พระที่เสพสังวาสกับ(ผู้หญิง,ผู้ชาย หรืออื่นๆ) ที่ปาราชิกไปแล้วปรากฏของคนหลอกลวงที่ปรากฏเป็นข่าวนั้นเป็นเรื่องยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ออกมาพ้นน้ำ
แต่น้ำแข็งส่วนใหญ่ใต้น้ำที่มากกว่า ที่ปาราชิกไปแล้วกลายเป็นคนห่มเหลืองหลอกลวงเรื่องปาราชิกด้วย การลักขโมย การโกง การมีไถยจิตแอบเอาทรัพย์เป็นของตน ทั้งที่รู้และที่คิดว่าตนไม่ผิดปาราชิกทั้งที่ปาราชิกไปแล้วขาดจากความเป็นพระภิกษุไปแล้วมีอีกมาก.
แม้แต่ในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนชิพอยู่ ก็ยังเกิดกรณีเช่นนี้อยู่ แล้วพระพุทธเจ้าทรงจัดการอย่างไรกับคนหลอกลวงเหล่านั้น ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงมีพระเมตตาเสมอกัน ผมอ่านพระไตรปิฏกแล้วจำแหนกได้ดังนี้.
1.พระพุทธเจ้าทรงเทศนาเตือนกับกลุ่มสงฆ์ เรื่องโทษของการผิดศีลปาราชิก
1.1 เมื่อยังหลอกลวงว่าตนยังเป็นพระอยู่ ก็จะประสบโรคภัยต่างๆ มีความทุกข์ความสับสนจิตใจเศร้าหมอง ธรรมที่เคยได้เคยบรรลุ(ฌาน ญาณ)ที่ยังเป็นปุถุชน ก็เสื่อมเสียไปทั้งหมด และ
1.2 เมื่อมีพระภิกษุสงสัยในการกระทำของตนเองผิดศีลปาราชิกหรือไม่ ก็จะมาถามพระพุทธเจ้าว่า ที่ได้กระทำไปแล้วนั้นผิดศีลปาราชิกหรือไม่? พระพุทธเจ้าก็ทรงวินิสัยตรัสบอกตรง อย่างนี้ผิด อย่างนี้ยังไม่ผิด ศีลปาราชิก
แล้ว ทั้งข้อ 1.1 - 1.2 พระที่ผิดศีลปาราชิก เกิดความระอายตนแล้วสิกสละออกจากการห่มหัวโลนหลอกลวงสึกออกไปโดยดี แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งเล็กน้อยที่ยังดื่อด้านไม่ยอมสละผ้าเหลือง ซึ่งก็ปรากฏให้ทราบในพระไตรปิฏก
2.พระพุทธเจ้าทรงเทศนาถึงโทษของผู้ปาราชิกไปแล้วแต่ยังหลอกลวงว่าเป็นพระภิกษุจนตาย ก็จะมีที่ไปคือ อบายภูมิและนรกเท่านั้น.
ซึ่งคณะสงฆ์ในปัจจุบันก็จะดำเนินคล้ายเช่นนั้นแม้จะมีกฏอะไรเพิ่มขึ้น ซึ่งพอสามารถตัดสินได้อย่างเด็ดขาดได้เมื่อมีหลักฐานในเรื่องผิดปาราชิกข้อเสพสังวาสได้เท่าน้นเพราะมีหลักฐาณคู่กรณีเป็นคน ผู้ที่ผิดศีลปาราชิกจนด้วยหลักฐานที่เปิดเผยสละผ้าเหลืองโดยดี
แต่กรณีที่เป็นทรัพย์สินเงินทองของวัดที่มีจิตเอาเป็นของตนด้วยกลวิธีก็คือกลโกงแอบจิก(=ขโมยเพียงมีจิตคิดจะเอาเป็นของตน) แล้วทรัพย์น้นเคลื่อนเป็นของตนแม้ในทางนิติกรรมหรือพฤติกรรมว่าเป็นของตน ก็ผิดศีลปาราชิกทันที แต่เมื่อเกิดเรื่องแดงขึ้นมาตั้งอธิกรณ์
เมื่อมีการสอบสวน ก็จะมีการสละทรัพย์นั้นไปเป็นของสงฆ์ ก็จะมีคำถามเด็ดอยู่ที่ทำนองว่า ท่านมีไถยจิตหรือคิดขโมยเป็นของตนหรือไม่? ผู้ที่ดือด้านไม่ได้ละอายแม้ทำทรัพย์ให้เคลื่อนโดยคิดเป็นของตนไปแล้วแม้ในทางนิตินัยหรือพฤตินัย เพียงตอบว่าไม่มีจิตคิดไปอย่างนั้น ก็ไม่ต้องสึกสละผ้าเหลืองจากการหลอกลวงต่อไป.
คณะสงฆ์ต้องปล่อยตามกฏเป็นหน้าที่ของกรรมและวิบากแห่งกรรม ตามความเชื่อความศรัทธาในส่วนธรรมนั้นต่อไปจัดการเอง.
จึงกล่าวว่า ผู้ที่ผิดศีลปาราชิกที่เป็นข่าวที่ปรากฏนั้นเพียงส่วนน้อยดังยอดภูเขาน้ำแข็ง ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อดือด้านไหลไปตามกรรมและวิบากแห่งกรรมที่ปาราชิกแต่หลอกลวงอยู่มีมากกว่าที่ต้องโทษทันฑ์ของกฏแห่งกรรมที่ไม่ระอายดือด้านมีมากกว่า.
ดังนั้น การสึกพระที่ผิดศีลปาราชิกไปแล้วแต่ดือด้านไม่ระอาย จึงเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท ที่เป็นฆราวาส เสียมากกว่า เพราะหน้าที่สงฆ์มีขอบเขตอยู่เพียงแค่นั้น.
แต่ก็ยังมีพระที่ดีมีศีลไม่ผิดศีลปาราชิกมีมากกว่ารวมๆ กันท้งที่ยังเป็นปุถุชนและพระอริยะ ซึ่งพุทธศาสนาก็ยังเป็นเนื้อนาบุญให้กับผู้ศรัทธาอยู่ดังเดิม.
ผู้ที่เป็นข่าวเรื่องผิดศีลปาราชิกที่ปรากฏเปรียบดังเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น.
แต่น้ำแข็งส่วนใหญ่ใต้น้ำที่มากกว่า ที่ปาราชิกไปแล้วกลายเป็นคนห่มเหลืองหลอกลวงเรื่องปาราชิกด้วย การลักขโมย การโกง การมีไถยจิตแอบเอาทรัพย์เป็นของตน ทั้งที่รู้และที่คิดว่าตนไม่ผิดปาราชิกทั้งที่ปาราชิกไปแล้วขาดจากความเป็นพระภิกษุไปแล้วมีอีกมาก.
แม้แต่ในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระชนชิพอยู่ ก็ยังเกิดกรณีเช่นนี้อยู่ แล้วพระพุทธเจ้าทรงจัดการอย่างไรกับคนหลอกลวงเหล่านั้น ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงมีพระเมตตาเสมอกัน ผมอ่านพระไตรปิฏกแล้วจำแหนกได้ดังนี้.
1.พระพุทธเจ้าทรงเทศนาเตือนกับกลุ่มสงฆ์ เรื่องโทษของการผิดศีลปาราชิก
1.1 เมื่อยังหลอกลวงว่าตนยังเป็นพระอยู่ ก็จะประสบโรคภัยต่างๆ มีความทุกข์ความสับสนจิตใจเศร้าหมอง ธรรมที่เคยได้เคยบรรลุ(ฌาน ญาณ)ที่ยังเป็นปุถุชน ก็เสื่อมเสียไปทั้งหมด และ
1.2 เมื่อมีพระภิกษุสงสัยในการกระทำของตนเองผิดศีลปาราชิกหรือไม่ ก็จะมาถามพระพุทธเจ้าว่า ที่ได้กระทำไปแล้วนั้นผิดศีลปาราชิกหรือไม่? พระพุทธเจ้าก็ทรงวินิสัยตรัสบอกตรง อย่างนี้ผิด อย่างนี้ยังไม่ผิด ศีลปาราชิก
แล้ว ทั้งข้อ 1.1 - 1.2 พระที่ผิดศีลปาราชิก เกิดความระอายตนแล้วสิกสละออกจากการห่มหัวโลนหลอกลวงสึกออกไปโดยดี แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งเล็กน้อยที่ยังดื่อด้านไม่ยอมสละผ้าเหลือง ซึ่งก็ปรากฏให้ทราบในพระไตรปิฏก
2.พระพุทธเจ้าทรงเทศนาถึงโทษของผู้ปาราชิกไปแล้วแต่ยังหลอกลวงว่าเป็นพระภิกษุจนตาย ก็จะมีที่ไปคือ อบายภูมิและนรกเท่านั้น.
ซึ่งคณะสงฆ์ในปัจจุบันก็จะดำเนินคล้ายเช่นนั้นแม้จะมีกฏอะไรเพิ่มขึ้น ซึ่งพอสามารถตัดสินได้อย่างเด็ดขาดได้เมื่อมีหลักฐานในเรื่องผิดปาราชิกข้อเสพสังวาสได้เท่าน้นเพราะมีหลักฐาณคู่กรณีเป็นคน ผู้ที่ผิดศีลปาราชิกจนด้วยหลักฐานที่เปิดเผยสละผ้าเหลืองโดยดี
แต่กรณีที่เป็นทรัพย์สินเงินทองของวัดที่มีจิตเอาเป็นของตนด้วยกลวิธีก็คือกลโกงแอบจิก(=ขโมยเพียงมีจิตคิดจะเอาเป็นของตน) แล้วทรัพย์น้นเคลื่อนเป็นของตนแม้ในทางนิติกรรมหรือพฤติกรรมว่าเป็นของตน ก็ผิดศีลปาราชิกทันที แต่เมื่อเกิดเรื่องแดงขึ้นมาตั้งอธิกรณ์
เมื่อมีการสอบสวน ก็จะมีการสละทรัพย์นั้นไปเป็นของสงฆ์ ก็จะมีคำถามเด็ดอยู่ที่ทำนองว่า ท่านมีไถยจิตหรือคิดขโมยเป็นของตนหรือไม่? ผู้ที่ดือด้านไม่ได้ละอายแม้ทำทรัพย์ให้เคลื่อนโดยคิดเป็นของตนไปแล้วแม้ในทางนิตินัยหรือพฤตินัย เพียงตอบว่าไม่มีจิตคิดไปอย่างนั้น ก็ไม่ต้องสึกสละผ้าเหลืองจากการหลอกลวงต่อไป.
คณะสงฆ์ต้องปล่อยตามกฏเป็นหน้าที่ของกรรมและวิบากแห่งกรรม ตามความเชื่อความศรัทธาในส่วนธรรมนั้นต่อไปจัดการเอง.
จึงกล่าวว่า ผู้ที่ผิดศีลปาราชิกที่เป็นข่าวที่ปรากฏนั้นเพียงส่วนน้อยดังยอดภูเขาน้ำแข็ง ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อดือด้านไหลไปตามกรรมและวิบากแห่งกรรมที่ปาราชิกแต่หลอกลวงอยู่มีมากกว่าที่ต้องโทษทันฑ์ของกฏแห่งกรรมที่ไม่ระอายดือด้านมีมากกว่า.
ดังนั้น การสึกพระที่ผิดศีลปาราชิกไปแล้วแต่ดือด้านไม่ระอาย จึงเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท ที่เป็นฆราวาส เสียมากกว่า เพราะหน้าที่สงฆ์มีขอบเขตอยู่เพียงแค่นั้น.
แต่ก็ยังมีพระที่ดีมีศีลไม่ผิดศีลปาราชิกมีมากกว่ารวมๆ กันท้งที่ยังเป็นปุถุชนและพระอริยะ ซึ่งพุทธศาสนาก็ยังเป็นเนื้อนาบุญให้กับผู้ศรัทธาอยู่ดังเดิม.