ไม่ต้องการที่จะเห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ต้องการรู้ว่าพระอริยะท่านสอนยังไง -- มิจฉาทิฎฐิ เจตสิกในอกุศลมูลจิตดวงที่ 1

กระทู้สนทนา
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
มิจฉาทิฎฐิ
ก็แสดงความหมายของมิจฉาทิฎฐิ โดยรูปวิเคราะห์ 3 อย่างเหมือนเดิม 39.55
รูปวิเคราะห์เป็น กะระณะ แปลว่า เป็นเครื่องมือ หรือเป็นสภาวะที่ทำให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้
สัตว์ทั้งหลายย่อมเห็นผิดด้วยสภาวะนี้
สภาวะนี้เลยเรียกว่า มิจฉาทิฎฐิ
เป็นสภาวะที่ทำให้สัตว์เห็นผิด
คือสัตว์ไม่เป็นอะไรเขาก็อยู่ของเขาเฉยๆ แต่ว่าพอมีมิจฉาทิฎฐิมาก็ทำให้สัตว์เห็นผิด นา
สภาวะนี้ก็เลยได้ชื่อ มิจฉาทิฎฐิ 40.25
แปลว่า สภาวะที่ทำให้สัตว์เห็นผิด แบบนี้เรียกว่า เราพูดแบบ กรณ แปลว่า เป็นเครื่องมือ หรือว่าเป็นอุปกรณ์ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเห็นผิดขึ้นมา
สะยังวา มิจฉา ปัสสะติ ,
อันนี้ ย่อมเห็นผิดเอง
ใครเป็นคนเห็นผิดเอง ก็คือ ตัวมิจฉาทิฎฐินั่นแหละ มันเห็นผิดเอง
ไม่ใช่คนอื่น หมายถึงสภาวะอื่นจะเห็นเพี้ยนจากความผิดไม่ได้
สภาวะเดียวที่เห็นเพี้ยนจากความจริงได้ ก็คือ มิจฉาทิฎฐิ นั่นเอง
อันนี้เรียกว่าแบบกัตตุ เป็นคนทำเองเลย ทำกับมือเลย
อธิบายแบบกัตตุ
ต่อไปก็อธิบายแบบภาวะ
41.09
อธิบายแบบภาวะก็คือแสดงให้ทราบว่า มิจฉาทิฎฐิ นั้นเป็นภาวะที่ปราศจากสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
เรียกว่า เป็นสักว่าความเห็นผิดเท่านั้น จึงเรียกว่าเป็น มิจฉาทิฎฐิ ครับ
นี้คือการขยายความ หรือเรียกว่า วิเคราะห์ศัพท์ วิเคราะห์ความหมาย
ต่อไปแสดงลักขณาทิจตุกะ เพื่อให้เข้าใจมิจฉาทิฎฐิได้ดียิ่งขึ้น41.38
สา อะโยนิโสอะภินิเวสะลักขะณา ,
มิจฉาทิฎฐินั้นมีการกอดเอาไว้อย่างมั่นคงโดยไม่ถูกต้องเป็นลักษณะ
กอดเอาไว้เลย อะภินิเวสะ แปลว่า กอด กอดรัดเอาไว้แบบแน่นเลย แน่นเอี๊ยดเลย แต่ว่ากอดผิด นะ
กอดผิดแบบอโยนิโส กอดแน่นเลยแต่ที่จริงผิดนะ
ไม่ถูกต้อง นะครับ เป็นลักษณะของมัน
42.07
433

น278

42.07
ระสะ กิจหน้าที่ของมันก็คือ ปรามาสะระสา ,
มิจฉาทิฎฐิ ทำกิจหน้าที่ก็คือ ถือโดยความเป็นอย่างอื่น
ปะระ คือ อย่างอื่น
มาสะ แปลว่า ถือ นะ
ท่านนิยมแปลว่า ลูบคลำ ลูบๆคลำๆ
ก็คือ มันไม่ใช่ของจริง
แต่เขาบอก ภาษาไทยโบราณน่าจะเข้าใจกันว่า ทำแบบลูบๆคลำๆ
คำว่า ทำแบบลูบๆคลำๆหมายถึง แบบที่ว่าทำไม่ตรงวัตถุประสงค์จริง
อย่างเช่น รักษาศีลแบบลูบคลำ
วัตถุประสงค์ของศีลเขาไว้ทำอย่างหนึ่ง คุณไปทำอีกอย่างหนึ่ง เช่น
วัตถุประสงค์ของศีลเขาทำขึ้นมาเพื่อ ไม่ให้เกิดความเดือดร้อนใจ ให้เกิดปราโมทย์ปิติสุขสมาธิ อันนี้คือวัตถุประสงค์ของศีล
แต่คุณไปรักษาศีลแบบลูบคลำ เช่นว่า รักษาศีลเพื่ออยากหน้าหล่อ เงี้ย รักษาศีลเพื่อจะได้ทรัพย์สมบัติ อะไรไปเรื่อยเลย เขาเรียก ลูบคลำ นะ
43.03
อันนั้นเป็นภาษาโบราณ ท่านนิยมแปล ปรามาสะ ว่า ลูบคลำ พอได้อยู่นะถ้าเข้าใจความหมาย
แต่ว่าถ้าแยกศัพท์แล้ว
ปะ ระ อามาสะ ปะระแปลว่าอื่น อามาสะแปลว่าถือ ถือโดยความเป็นอย่างอื่น
จริงๆมันเป็นอย่างหนึ่ง เขาเอาไว้ทำอย่างหนึ่ง แต่ถืออีกแบบหนึ่ง คือถือมาเหมือนกันแต่ไปถืออีกอย่างหนึ่งพอเข้าใจไหม นา
ถือว่า แต่จริงๆมันไม่ใช่อย่างที่ถือนะ มันถือไปอีกอย่างหนึ่ง คนละเรื่องกัน นี้พอเข้าใจไหม 43.35
ครับ นี้คือ ลักษณะของทิฎฐิ
คือมันไม่ตรงกับความจริงนั่นเอง
เหมือนกับตอนนี้มันกลางวัน ไปถือว่ามันกลางคืนอย่างนี้เนอะ
คนละเรื่องประมาณนั้น
มันกลับกันเลย
มิจฉาภินิเวสะปัจจุปัฎฐานา ,
มีอาการปรากฎก็คือ การกอดรัดอย่างเหนียวแน่นในแบบผิดๆ แบบมิจฉาก็คือ จะนำความทุกข์มาให้ เอากิเลสต่างๆมาให้ เพียบเลย
มิจฉา ก็คือ นำความทุกข์และกิเลสมาให้ ทำให้ไม่หมดทุกข์ เรียกว่า มิจฉา 44.07
อะภินิเวสะ แปลว่า กอดรัดไว้แน่น
ดังนั้นท่านไหนเห็นคนมีทิฎฐิ ก็จะรู้สึกว่าเขาแน่นมาก 44.15
ทั้งๆที่ โอ้โห นะ ผิดๆนี่แหละ แต่เขาแน่น แน่นมากจริงๆ อย่างนี้ทำนองนี้
นี้คือลักษณะของทิฎฐิ
สรุปแล้วก็ไม่ใช่คนที่คนทั้งหลายเขาเห็นผิดอย่างนั้นยึดแน่นอย่างนั้นก็เพราะทิฎฐินั่นแหละ
ฉนั้นถ้าเรามองโดยสภาวะแล้วคนก็ตัดออกไป
อะริยานัง อะทัสสะนะกามะตาดิปะทัฎฐานา .
เหตุใกล้ให้เกิดของทิฎฐิก็คือ มีความที่ไม่ต้องการที่จะเห็นพระอริยะทั้งหลายเป็นเหตุใกล้ให้เกิด นะ
ไม่ต้องการจะเห็น ไม่ต้องการจะเห็นพระอริยะ ก็คือ ไม่ต้องการจะเห็นความจริงนั่นแหละ ทำนองนี้นะ
เพราะว่าที่เขามองคือ ตรงข้ามกับพระอริยะไปหมด 45.02
ตรงข้ามกับความจริงไปหมด ครับ นะ
นี้คือลักษณะของทิฎฐิ 45.07
ไม่ต้องการที่จะเห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ต้องการรู้ว่าพระอริยะท่านสอนยังไง
คือเขามั่นเหลือเกินไง แบบนี้ ทำนองนี้นะครับ
นี้คือ ทิฎฐิ ที่เป็น มิจฉาทิฎฐิ ครับ
ต่อไป 45.23
434
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่