน้าห้องของแม่ซึ่งประตูมันแง้มไว้นิดหนึ่ง
แสงจากเทียนข้างในทำให้เห็นภาพภายในห้องรางๆ
แม่กำลังยืนอยู่หน้ากระจก บนโต๊ะเครื่องแป้ง
เธอเอามือลูบไล้ใบหน้าของตัวเองอย่างช้าๆ... ท่าทางแปลกตา
แต่สิ่งที่ทำให้ฉันหยุดอยู่ตรงนั้น... คือภาพสะท้อนในกระจก
ครึ่งหนึ่งของกระจกแตกร้าวเป็นเส้นวิ่งจากขอบบนลงล่าง
ฝั่งกระจกที่แตกร้าว... สะท้อนใบหน้าของแม่ที่ไม่ใช่ใบหน้าปกติ แต่เป็นใบหน้าของหญิงชรา ผิวเหี่ยวย่น ดวงตาขุ่นมัวเหมือนคนที่มีอายุหลายสิบปี
ส่วนฝั่งกระจกที่ไม่แตกร้าว สะท้อนใบหน้าของแม่ที่ฉันเห็นเสมอ… ยังสาว ยังสวย ยังใจดี
ฉันยืนมองอย่างไม่เข้าใจ รู้สึกเหมือนภาพสะท้อนในกระจกกำลัง “เห็น” ฉัน
แล้วแม่ก็หันกลับมา
ใบหน้าของเธอยังดูเหมือนเดิม… หรือฉันแค่ตาฝาด?
แม่เดินมาหาฉันแล้วถามด้วยเสียงนุ่ม
“นอนไม่หลับเหรอลูก?”
ฉันพยักหน้าเบาๆ
“ตื่นมาเข้าห้องน้ำค่ะ แล้ว...เห็นประตูห้องแม่แง้มอยู่...ก็เลย...”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่ต้องขอโทษน้า”
แม่ลูบหัวฉันก่อนจะพากลับเข้าห้อง
เสียงเพลงกล่อมเดิมดังขึ้นอีกครั้ง เธอนั่งอยู่ข้างเตียงจนฉันค่อยๆ หลับไปอีกครั้ง
เช้าวันถัดมา
โต๊ะอาหารจัดอาหารเช้าไว้เรียบร้อยเหมือนเดิม
หลังจากเรากินข้าวกันเสร็จ แม่เตรียมตะกร้าใบใหญ่ แล้วสวมฮูดเสื้อคลุมยาวคลุมศีรษะ มันเป็นสีแดงเลือดหมูดูแปลกตา
“แม่จะเข้าป่า ไปเก็บผักผลไม้ที่ปลูกไว้ข้างในโน่นเลยนะลูก”
เธอยิ้มพลางหยิบตะกร้าใส่มือ
“อย่าออกไปไหน อยู่ในบ้านดีๆ อย่าเดินขึ้นชั้นสามนะลูก แม่รักหนูนะ”
แล้วเธอก็เปิดประตูหน้าบ้าน...
เสียงลมปะทะเข้ามาเย็นวาบ ก่อนแม่จะก้าวออกไปในความเงียบของป่าใหญ่...
ฉันนั่งวาดรูปเงียบๆ อยู่บนพื้นห้องของตัวเอง แสงแดดยามสายสาดผ่านหน้าต่างเข้ามาอ่อนๆ พอให้เห็นเงาของฉันทอดลงกับพื้นไม้
ทันใดนั้น ประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่กลับค่อยๆ แง้มออกเองอย่างช้าๆ
เสียงบานพับที่เสียดสีกับขอบไม้ดังเอี๊ยดเบาๆ พาเอาความเย็นจากข้างนอกลอยวูบเข้ามา
เสียงกระซิบ… แผ่วเบาเหมือนสายลมดังขึ้นอีกครั้ง
“ขึ้นมา… ขึ้นมาหาเรา…”
เสียงเหมือนเด็กผู้หญิง และเด็กผู้ชาย พูดซ้อนกันเป็นจังหวะ มันไม่ใช่เสียงที่ทำให้ตกใจ แต่มันเย็นยะเยือกและลึกลับจนรู้สึกขนลุก
ความสงสัยเริ่มเอ่อล้นในอก ฉันลุกขึ้นยืน กอดตุ๊กตาแน่น แล้วค่อยๆ เดินออกจากห้อง
เสียงกระซิบยังคงเรียกชัดขึ้นเรื่อยๆ ฉันเดินขึ้นบันไดทีละขั้น จนมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้เก่าบานหนึ่ง
ประตูห้องใต้หลังคา...
.
.
.
.